ผู้เขียน Silvia Federici
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Sarutanon Prabute
พวกเขาพูดว่ามันคือความรัก แต่พวกเราจะบอกว่ามันคืองานที่ไร้ค่าแรง
ในหลายครั้ง ความยากลำบากและความสับสนที่บรรดาผู้หญิงแสดงออกมาระหว่างการถกเถียงเรื่องค่าแรงสำหรับงานบ้านเกิดขึ้นมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเธอลดทอนค่าแรงให้กลายเป็นแค่เพียงสิ่งของ เงินตรา แทนที่จะมองค่าแรงในฐานะมุมมองทางการเมืองแบบหนึ่ง ความแตกต่างระหว่างจุดยืนทั้งสองนี้แตกต่างกันมหาศาล ในการมองค่าแรงเป็นแค่เพียงสิ่งของคือการถอดถอนจุดหมายของการต่อสู้จากการเป็นการต่อสู้ในตัวมันเองและละเลยความสำคัญของมันในฐานะกระบวนการสลายตำนานและพลิกกลับบทบาทหน้าที่ซึ่งผู้หญิงถูกกำหนดในสังคมทุนนิยม
เมื่อพวกเรามองค่าแรงสำหรับงานบ้านจากจุดยืนที่ลดทอนดังกล่าว พวกเราจะเริ่มต้นด้วยการถามพวกเราเองว่า เงินที่มากขึ้นสร้างความแตกต่างอะไรให้กับชีวิตของพวกเรา พวกเราคงจะเห็นด้วยว่าสำหรับผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนักนอกจากทำงานบ้านและแต่งงาน ค่าแรงก็คงทำให้เกิดความแตกต่างมากมายมหาศาล แต่สำหรับพวกเราผู้ที่ดูเหมือนจะมีตัวเลือกอื่น ๆ บ้าง งานวิชาชีพ สามีที่มีเหตุผล วิถีชีวิตที่ช่วยเหลือกัน ความสัมพันธ์แบบคู่รักร่วมเพศหรือการผสมกันระหว่างรูปแบบความสัมพันธ์ข้างต้น ค่าแรงก็คงไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างมากมายนัก สำหรับพวกเรามันคงมีหนทางอื่นที่จะได้มาซึ่งอิสระในทางเศรษฐกิจ และสิ่งสุดท้ายที่พวกเราต้องการคือได้มันมาด้วยการบ่งเอกลักษณ์ว่าตัวเองเป็นแม่บ้านอันเป็นโชคชะตาที่พวกเราเห็นตรงกันว่าเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย ปมปัญหาสำหรับตำแหน่งแห่งที่เช่นนี้ คือ ในจินตภาพของพวกเรา พวกเราต่างก็หาทางเพิ่มเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับชีวิตแสนทุกข์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว คำถามคือแล้วยังไงต่อล่ะ ด้วยสมมติฐานเบื้องต้นที่ผิดพลาดว่าพวกเราสามารถได้รับเงินเพิ่มขึ้นโดยปราศจากการปฏิวัติบรรดาความสัมพันธ์ของครอบครัวและสังคมในการต่อสู้เรื่องค่าแรง แต่หากพวกเราจัดวางค่าแรงในฐานะมุมมองทางการเมือง พวกเราก็จะสามารถเห็นว่าการต่อสู้เพื่อค่าแรงคือการเดินหน้าเพื่อผลิตสร้างการปฏิวัติในชีวิตและในกำลังทางสังคมในฐานะผู้หญิง มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าหากพวกเราคิดว่าพวกเรา “ไม่ต้องการ” ค่าแรงดังกล่าว มันก็เป็นเพราะว่าพวกเราต่างยอมรับรูปแบบอันจำเพาะเจาะจงของการขายเรือนร่างและจิตใจโดยที่พวกเราได้รับเงินจำนวนหนึ่งมาเพื่อปิดซ่อนความต้องการนั่น ฉันจะแสดงให้เห็นว่า ค่าแรงสำหรับงานบ้านไม่ได้เป็นเพียงแค่มุมมองเชิงปฏิวัติอันหนึ่งเท่านั้น มันยังเป็นมุมมองเชิงปฏิวัติอันเดียวจากจุดยืนแบบสตรีนิยมและเพื่อชนชั้นแรงงานทั้งชนชั้น
แรงงานแห่งความรัก (a labour of love)
เป็นเรื่องสำคัญที่จะตระหนักว่าเมื่อเราพูดถึงงานบ้าน พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงงานบ้านในฐานะงานอีกชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเรากำลังพูดถึงหนึ่งในรูปแบบของการจัดการที่แพร่หลายที่สุด รูปแบบของความรุนแรงที่แสนแนบเนียนและลึกลับซึ่งทุนนิยมกระทำต่อส่วนต่าง ๆ ของชนชั้นแรงงาน เป็นความจริงที่ว่าภายใต้ทุนนิยม แรงงานทุกคนล้วนถูกจัดการและขูดรีด ความสัมพันธ์ของเขา/เธอที่มีต่อทุนล้วนถูกทำให้ลึกลับซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ค่าแรงได้มอบภาพจำอันแสนประทับใจมิรู้ลืมของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม คุณทำงานและคุณก็เอาค่าแรงไป