เรื่อง The Wages for Students Students
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Sarutanon Prabute
งานในโรงเรียนคืออะไร (what is schoolwork)
การไปโรงเรียนและกลายเป็นนักเรียนคือการทำงาน งานที่ว่านี้ถูกเรียกว่างานในโรงเรียน (schoolwork) ถึงแม้ว่าโดยปกติมันจะไม่ถูกมองว่าเป็นการทำงานจริง ๆ เนื่องจากว่าพวกเราไม่ได้รับค่าแรงจากการทำงานที่ว่าเลยก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า งานในโรงเรียนไม่ใช่การทำงาน พวกมันพร่ำสอนเราให้เชื่อว่ามีเพียงงานที่เราได้รับการจ่ายเงินเท่านั้นที่เป็นงานจริง ๆ
งานในโรงเรียนมีรูปแบบของภาระงานที่แตกต่างมากมายซึ่งต้องการทั้งระดับความเข้มข้นและการผสมผสานระหว่างแรงงานที่มีทักษะและแรงงานที่ทักษะต่ำ ตัวอย่างเช่น พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะนั่งลงในห้องเรียนเป็นระยะเวลายาวนานและไม่ก่อให้เกิดการรบกวนในการเรียน พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะฟังอย่างตั้งใจและพยายามจดจำสิ่งที่ถูกพูดออกมา พวกเราต้องเชื่อฟังครู ในบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ทักษะเชิงเทคนิคที่จะทำให้พวกเรามีผลิตภาพมากขึ้นเมื่อเราต้องออกไปทำงานภายนอกโรงเรียนซึ่งเรียกร้องทักษะเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เวลาส่วนมากพวกเราก็ใช้ไปกับการทำงานที่ใช้ทักษะต่ำ
คุณลักษณะร่วมของภาระงานทั้งหลายที่งานในโรงเรียนเกี่ยวข้องล้วนเป็นเรื่องของระเบียบวินัย หรือกล่าวอีกอย่างมันคืองานที่ถูกบังคับ บางครั้งพวกเราถูกอบรมและลงโทษทางวินัยซึ่งหมายความว่าพวกเรากำลังถูกบังคับให้ทำงานโดยผู้อื่น (ครู ครูใหญ่ และเจ้าหน้าที่) ในบางทีพวกเราก็กวดขันวินัยด้วยตัวเองซึ่งหมายความว่าพวกเรากำลังบังคับตัวเองให้ทำงาน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ประเภทของงานในโรงเรียนที่แตกต่างเหล่านั้นเคยถูกเรียกว่าวินัย
เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า มันเป็นสิ่งที่ดีและถูกกว่าสำหรับทุนหากพวกเรากวดขันวินัยด้วยตัวเองได้ สิ่งนี้จะช่วยประหยัดเงินที่จะต้องจ่ายให้กับครู ครูใหญ่ และเจ้าหน้าที่ บรรดาผู้คนที่เป็นแรงงานที่ได้รับค่าแรง ในขณะที่กำลังเป็นนักเรียนผู้ที่กวดขันวินัยด้วยตัวเอง พวกเราก็กำลังทำงานซ้อนกันสองชั้น คือ งานในโรงเรียนและกำลังทำให้ตัวเองสามารถทำงานในโรงเรียนได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบรรดาผู้บริหารโรงเรียนจึงเอาใจใส่นักกับการกวดขันวินัยด้วยตนเองพร้อม ๆ กับพยายามที่จะคงระดับค่าใช้จ่ายของการสร้างวินัยในพวกเราไว้ในระดับที่ต่ำที่สุด
เฉกเช่นเดียวกับสถาบันที่มีลักษณะเป็นทุนนิยมทั้งหลาย โรงเรียนก็คือโรงงาน การให้คะแนนและการติดตามคือหนทางของการแจงวัดระดับผลิตภาพของพวกเราภายใต้โรงเรียนที่เป็นดั่งโรงงาน ไม่ใช่แค่เฉพาะการที่พวกเราถูกฝึกให้จัดวางอนาคตของตนในตำแหน่งแห่งที่ต่าง ๆ ในสังคมเท่านั้น พวกเรายังถูกใส่รหัสคำสั่งเพื่อที่จะเดินหน้าไปสู่ “สถานที่อันเหมาะสม” โรงเรียนที่เป็นดั่งโรงงานคือย่างก้าวอันสำคัญยิ่งในกระบวนการคัดเลือกที่จะส่งบางคนไปกวาดพื้นถนนและบางคนไปเป็นผู้คุมคนกวาดถนน งานในโรงเรียนนั้นหมายรวมถึงการเรียนรู้บางอย่างที่นักเรียนรู้สึกว่ามันมีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม แง่มุมดังกล่าวก็จะถูกทำให้อยู่ในสภาวะที่สำคัญน้อยกว่าผลประโยชน์ของทุน นั่นคือ ชนชั้นแรงงานที่มีวินัย สิ่งที่ดีสำหรับนายทุนคือวิศวกรที่สามารถพูดภาษาจีน แก้สมการได้ แต่ไม่เคยมาทำงานหรือ?