ดังนั้นคุณและนายของคุณต่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่ความเป็นจริงนั้น ค่าแรงแทนที่จะเป็นการจ่ายเพื่องานที่คุณทำ ค่าแรงกลับปิดบังการทำงานที่ไม่ได้รับค่าแรงซึ่งนำไปสู่ผลกำไรของเจ้านาย แต่อย่างน้อยที่สุด ค่าแรงก็ทำให้เกิดการตระหนักรู้ว่าคุณคือแรงงานคนหนึ่ง และคุณก็สามารถต่อรองรวมทั้งต่อสู้เกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว ปริมาณของเงิน หรือจะต่อต้านมันก็ได้ รวมทั้งข้อตกลงและปริมาณในการทำงาน การมีค่าแรงหมายถึงการกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางสังคมและไม่ต้องสงสัยเลยเกี่ยวกับความหมายของมัน คุณทำงาน ไม่ใช่เพราะว่าคุณชอบมัน หากเป็นเพราะภายใต้เงื่อนไขที่ว่ามันคือความจำเป็นที่จะอนุญาตให้คุณมีชีวิตอยู่ แต่การขูดรีดในแบบที่คุณอาจได้รับอาจไม่ใช่ในรูปแบบการทำงานเช่นว่า ในวันนี้คุณคือนายไปรษณีย์ วันรุ่งขึ้นคุณอาจเป็นคนขับรถ สิ่งสำคัญคือปริมาณของงานที่คุณจำเป็นต้องทำและปริมาณของเงินที่คุณจะได้รับ
แต่ในกรณีของงานบ้าน สภาพการณ์กลับแตกต่างกันในระดับคุณภาพ ความแตกต่างเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ใช่แค่งานบ้านที่ถูกจัดวางให้ผู้หญิงทำ แต่งานบ้านถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นคุณลักษณะธรรมชาติของตัวตนและเรืองร่าของผู้หญิง กลายเป็นความปรารถนาภายในที่จะทำ เป็นแรงดลใจซึ่งบังเกิดมากจากส่วนลึกของคุณลักษณะของเพศหญิง งานบ้านจำเป็นต้องถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคุณลักษณะธรรมชาติมากกว่าจะเป็นสัญญาทางสังคมเพราะตั้งแต่แรกเริ่มโครงการแห่งทุน สำหรับผู้หญิงแล้ว งานเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็นงานที่ไม่ได้รับค่าแรง ทุนจำเป็นต้องโน้มน้าวพวกเราว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และทำให้เราพอใจที่จะยอมรับงานที่ไร้ค่าแรงเหล่านี้ ในทางกลับกัน สภาพที่ไร้ค่าแรงของงานบ้านเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดในการปรับเปลี่ยนสมมติฐานร่วมว่างานบ้านไม่ใช่งาน ดังนั้น การขัดขวางกีดกันผู้หญิงจากการต่อต้านมันจึงเป็นการลดทอนตัวแสดงหลักในการต่อสู้ พวกเราถูกมองว่าเป็นแค่อีบ้าไม่ใช่แรงงานแห่งการปฏิวัติ
แต่แล้วความเป็นธรรมชาติของการเป็นแม่บ้านนั้นก็ถูกเผยโฉมว่า แท้จริงแล้วมันเกิดจากกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมกว่ายี่สิบปี การถูกสอนสั่งทุกวัน ถูกแสดงให้เห็นโดยแม่ผู้ไร้ค่าแรงเพื่อเตรียมพร้อมให้ผู้หญิงสามารถรับหน้าที่ดังกล่าวได้ เพื่อโน้มน้าวให้พวกเธอยอมรับว่าลูกและสามีเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่เธอจะคาดหวังได้ในชีวิต กระนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สำเร็จสมบูรณ์เสมอไป ไม่สำคัญว่าการถูกสอนสั่งจะดีมากเพียงใด มีเพียงผู้หญิงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกโกง เมื่อวันคืนแห่งความเป็นเจ้าสาวจบลงและพบว่าตัวเองต้องอยู่หน้าอ่างล้างจานแสนสกปรก พวกเราจำนวนมากยังคงมีมายาภาพว่าพวกเราแต่งงานเพราะความรัก พวกเราจำนวนหนึ่งตระหนักได้ว่าพวกเราแต่งงานเพื่อความปลอดภัยและเงินตรา แต่มันก็เป็นห้วงเวลาที่ทำให้มันชัดเจนว่าขณะที่ความรักหรือเงินตราที่เกี่ยวข้องและได้รับมาจะน้อยนิดมาก แต่งานที่รอคอยพวกเราอยู่ก็มหาศาล นี่คือเหตุผลที่หญิงชราต่างพร่ำบอกพวกเราว่า “จงสนุกสนานกับเสรีภาพยามเมื่อพวกเธอยังสามารถสัมผัสมันได้อยู่ จงซื้อสิ่งใด ๆ ก็ตามที่พวกเธอต้องการตอนนี้เสีย” แต่โชคร้ายที่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสุขกับเสรีภาพใด ๆ หากนับจากวันแรกของชีวิต คุณก็ถูกฝึกให้กลายเป็นคนที่เชื่องเชื่อ จำยอม ต้องพึ่งพา และที่สำคัญคือยอมสังเวยตัวเองและมีความสุขจากมัน หากคุณไม่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้มันคือปัญหาของคุณ เป็นความผิดของคุณ เป็นบาป และเป็นความไม่ปกติ
พวกเราจำเป็นต้องยอมรับว่าทุนประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานในการซ่อนงานของพวกเรา ทุนสร้างสุดยอดผลงานที่จริงแท้ด้วยการสังเวยผู้หญิง ด้วยการปฏิเสธค่าแรงสำหรับงานบ้านและเปลี่ยนให้มันกลายเป็นการกระทำแห่งความรัก ทุนกำลังยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง ประการแรก ทุนได้รับการทำงานมากมายที่ทำให้มันโดยที่ทุนไม่ต้องจ่ายเงิน และทุนทำให้แน่ใจว่าบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นซึ่งไม่ใกล้เคียงกับสภาะของการต่อต้านเลยยินดีที่จะแสวงหางานทั้งหลายราวกับเป็นสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิต (ถ้อยคำแสนวิเศษที่ว่า “ใช่แล้วที่รัก คุณเป็นสตรีที่เพียบพร้อมเสียจริง”) ในขณะเดียวกัน ทุนก็กวดขันวินัยแรงงานชายไปพร้อมกัน ด้วยการทำให้ผู้หญิง “ของเขา” ต้องพึ่งพางานและค่าแรงงานสามี และกักขังพวกเขาไว้ภายใต้วินัยซึ่งถูกมอบมาให้จากโรงงานหรือที่ทำงานของพวกเขา ในความเป็นจริง หน้าที่ของพวกเราในฐานะผู้หญิงคือการเป็นแรงงานไร้ค่าแรงแต่มีความสุข เปี่ยมรัก และเป็นข้ารับใช้ของ “ชนชั้นแรงงาน” บรรดาช่วงชั้นของเหล่ากรรมชีพซึ่งทุนประทานอำนาจทางสังคมมาให้มากกว่าพวกเรา ในทิศทางเดียวกับที่พระเจ้าสร้างอีฟเพื่อมอบความสุขให้อดัม ทุนสร้างแม่บ้านเพื่อรับใช้แรงงานชายทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ เพื่อเลี้ยงดูลูกของพวกเรา ปะชุนถุงเท้า รองรับอารมณ์ยามเมื่อพวกเขาถูกบดขยี้จากงานและความสัมพันธ์ทางสังคม (ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แห่งความโดดเดี่ยว) ซึ่งทุนเตรียมเอาไว้ให้พวกเขา มันคือการรวมกันของบริการทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และเพศที่ผสมกันเป็นบทบาทที่ผู้หญิงจำเป็นต้องแสดงออกมาเพื่อทุนซึ่งสร้างคุณลักษณะอันพิเศษของข้ารับใช้ประเภทนี้ แม่บ้าน สิ่งเหล่านี้ทำให้งานการของพวกเธอช่างหนักหนาและไม่มีใครมองเห็น มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ว่าผู้ชายจำนวนมากเริ่มคิดถึงการแต่งงานตอนที่พวกเรากำลังเริ่มงานแรกในชีวิต มันเป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่า ณ ห้วงขณะนั้นเองที่พวกเขาสามารถมีสิ่งเหล่านั้นได้ แต่เพราะว่าการมีใครซักคนที่บ้านผู้ที่จะคอยดูแลผู้ชายเป็นเงื่อนไขเดียวที่จะไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นบ้าไปเสียก่อน หลังจากวันคืนที่ต้องใช้ไปบนสายการผลิตหรือบนโต๊ะทำงาน ผู้หญิงทุกคนรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเธอควรจะต้องทำเพื่อให้กลายเป็นผู้หญิงที่แท้จริงและเพื่อให้มีการแต่งงานที่ “ประสบความสำเร็จ” และในกรณีนี้อีกเช่นกัน ในครอบครัวที่ยากจน ผู้หญิงก็ยิ่งอยู่ในสภาวะที่เป็นทาสเสียยิ่งกว่าในกรณีอื่นซึ่งมันไม่ได้มีสาเหตุมาจากสภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ในความเป็นจริงทุนมีแนวนโยบายคู่ขนานสองอัน หนึ่งสำหรับชนชั้นกลาง และอีกหนึ่งสำหรับครอบครัวของกรรมชีพ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พวกเราพบความเป็นชายตรงไปตรงมามากที่สุดในครอบครัวของกรรมชีพ ยิ่งผู้ชายถูกให้ทำงานหนักเท่าไหร่ ภรรยาของเขาก็ต้องถูกฝึกฝนให้สามารถรองรับสามีของพวกเธอได้ เพื่อกู้คืนตัวตนของสามีด้วยความเหนื่อยยากของภรรยา คุณตบตีภรรยาและข่มขืนเธอเมื่อคุณรู้สึกสูญเสีย ถูกทำลายภายใต้การต่อสู้ (การไปโรงงานโดยตัวมันเองคือความแพ้พ่าย) ยิ่งผู้ชายถูกให้รับใช้มากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกอยากเป็นเจ้านายของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น