ทำไมต้องเป็นงานในโรงเรียน
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนมากลงความเห็นว่า “งานในโรงเรียนเป็นทั้งการบริโภคและการลงทุน” ดังนั้น คำตอบของพวกเขาต่อคำถามว่าทำไมต้องเป็นงานในโรงเรียนคือ การเล่าเรียนที่คุณได้รับนั้นมอบสิ่งที่ดีให้แก่คุณ ไม่เฉพาะแค่ว่าคุณกำลังลงทุนให้กับตัวเองซึ่งสามารถคาดว่าคุณจะได้รับงานที่ให้ค่าแรงสูงในอนาคต แต่ยังเป็นเพราะว่าการเล่าเรียนนั้นสนุก พวกเราสามารถคิดเรื่องนี้ยังจริงจังได้หรือไม่
เริ่มจากการพิจารณาด้านการบริโภค สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ การบริโภคหมายถึงบางสิ่งที่สามารถมอบความสุขให้แก่เราได้ ดังนั้น ใครก็ตามที่เรียกการเล่าเรียนว่าเป็นการบริโภค คนผู้นั้นย่อมกำลังล้อเล่นอยู่แน่นอน แรงกดดันเพื่อให้ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น ความวุ่นวายของตารางเรียน ค่ำคืนที่ไม่สามารถนอนหลับได้เพราะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ และกระบวนการกวดขันวินัยตนเองแบบอื่น ๆ ที่ทำให้ความเป็นไปได้ของการมีชีวิตที่สนุกสนานนั้นมลายหายไป มันเหมือนการบอกว่า การไปเข้าคุกคือการบริโภคเพราะมันคือความสุขที่จะได้ออกไป!
แน่นอน บางคนอาจบอกว่ามันก็มีความสุขอยู่บ้างในโรงเรียน แต่มันก็ไม่ใช่การเรียน กลับกัน สิ่งเหล่านั้นคือการต่อต้านการเรียน สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่หมายถึงความสุข มันคือการท่องเที่ยวที่คุณสามารถหลีกหนีไปจากชั่วโมงเรียน ความรักในวัยเรียนที่ชวนให้ว้าวุ่น การพูดคุยที่วกไปวนมาที่หน้าบาร์ การชุมนุมเพื่อปิดประท้วง หนังสือที่ไม่จำเป็นต้องอ่าน และหนังสือที่อ่านในเวลาที่ไม่จำเป็นต้องอ่าน ทั้งหมดเหล่านี้ที่มอบความสุขไม่ใช่การเรียน ดังนั้น การเรียนจึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เกี่ยวกับการบริโภค
แล้วในด้านของการลงทุนล่ะ บรรดาศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์วัยหกสิบ นายธนาคาร ผู้แนะแนวต่างล้วนเห็นด้วยว่า โรงเรียนคือการลงทุนส่วนบุคคลที่ดี ความคิดที่ว่าคือคุณควรจะปฏิบัติราวกับว่าตัวเองเป็นเหมือนบริษัทขนาดเล็ก เป็นบริษัท GM แบบย่อส่วน ดังนั้น คุณก็สามารถลงทุนได้ด้วยการไปเรียนหนังสือเหมือนกับที่บริษัทซื้อเครื่องจักรเข้ามาเพื่อทำให้สามารถแสวงหากำไรได้มากขึ้น คุณจำเป็นต้องใช้เงิน (ลงทุน) เพื่อสร้างเงิน หากคุณสามารถเพิ่มเงินเพื่อที่จะไปโรงเรียนโดยไม่ต้องไปกู้ยืมหรือทำงานเสริมหรือให้พ่อแม่ของคุณจ่าย คุณก็คาดได้เลยว่าจะสามารถสร้างผลกำไรจากเงินก้อนที่ว่าเพราะคุณสามารถหางานที่ให้รายได้สูงได้ในอนาคต ในสมัยรุ่งเรืองของสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่า “การปฏิวัติทุนมนุษย์” นักเศรษฐศาสตร์ด้านการศึกษาชี้ว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าหากลงทุนในการศึกษาแทนที่จะไปซื้อหุ้นของ GM สิ่งเหล่านี้คือทุนนิยมสำหรับบรรดาชนชั้นแรงงานที่มาพร้อมความโกรธแค้น