บ้านของผู้ชายกลายเป็นดั่งวังของเขา… และภรรยาก็ต้องเรียนรู้ที่จะรอคอยในความเงียบงันยามเมื่อพวกมีอารมณ์ขุ่นมัว คอยกอบกู้ชิ้นส่วนของพวกเขากลับคืนมายามเมื่อแตกสลายหรือเหน็ดเหนื่อยจากโลก คอยอยู่เคียงข้างบนเตียงเมื่อเขาพูดว่า “ผมเหนื่อยเหลือเกินคืนนี้” หรือเมื่อเขาเร่งเร้าที่จะมีเซ็กส์กับคุณหรือไม่เขาก็อาจทำร้ายคุณ (อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะค้นพบการสู้กลับ แต่มันก็จำกัดอยู่ในระดับของปัจเจกและแยกขาดจากผู้อื่น ดังนั้นปัญหาคือการนำเอาการต่อสู้ดังกล่าวออกมาจากห้องครัวและห้องนอนสู่ท้องถนน)
การหลอกลวงภายใต้นามแห่งรักและการแต่งงานส่งผลต่อพวกเราทุกคน แม้นว่าพวกเราจะไม่ได้แต่งงานเนื่องจากเมื่องานบ้านถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นของที่คู่กับเพศหญิง เมื่อนั้นมันก็จะกลายมาเป็นคุณลักษณะของความเป็นผู้หญิง พวกเราทั้งหมดในฐานะผู้หญิงก็จะถูกทำให้มีคุณลักษณะตามนั้น หากมันเป็นเรื่องธรรมชาติในการที่จะต้องทำอะไรบางสิ่ง บรรดาผู้หญิงก็ต้องถูกคาดหวังให้ทำมันและชมชื่นที่จะทำมันด้วย แม้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะสามารถหลบหนีออกจากงานบางประเภทหรือเกือบทั้งหมดของมันเนื่องจากสถานะทางสังคมได้ก็ตาม (บรรดาสามีของพวกเธอสามารถซื้อหาบังคับสาวรับใช้หรือแสวงหาความรื่นรมย์อย่างอื่น) พวกเราอาจจะไม่ได้รับใช้ผู้ชายคนใดคนหนึ่ง แต่พวกเรากำลังเป็นข้ารับใช้ อยู่ในความสัมพันธ์แบบข้ารับใช้กับผู้ชายทั้งหมดในโลก นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้หญิงจะถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่ต่ำช้า เป็นของที่เสื่อมค่า (“ยิ้มหน่อยที่รัก (honey) สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อคุณไม่ใช่หรือ” เป็นบางสิ่งที่ผู้ชายทุกคนรู้สึกว่ามีสิทธิที่จะตั้งชื่อเรียกให้คุณ ไม่ว่าเขาจะเป็นสามีของพวกคุณหรือเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่กลัดตั๋วคุณบนรถไฟหรือเป็นเพียงเจ้านายในที่ทำงาน)
มุมมองแบบการปฏิวัติ
หากพวกเราเริ่มต้นจากการวิเคราะห์เช่นนี้ พวกเราก็จะสามารถเห็นถึงความหมายเชิงปฏิวัติของการเรียกร้องค่าแรงสำหรับงานบ้าน มันคือความต้องการที่ทำให้ความเป็นธรรมชาติสิ้นสุดลงและเริ่มต้นการต่อสู้ของพวกเราเพราะเพียงแค่ต้องการค่าแรงสำหรับงานบ้านนั้นหมายถึงการปฏิเสธงานบ้านในฐานะการปรากฏตัวของธรรมชาติของพวกเรา และด้วยเหตุดังกล่าวมันจึงกำลังปฏิเสธบทบาทของผู้หญิงซึ่งทุนได้จัดวางไว้ให้พวกเรา
การทวงถามถึงค่าแรงสำรับงานบ้านโดยตัวของมันเองได้บ่อนทำลายความคาดหวังของสังคมที่มีต่อพวกเรา เนื่องจากความคาดหวังดังกล่าว แก่นแกนของกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ทั้งหมดล้วนทำหน้าที่สร้างเงื่อนไขที่ทำให้พวกเราทำงานโดยปราศจากค่าแรงที่บ้าน ในแง่นี้ มันจึงกลายเป็นสิ่งที่เหลวไหลที่จะเปรียบเทียบการต่อสู้ของผู้หญิงเพื่อค่าแรงกับการต่อสู้ของแรงงานผู้ชายในโรงงานเพื่อค่าแรงที่มากขึ้น แรงงานที่ได้รับค่าแรงในกระบวนการต่อสู้เพื่อค่าแรงที่มากขึ้นได้ท้าทายบทบาททางสังคมของพวกเขาแต่ก็ยังคงอยู่ภายในบทบาทดังกล่าวอยู่ดี ยามเมื่อพวกเราต่อสู้เพื่อค่าแรง พวกเรากำลังต่อสู้กับบทบาททางสังคมของพวกเราอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจนไม่ต้องสงสัย ในขณะเดียวกัน มีความแตกต่างเชิงคุณลักษณะระหว่างการต่อสู้ของแรงงานที่ได้รับค่าแรงกับการต่อสู้ของทาสเพื่อค่าแรงซึ่งต่อต้านความเป็นทาส อย่างไรก็ตาม มันควรจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าเมื่อพวกเราต่อสู้เพื่อค่าแรง พวกเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อเข้าสู่ความสัมพันธ์แบบทุนนิยมเนื่องจากพวกเราไม่เคยอยู่ภายนอกพวกมันมาก่อน พวกเราต่อสู้เพื่อทำลายล้างแผนการของทุนที่มีต่อผู้หญิงซึ่งมันเป็นห้วงขณะอันสำคัญยิ่งยวดของกระบวนการแบ่งแยกภายในชนชั้นแรงงาน แผนการซึ่งทุนจะสามารถธำรงไว้ซึ่งอำนาจของมันต่อไปได้ ดังนั้น ค่าแรงสำหรับงานบ้านจึงเป็นความปรารถนาเชิงปฏิวัติ ไม่ใช่เพราะโดยตัวมันเองทำลายทุน แต่เนื่องจากว่ามันบีบบังคับให้ทุนจำต้องปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่อำนวยประโยชน์แก่พวกเราและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชั้น ในความเป็นจริง ความปรารถนาค่าแรงสำหรับงานบ้านไม่ได้หมายความว่าหากพวกเราได้รับการจ่ายเงินแล้วพวกเราจะหยุดการต่อสู้ มันหมายความตรงกันข้ามเลยต่างหาก การบอกว่าพวกเราต้องการเงินสำหรับงานบ้านคือก้าวแรกของการปฏิเสธที่จะทำงานบ้าน เนื่องจากการเรียกร้องต้องการค่าแรงทำให้งานของพวกเรากลายเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นซึ่งมันเป็นเงื่อนไขที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของการเริ่มต้องต่อสู้กับมันทั้งในแง่มุมเบื้องต้นในฐานะงานบ้านและคุณลักษณะอันน่ารังเกียจในฐานะความเป็นผู้หญิง
ในการคัดค้านต่อคำกล่าวหาของบรรดาพวก “เศรษฐกิจนิยม” พวกเราควรที่จะระลึกไว้ว่าเงินตราคือทุน ดังนั้นมันจึงเป็นอำนาจในการควบคุมแรงงานด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าว การช่วงชิงเงินตราที่ถูกชิงไปกลับมาใหม่อีกครั้ง เงินตราซึ่งเป็นดอกผลจากแรงงานของพวกเรา ของแม่พวกเรา ของย่ายายพวกเรามันจึงหมายถึงการบ่อนทำลายอำนาจสั่งการของแรงงานที่มีต่อพวกเรา และพวกเราไม่ควรแคลงใจในอำนาจของค่าแรงที่จะกร่อนทำลายความเป็นผู้หญิงและสร้างให้งานของพวกเราให้ปรากฏเห็นได้ ความเป็นผู้หญิงของพวกเราเป็นดั่งการทำงาน เนื่องจากการหายไปของค่าแรงทรงอนุภาพมากต่อการจัดรูปลักษณ์หน้าที่ดังกล่าวและกลบซ่อนงานของพวกเราจากการมองเห็น การเรียกร้องค่าแรงคือการทำให้พวกมันสามารถถูกมองเห็นได้ว่าเรือนร่าง จิตใจ และอารมณ์ของพวกเราถูกบิดผันไปเพื่อทำหน้าที่เฉพาะบางประการและถูกโยนกลับมาให้พวกเราในฐานะแบบอย่างซึ่งพวกเราควรที่จะทำตามหากพวกเราปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับในฐานะผู้หญิงของสังคมนี้
การบอกว่าพวกเราต้องการค่าแรงสำหรับงานบ้านคือการแสดงออกถึงความจริงที่ว่างานบ้านทำเงินให้กับทุน ทุนได้สร้างและผลิตเงินตราขึ้นมาจากการทำอาหาร การยิ้ม และการมีความสัมพันธ์ทางเพศของพวกเรา ในขณะเดียวกัน มันก็แสดงให้เห็นว่าที่พวกเราต้องทำอาหาร ยิ้ม และมีเซ็กส์ตลอดปีไม่ใช่เป็นเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าสำหรับพวกเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ หากแต่เป็นเพราะว่าพวกเราไม่มีตัวเลือกอื่น ใบหน้าของพวกเราบิดเบี้ยวจากการยิ้มที่ยาวนานและบ่อยครั้ง การมีความสัมพันธ์ทางเพศบ่อยครั้งและล้นเกินทิ้งให้พวกเราตายด้านทางเพศ
ค่าแรงสำหรับงานบ้านจึงเป็นเพียงปฐมบท เพียงแค่ปฐมบทนี้ช่างชัดเจน นับแต่นี้พวกเขาจำเป็นต้องจ่ายค่าแรงให้กับเราเพราะในฐานะที่เป็นผู้หญิง พวกเราไม่รับประกันว่าอะไรต่าง ๆ จะต้องเป็นเช่นเดิมอีกต่อไป พวกเราต้องการเรียกร้องงาน งานที่ซึ่งในท้ายที่สุดเราจะสามารถค้นพบสิ่งที่เรียกว่าความรักและสร้างสิ่งที่จะกลายเป็นเพศวิถีซึ่งพวกเราไม่เคยได้รู้มาก่อน และจากมุมมองต่องานดังกล่าว พวกเราสามารถทวงถามไม่ใช่แค่ค่าแรงสำหรับงานหนึ่งงาน แต่เป็นค่าแรงสำหรับงานที่มากกว่านั้น เพราะพวกเราถูกบังคับให้ทำงานมากมายไปพร้อม ๆ กันมาเนิ่นนานแล้ว พวกเราเป็นข้ารับใช้ของบ้าน เป็นโสเภณี เป็นพยาบาล นี่คือแก่นแกนของคู่สมรส “ในอุดมคติ” ผู้ที่ถูกยกยอปอปั้นใน “วันแม่” พวกเราจะบอกว่า หยุดเทิดทูนการขูดรีดพวกเราและทำให้มันกลายเป็นวีรสตรีได้แล้ว นับจากนี้พวกเราต้องการค่าแรงสำหรับทุก ๆ ห้วงขณะที่เราทำงาน ด้วยการกระทำดังกล่าวนี้เองที่พวกเราจะสามารถปฏิเสธบางส่วนของมันและในที่สุดจะสามารถปฏิเสธทั้งหมดของมันได้ ในแง่นี้ไม่มีสิ่งใดที่จะทรงประสิทธิภาพมากไปกว่าการแสดงให้เห็นว่าความเป็นผู้หญิงคือสิ่งที่มีมูลค่าเชิงเงินตราซึ่งสามารถคิดคำนวณได้ เพิ่มพูนมันขึ้นในสายตาของหน่วยวัดที่พวกเราเคยถูกทำให้พ่ายแพ้ นับจากนี้ด้วยการต่อต่อต้านทุนสำหรับพวกเราในหน่วยวัดดังกล่าว พวกเรากำลังจัดการอำนาจของเราเอง
ต่อสู้เพื่อการบริการทางสังคม
สิ่งเหล่านี้คือมุมมองแบบถึงรากที่สุดที่พวกเราสามารถนำมาใช้ได้เพราะถึงแม้ว่าพวกเราจะสามารถเรียกร้องทุกสิ่ง การดูแลประจำวัน ค่าแรงที่เท่าเทียม บริการซักรีดฟรี พวกเราก็จะไม่มีวันได้รับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้นเว้นแต่ว่าพวกเราจะจู่โจมบทบาทความเป็นผู้หญิงของพวกเราในระดับรากฐานของมันเลย การต่อสู้เพื่อบริการทางสังคม กล่าวคือ เพื่อเงื่อนไขการทำงานที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้มักจะถูกทำให้ไร้ค่าหากคุณไม่สามารถบอกได้ว่างานที่คุณกำลังทำมันคืองาน เว้นเสียแต่ว่าคุณต่อสู้กับองค์รวมของมันมิเช่นนั้นคุณก็จะไม่มีวันได้รับชัยชนะ พวกเราจะประสบความล้มเหลวในการต่อสู้เพื่อบริการซักรีดฟรียกเว้นว่าพวกเราจะเริ่มต้นด้วยการต่อสู้กับความจริงที่ว่าพวกเราไม่สามารถรักได้เว้นแต่ ณ ขณะที่เราต้องจ่ายด้วยการทำงานอย่างไร้จุดจบที่ทุกวันคืนค่อย ๆ กร่อนทำลายร่างกาย เซ็กส์ ความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเรา เว้นแต่ว่าเราจะเริ่มผละจากการข่มขู่ที่ทำให้การให้และความรู้สึกถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นหน้าที่ซึ่งต้องทำซึ่งในท้ายที่สุดมันจะเป็นสิ่งที่กลับมาต่อต้านตัวพวกเราเอง รวมทั้งทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบต่อสามี ลูกหลาน เพื่อนฝูงของเราเองและก่อเป็นความรู้สึกผิดซึ่งเกิดจากความขุ่นเคืองดังกล่าว การทำงานเสริมไม่ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทดังกล่าวเลย วันคืนของงานของผู้หญิงยังคงปรากฏอยู่ งานเสริมไม่เพียงเพิ่มพูนกระบวนการขูดรีดของพวกเรา แต่ยังผลิตซ้ำบทบาทของพวกเราในอีกรูปแบบ ไม่ว่าเราจะหันไปที่ไหน พวกเราก็สามารถมองเห็นได้ว่างานการต่าง ๆ ที่ผู้หญิงทำเป็นเพียงการขยายนัยสภาพของการเป็นแม่บ้านออกไป สิ่งนี้ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเรากลายเป็นพยาบาล แม่บ้าน ครู เลขานุการ การทำงานทั้งหมดที่พวกเราถูกฝึกฝนอย่างดีในบ้านเท่านั้น แต่พวกเรากำลังอยู่ในข้อผูกมัดเดียวกันกับที่ขัดขวางการต่อสู้ของพวกเราในบ้าน ความโดดเดี่ยว ความจริงที่ว่าชีวิตของคนอื่นขึ้นอยู่กับพวกเรา หรือความเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นว่างานของเราเริ่มต้นที่ใดและสิ้นสุดลงเมื่อใด การนำกาแฟไปให้เจ้านายของคุณและพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับปัญหาในครอบครัวเป็นงานของเลขานุการหรือเป็นเรื่องส่วนตัวกันแน่ ความจริงที่ว่าพวกเราจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ซึ่งเกี่ยวกับเงื่อนไขในการทำงานหรือมันเป็นแค่ผลของความภูมิใจในความเป็นผู้หญิง (จนกระทั่งปัจจุบันพนักงานบนสายการบินในสหรัฐอเมริกาก็ถูกบังคับให้ชั่งน้ำหนักอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงต้องควบคุมอาหารตลอดเวลาเนื่องจากความหวาดกลัวที่จะต้องถูกไล่ออกจากงาน นี่เป็นความทรมานที่ผู้หญิงทุกคนต่างรู้ดี) เฉกเช่นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนรู้กันดีว่า เมื่อความต้องการของตลาดแรงงานที่ได้รับค่าแรงต้องการให้พวกเธอปรากฎตัวขึ้น ผู้หญิงก็สามารถทำงานใดก็ได้โดยที่ความเป็นผู้หญิงของเธอไม่มีทางหายไปราวกับว่าหนทางที่ง่ายที่สุดในการยืนยันว่าเธอคือผู้หญิงนั้นไม่ใช่ว่าเธอกำลังทำอะไรแต่เป็นที่ว่าเธอมีช่องคลอด