นอกเหนือจากความไม่พอใจที่มุมมองด้านการลงทุนดังกล่าวอาจก่อให้เกิดคุณค่าสำหรับคุณที่เป็นเหมือนบริษัทหนึ่ง ส่วนหนึ่งของคุณกำลังกลายเป็นแรงงาน และอีกส่วนหนึ่งก็กำลังกลายเป็นเจ้านายที่ปกครองคนงาน คุณคงรู้สึกสงสัยว่าคุณสามารถเพิ่มเงินจากการไปเล่าเรียนในระยะยาวได้หรือไม่ ในยุค 60 ทุก ๆ คนต่างประกันว่าคุณทำได้ แต่ในช่วงวิกฤติยุค 70 ทุก ๆ การพนันที่เคยลงไว้ก็ถูกทำลาย บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาบอกว่าการวิเคราะห์ในช่วงก่อนหน้านี้ของพวกเขาล้วนเป็นความเข้าใจผิด คุณไม่สามารถคาดหวังว่าจะมีผลตอบแทนที่งดงามใด ๆ หวนคืนกลับมาจากการลงทุนที่ใส่เข้าไปในตัวของคุณเอง ไม่น่าแปลกใจ ตอนนี้มันปรากฏว่าตัวของคุณไม่ใช่บริษัทที่สร้างผลกำไรมากกว่า GM สิ่งที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้จากการลงทุนคือผลตอบแทนที่ไม่ใช่เงินตรา ไม่ใช่งานที่ได้รับค่าแรงสูง แต่เป็นงานที่ดูดีขึ้น กระนั้นก็ตาม สิ่งดังกล่าวก็ไม่แน่เสมอไป งานดังกล่าวกำลังค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ดูราวกับว่าบรรดานักเรียนกำลังถูกจัดวางแผนการที่ผิดพลาด
มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนมากสำหรับนักเรียนว่า การลงทุนดังกล่าวพยายามทำให้คุณมองความรู้ในการทำงานทั้งที่ได้และไม่ได้รับเงินในโรงเรียนว่าเป็นเพียงของปลอม ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะโน้มน้าวให้ใครคนใดคนหนึ่งออกเงินบนฐานของเทพนิยายของคุณในฐานะที่เป็นบริษัท ตอนนี้ ข้ออ้างทั้งสองของนักเศรษฐศาสตร์ก็พังทลายลง แต่ท่ามกลางเศษซากทั้งหมด กลับมีผู้ปกป้องคนใหม่ ผู้ที่มาจากพื้นที่ซึ่งน่าประหลาด พวกเขาคือ ฝ่ายซ้าย
ครูนักสังคมนิยมและนักเรียนนักปฏิวัติต่างกลายเป็นผู้ปกป้องมหาวิทยาลัยจากกระบวนการตัดเงินงบประมาณ ทำไม? เรื่องราวของพวกเขามีท่วงทำนองประมาณว่า การเรียนนำไปสู่ความสามารถในการสร้างการเชื่อมโยงต่อผู้อื่นได้มากขึ้น การเรียนทำให้คุณสามามารถเป็นคนที่มีสติรู้ตัวไตร่ตรองได้ ด้วยเหตุดังนั้น มหาวิทยาลัยของรัฐจึงเป็นสิ่งที่เปิดให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะมีชนชั้นแรงงานผู้มีการศึกษา มหาวิทยาลัยทำให้ชนชั้นแรงงานมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นชนชั้นที่ตระหนักรู้ตัวเอง มากกว่านั้น การตระหนักรู้ดังกล่าวจะทำให้ชนชั้นแรงงานเมินหน้าหนีจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพื่อเงินที่มาก การทำงานที่น้อย และให้ความสนใจแก่งานทางการเมืองในการสร้างสังคมนิยม ตรรกะแบบนี้เองที่ทำให้ฝ่ายซ้ายสามารถอธิบายถึงวิกฤติ ทุนหวาดกลัวสำนึกของชนชั้นแรงงานที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ฟูมฟัก และนำไปสู่ความปรารถนาของฝ่ายซ้ายที่จะให้มี งานในโรงเรียนมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง ดังนั้นในนามของจิตสำนึกทางการเมืองและสังคมนิยม บรรดาฝ่ายซ้ายจึงมาดหวังให้งานในโรงเรียนมีความเข้มข้นขึ้น ณ เวลาหนึ่ง เมื่อการปกป้องการทำงานฟรีถูกเปิดโปงจนหมดสิ้น ฝ่ายซ้ายใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อนำชนชั้นแรงงานออกจากโลกของวัตถุไปสู่ภารกิจอันสูงส่ง การสร้างสังคมแห่งนักสังคมนิยม