ในฐานะข้อเสนอว่าด้วยกระบวนการทำให้กลายเป็นเรื่องทางสังคมและรวมหมู่ของงานบ้าน มีตัวอย่างสองอันที่เพียงพอในการลากเส้นแบ่งระหว่างทางเลือกเหล่านั้นกับมุมมองของพวกเรา หนึ่งเป็นเรื่องที่ต้องการให้สร้างศูนย์รับเลี้ยงเด็กขึ้นมาตามที่เราต้องการและเรียกร้องให้รัฐต้องดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ อีกอันคือการส่งลูกของเราไปยังรัฐและบอกว่ารัฐควบคุมพวกเรา กวดขันวินัยพวกเขา ต้องให้พวกเขารักในเกียรติยศของธงชาวอเมริกันไม่ใช่แค่ห้วงเวลาเพียงห้าชั่วโมงหากแต่เป็นสิบห้าหรือยี่สิบสี่ชั่วโมง หนึ่งคือการจัดการหนทางที่พวกเราจะกินอาหารแบบซึ่งกันและกันเป็นชุมชน (โดยพวกเราเอง ในกลุ่มต่าง ๆ ฯลฯ) และให้รัฐมาดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ และอีกหนึ่งคือสิ่งที่ตรงข้ามกันคือเรียกร้องให้รัฐเข้ามาจัดการมื้ออาหารของพวกเรา ในกรณีแรกพวกเราทวงคืนการควบคุมเหนือชีวิตของพวกเราบางส่วนกลับคืนมา ในขณะที่อีกกรณีหนึ่งเรากำลังทำให้รัฐเข้ามาควบคุมพวกเรา
การต่อสู้ต่อต้านงานบ้าน
พวกหญิงบางคนกล่าว ค่าแรงสำหรับงานบ้านจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติสามีของพวกเราที่ต่อพวกเรา สามีของพวกเราจะไม่คาดหวังหน้าที่เดิม ๆ เหมือนดังในอดีตหรือหนักยิ่งกว่าก่อนที่พวกเราจะได้รับค่าแรงหรือไม่ แต่บรรดาผู้หญิงเหล่านั้นจะไม่เห็นว่าพวกเธอจะสามารถคาดหวังอะไรได้มากนักจากพวกเราเนื่องจากว่าพวกเราไม่ได้เป็นคนที่จ่ายเงินให้กับพวกเธอ เพราะว่าพวกเธอคะเนว่ามันคือ “ธุระของผู้หญิง” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ต้องสิ้นเปลืองแรงมากมายนักในการที่จะทำให้มันเสร็จ พวกผู้ชายสามารถที่จะยอมรับการบริการของพวกเราและเสวยสุขไปกับสิ่งเหล่านั้นได้เพราะว่าพวกเขาต่างคิดว่างานบ้านเป็นงานที่ไม่หนักหนาเท่าใดนักสำหรับพวกเรา พวกเขาคิดว่าพวกเราต่างสนุกสนานไปกับการทำงานบ้านเนื่องจากพวกเราทำงานเพราะความรัก จริง ๆ แล้วพวกเขายังคาดอีกว่าพวกเราควรจะต้องรู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างมากเนื่องจากการแต่งงานหรือการได้อาศัยร่วมกันเป็นลู่ทางที่จะทำให้พวกเราสามารถแสดงความเป็นผู้หญิงออกมาได้ซึ่งเป็นโอกาสที่พวกเขามอบให้ “คุณแสนโชคดีที่ได้พบผู้ชายอย่างฉัน” มีแต่เฉพาะห้วงขณะที่ผู้ชายเหล่านั้นเห็นว่างานของพวกเราคืองาน ความรักของพวกเราคืองาน และที่สำคัญเห็นถึงความตั้งใจของพวกเราที่จะปฏิเสธแง่มุมทั้งสองนั้นเองที่พวกเขาจะต้องเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพวกเรา ยามเมื่อผู้หญิงเรือนร้อยเรือนแสนออกไปสู่ท้องถนนแล้วตะโกนว่า การทำความสะอาดที่ไม่มีวันจบสิ้น การเป็นที่รองรับอารมณ์ การมีเซ็กส์ตามคำสั่งซึ่งมาจากความกลัวที่จะสูญเสียงานของพวกเราคือสิ่งที่เลวร้าย ตะโกนบอกว่ารังเกียจงานที่กำลังทำลายชีวิตของพวกเรา เมื่อนั้นเองที่พวกเขาจะตกอยู่ในความหวาดกลัวและรู้สึกว่าความเป็นผู้ชายของเขาถูกทำลายลง
แต่ว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากมุมมองของพวกเราเอง เนื่องจากว่าด้วยการเปิดเผยถึงวิถีทางที่ทุนกักขังพวกเราไว้และแยกออกจากกัน (ทุนได้กวดขันวินัยพวกเราผ่านตัวของพวกเราเองและทำให้พวกเราขัดแย้งกัน) พวกเราเปิดเผยถึงกระบวนการการปลดปล่อยของเราเอง ในแง่นี้ ค่าแรงสำหรับเราจะกลายเป็นสิ่งที่มากกว่าการพิสูจน์ว่าพวกเราสามารถทำงานได้เท่า ๆ กับผู้ชายหรือพวกเราสามารถทำงานเดียวกับพวกเขาได้ แต่การเรียกร้องจะกลายเป็นเหมือนกระบวนการเรียนรู้ พวกเราละทิ้งความพยายามอย่างหนักในการที่จะเป็น “ผู้หญิงทำงาน” ผู้หญิงผู้ซึ่งสามารถหลบหนีออกจากการกดขี่ของพวกเธอได้แต่ไม่ใช่ด้วยพลังของการรวมตัวหรือการต่อสู้แต่เป็นผ่านอำนาจของเหล่าเจ้านาย อำนาจแห่งการกดขี่ซึ่งกำลังกระทำต่อผู้หญิงคนอื่น ๆ และพวกเราก็ไม่ปรารถนาที่จะพิสูจน์ว่าพวกเราสามารถ “ทำลายปราการของพวกคอปกน้ำเงิน” ได้ พวกเราจำนวนมากทุบทำลายปราการนั่นเมื่อนานมาแล้วและค้นพบว่าชุดเอี๊ยมทำงานไม่ได้มอบให้พวกเรามีอำนาจมากไปกว่าผ้ากันเปื้อนในครัว แม้หากมันจะเป็นไปได้ก็ด้วยการที่พวกเราจำเป็นต้องสวมทั้งผ้าและเสื้อทั้งสองดังกล่าวและพวกเราก็จะมีเวลารวมทั้งพลังงานที่น้อยลงในการที่จะต่อต้านมัน สิ่งต่าง ๆ ที่พวกเราจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นคือความสามารถของพวกเราในการแสดงให้เห็นว่าพวกเรานั้นพร้อมที่จะกระทำและกำลังกระทำอยู่ ทุนกำลังกระทำต่อเราและพลังของพวกเราก็กำลังต่อสู้กับมันอยู่
น่าเสียดาย ผู้หญิงจำนวนมากโดยเฉพาะที่ยังโสดอยู่ต่างหวาดกลัวมุมมองว่าด้วยค่าแรงสำหรับงานบ้านเพราะว่าพวกเธอหวาดกลัวที่จะระบุว่าพวกเธอเป็นเหมือนแม่บ้าน พวกเธอรู้ว่ามันคือตำแหน่งแห่งที่ซึ่งไร้อำนาจมากที่สุดในสังคมและดังนั้นพวกเธอจึงไม่ปรารถนาที่จะกลายเป็นหนึ่งในแม่บ้าน นี่คือจุดอ่อนของพวกเธอ จุดอ่อนที่ถูกรักษาและทำให้คงอยู่ตลอดไปผ่านความขาดของการบ่งชี้ถึงตัวเองด้วยตัวเอง พวกเราต้องการและจำเป็นต้องพูดว่าพวกเราทั้งหมดล้วนเป็นแม่บ้าน พวกเราทั้งหมดเป็นโสเภณี พวกเราทั้งหมดเป็นเกย์ เพราะจนกว่าพวกเราจะตระหนักรู้ถึงความเป็นทาสของพวกเรา พวกเราก็จะไม่สามารถตระหนักถึงการต่อสู้มันได้ เพราะว่าตราบเท่าที่พวกเรายังคิดว่าพวกเราเป็นบางสิ่งที่ดีกว่า บางสิ่งที่แตกต่างจากการเป็นแม่บ้าน พวกเราก็กำลังยอมรับตรรกะของนายทาสซึ่งมันคือตรรกะของการแบ่งแยก และสำหรับพวกเราแล้วมันก็คือตรรกะของความเป็นทาส พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นแม่บ้านเพราะไม่ว่าพวกเราจะอยู่ ณ ที่แห่งไหน พวกเขาก็สามารถวางใจได้ว่าพวกเราจะทำงานมากขึ้น ความหวาดกลัวที่มากขึ้นกำลังทับถมลงมาบนพวกเราและผลักให้ความต้องการของพวกเรามากยิ่งขึ้น แต่เป็นในทิศทางที่แรงกดดันที่มีต่อเงินของพวกเขาน้อยลง เนื่องจากความคิดและความสนใจของพวกเราซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวังถูกเบี่ยงเบนและนำไปสู่สถานที่แห่งอื่น ที่ซึ่งผู้ชายเหล่านั้นในปัจจุบันหรือในอนาคตของพวกเราคือ “ผู้ที่จะนำความสุขและดูแลพวกเรา”
และพวกเราก็กำลังหลอกตัวเองว่าพวกเราสามารถหนีจากงานบ้านได้ แต่ว่าจะพวกเราจำนวนสักเท่าไหร่กันเล่าที่จะสามารถหนีจากมันไปได้แม้ว่าพวกเขาจะทำงานอยู่นอกบ้านก็ตาม และพวกเราสามารถเมินเฉยต่อแนวคิดในการมีชีวิตร่วมกับผู้ชายได้ง่ายดายจริงหรือ จะเกิดอะไรขึ้นหากเราสูญเสียงานของพวกเรา แล้วเรื่องความชราภาพและความดึงดูดใจล่ะ เกี่ยวกับเด็ก ๆ เล่า พวกเราจะเสียใจหรือเปล่าหากตัดสินใจที่จะไม่มีพวกเขา ไม่แม้แต่จะถามถึงคำถามดังกล่าวอย่างจริงจัง และพวกเราสามารถมีความสัมพันธ์แบบเกย์ได้หรือไม่ พวกเรายินดีที่จะจ่ายราคาของการแยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยวหรือไม่ แต่พวกเราสามารถมีความสัมพันธ์กับผู้ชายได้จริงหรือ
คำถามคือ เหตุใดทางเลือกเหล่านั้นจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเราและรูปแบบของการต่อสู้แบบใดที่จะนำพาพวกเราให้ไปไกลกว่าสิ่งเหล่านี้
บทความนี้แปลจาก ‘Silvia Federici, “Wages Against Housework”’, Caring Labor: An Archive, 2010 <https://caringlabor.wordpress.com/2010/09/15/silvia-federici-wages-against-housework/> [accessed 29 January 2021].