แต่ฝ่ายซ้ายกลับเคลื่อนเข้าปะทะกับคำถามเก่าก่อนที่ถูกเสนอโดยผู้รู้ของชนชั้นแรงงาน ใครกันจะเป็นผู้ให้การศึกษาแก่ผู้ให้การศึกษา? เนื่องจากฝ่ายซ้ายไม่ได้เริ่มต้นจากความชัดเจนที่ว่า งานในโรงเรียนคือ งานที่ไม่ได้รับค่าแรง บรรดาความพยายามของพวกเขานำไปสู่การทำงานโดยไร้ค่าแรงเพื่อทุนนิยม การขูดรีดที่เข้มข้นขึ้น ความพยายามในการสร้างจิตสำนึกทางชนชั้นกลับไม่คำนึงถึงการควบคุมของทุนที่มีอยู่ในการศึกษา นั่นทำให้จุดจบของฝ่ายซ้ายคือการสนับสนุนความพยายามของทุนในการทำให้งานเข้มข้นขึ้น ด้วยการกวดขันวินัยและทำให้เป็นเหตุเป็นผลที่กระทำต่อชนชั้นแรงงาน ดังนั้น การสร้างสังคมนิยมจึงกลายเป็นเสียงจักรกลอีกประเภทของการเพิ่มให้งานการที่ปราศจากค่าแรงเพื่อทุนเพิ่มมากขึ้น
นี่คือจุดบรรจบของทุนและฝ่ายซ้ายในการปกป้องลักษณะของ งานในโรงเรียนที่ปราศจากค่าแรง
นักเรียนคือแรงงานที่ไม่ได้รับค่าแรง
นักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นแรงงาน เมื่อพูดให้เฉพาะเจาะจงกว่านี้ พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นแรงงานที่ไม่ได้รับค่าแรง สภาวะที่ไร้ค่าแรงดังกล่าวทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ด้วยความยากจนข้นแค้น ต้องพึ่งพา และทำงานหนัก แต่ที่เลวร้ายที่สุด การที่เราไม่ได้รับค่าแรงหมายความว่าพวกเราขาดอำนาจที่ค่าแรงจะมอบให้เพื่อต่อสู้กับทุน
เมื่อปราศจากค่าแรง พวกเราถูกผลักให้อยู่แค่ในระดับของชีวิตที่เปลือยเปล่า พวกเราถูกบังคับให้อยู่รอดบนฐานของสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจทนได้ ที่พักอาศัยที่พวกเราพอจะค่าเช่าได้ล้วนแออัดและต่ำกว่ามาตรฐาน อาหารที่พวกเรากินและต้องกินล้วนเป็นแต่เพียงอาหารกาก ๆ เสื้อผ้าและความบันเทิงก็ถูกทำให้เหมือน ๆ กันไปหมดและจืดจาง เป็นที่แน่ชัดว่าพวกเราคือผู้คนที่จนยาก
เนื่องจากพวกเราแทบไม่ได้รับค่าแรงและพวกเราต้องมีชีวิตอยู่ พวกเราจำเป็นต้องได้รับเงินจากบางแห่งด้วยการอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูจากคนอื่นผู้ที่ได้รับค่าแรง สำหรับนักเรียนบางคน การยังชีพและค่าธรรมเนียมการศึกษาได้รับการอุดหนุนโดยคนที่พวกเขาใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักเรียนที่ไม่ได้รับค่าแรง พวกเรากำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณอื่น ๆ ที่ทำให้พวกเราปราศจากอำนาจ มากกว่านั้น หากทั้งครอบครัวยอมสละให้ แม่ทำงานเสริมและพ่อทำงานอย่างหนักเพื่อให้พวกเราสามารถเข้าเรียนได้ พ่อแม่ของพวกเราก็ยิ่งถูกทำให้อ่อนแรง ไร้กำลังที่จะไปต่อสู้กับการทำงาน ในขณะเกี่ยวกับที่พวกเราก็ถูกข่มขู่ให้ยอมรับงานในโรงเรียน
สำหรับพวกเราคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุน ไม่ได้รับค่าแรงย่อมหมายความว่าจำเป็นต้องทำงานเสริมนอกโรงเรียน และเนื่องจากตลาดแรงงานเต็มไปด้วยนักเรียนที่มองหางาน ทุนก็บังคับค่าแรงขั้นต่ำและผลตอบแทนให้กับพวกเขา ผลลัพธ์คือพวกเราต่างต้องทำงานมากชั่วโมงหรือแม้แต่เงินเสริม เนื่องจาก งานในโรงเรียนคือสิ่งที่ไม่ให้ค่าแรง นักเรียนส่วนมากจึงต้องทำงานระหว่างสิ่งที่ถูกเรียกว่าการหยุดพักช่วงฤดูร้อน แม้ว่าพวกเราใช้เวลามากขนาดนั้นแต่พวกเราก็ไม่มีเงินพอที่จะไปมีความสุขได้ ความไร้เหตุผลดังกล่าวถูกขยายมากขึ้นด้วยความต้องการผลิตภาพที่มากสูงขึ้นซึ่งทำให้พวกเราต้องทำงานหนักขึ้น (สอบ ทำแบบทดสอบ รายงาน ฯลฯ) และด้วยวิถีทางที่พวกเราถูกเข้าโปรแกรมดังกล่าว พวกเราก็กำลังบังคับให้ตัวเองมีผลิตภาพมากขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อตัวของพวกเราเอง และในอีกด้านหนึ่ง พวกเราก็ถูกบังคับให้ต้องทำงานโดยไม่มีอะไรตอบแทน
แน่นอนว่าพวกเราถูกบอกว่ามันไม่ได้เปล่าประโยชน์ มันจะส่งผลกับอนาคตของพวกเรา พวกเขาพูดว่าพวกเราจะได้รับงานที่มีคุณค่าและค่าแรงที่สูง แรงงานฟรีจะไม่สูญเปล่า แต่เหมือนที่พวกเรารู้ แม้ว่าก่อนที่พวกเราจะเต้นรำอย่างสนุกสนานในโรงงาน มันก็ไม่มีอะไรอยู่ในอนาคตข้างหน้าเลยนอกจากงานที่เลวร้ายในฐานะเสมียนโรงแรมหรือเลขานุการในมหาวิทยาลัย ความเป็นจริงของสถานการณ์ที่ว่านี้คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้นักเรียนเริ่มต้นที่จะเรียกร้องค่าแรงสำหรับงานในโรงเรียน
ค่าแรงสำหรับนักเรียน
พวกเราต่างเบื่อหน่ายกับการทำงานแล้วไม่ได้รับค่าแรง
พวกเราต้องการค่าแรงที่เป็นเงินตราสำหรับงานในโรงเรียนที่พวกเราต้องทำ
พวกเราต้องการบีบบังคับทุนซึ่งหาผลกำไรจากการทำงานของพวกเราให้ต้องจ่ายให้กับงานในโรงเรียนหลังจากนั้นพวกเราจึงจะสามารถหยุดสภาวะการพึ่งพาทางการเงินต่อพ่อแม่ งานเสริม หรือการทำงานระหว่างปิดภาคเรียนเพื่อให้พวกเรายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อพวกเราได้รับค่าแรง เมื่อพวกเราสามารถใช้จ่ายมันได้ ด้วยหนทางดังกล่าวนี้เองที่พวกเราจะสามารถครอบครองอำนาจที่จะใช้ในการต่อรองกับทุนได้
พวกเราสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ด้วยเงินที่ว่านี้ อันดับแรก พวกเราจะทำงานให้น้อยลง โดยเฉพาะงานเสริม อันดับสอง พวกเราจะได้ความสุขจากมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้นเนื่องจากพวกเรามีเงินมากขึ้นในการใช้จ่ายเพื่อมาใช้ในเวลาที่ไม่ได้ทำงาน ลำดับสาม พวกเราจะเพิ่มค่าแรงทั่วไปในพื้นที่ซึ่งได้รับผลจากการดำรงอยู่ของแรงงานค่าแรงต่ำของพวกเรา
ด้วยการใช้เวลาว่างจากเวลาที่ใช้เพื่อทำงานในโรงเรียนและใช้มันเพื่อเรียกร้องค่าแรงสำหรับนักเรียน พวกเราคิดและปฏิบัติการณ์เพื่อต่อต้านการทำงานที่พวกเรากำลังทำอยู่ มันยังจัดวางพวกเราไว้ในตำแหน่งแห่งที่ซึ่งดีขึ้นในการได้รับเงิน
ไม่เอาอีกแล้ว งานในโรงเรียนที่ไร้ค่าแรง
ผู้สนใจอ่านภาษาอังกฤษ โปรดดู The Wages for Students Students, ‘Wages for Students’ <http://zerowork.org/WagesForStudents.html>.