เดือนพฤศจิกายน 2019 ท่ามกลางกระแสการชุมนุมอันพลุ่งพล่าน ผู้ประท้วงชาวฮ่องกงรวมตัวกันต่อหน้ากงสุลสหรัฐอเมริกา เรียกร้องให้นายโดนัลด์ ทรัมป์ช่วย ‘ปลดปล่อย’ เกาะเล็กๆ นั้นให้เป็นอิสระจากการควบคุมของทางปักกิ่ง พวกเขาชูแผ่นป้ายที่มีข้อความว่า ‘โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โปรดช่วยปลดปล่อยฮ่องกงด้วย’ เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น กอปรกับการกวัดแกว่งธงชาติสหรัฐฯ กลายเป็นเรื่องขำขันในหมู่ฝรั่งมังค่าทั้งหลาย ด้วยความเข้าใจที่ว่าสหรัฐฯเชื่ออย่างสนิทใจ ในโฆษณาชวนเชื่อของตัวเองที่ว่าพวกเขาจะ ‘ปกป้องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย’ เป็นเรื่องที่สร้างความขำขันไม่น้อยเลยทีเดียว

เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เราเริ่มเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในขบวนการประชาธิปไตยของไทยเช่นเดียวกัน เราเริ่มเห็นบัญชีผู้ใช้ทางทวิตเตอร์ที่มีธงชาติอเมริกาประดับบนชื่อ เราเริ่มเห็นธงไต้หวันและทิเบตโบกสะบัดในที่ชุมนุม สิ่งเหล่านี้ส่งสัญญาณว่าเรายืนเคียงข้างรัฐ(กึ่ง)บริวารของอเมริกา ซึ่งทำทีเป็นจักรวรรดินิยมที่เข้ามาคัดง้างกับจักรพรรดิผู้โหดร้าย น่าเสียดายที่เราจำเป็นต้องกล่าวให้ชัดว่า อเมริกานั้นไม่ใช่พี่ใหญ่หรือมิตรสหายของเรา

เราควรจะเริ่มพิจารณาข้อเสนอนี้จากจุดไหนก่อนดี? เราอาจเริ่มจากตัวอย่างความโหดร้ายป่าเถื่อนของตำรวจอเมริกาที่มีให้เห็นมากมายในช่วงปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐอเมริกาใช้กำลังและแม้กระทั่งการสังหารพลเมืองของตนเอง เช่นนี้แล้วพวกเขาจะหันมาเหลียวแลการใช้รถน้ำสลายการชุมนุมที่อยู่ห่างออกไปอีกฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกหรือ? ผู้ประท้วงในประเทศไทยควรเห็นคุณค่าและยืนเคียงบ่าเคียงไหลกับขบวนการ #BlackLiveMatter มากกว่ารัฐป่าเถื่อนที่กดขี่เพื่อนของเรา แท้จริงแล้ว เราและสหายชาวผิวสีต่างต่อสู้กับศัตรูคนเดียวกัน นั่นคือโครงสร้างอำนาจของสังคมชนชั้นอันแข็งแกร่ง เทียบกับรัฐไทยแล้ว สหรัฐอเมริกาใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม (ในช่วงพีคสุด) อย่างโหดร้ายป่าเถื่อนแทบทุกวัน พวกเขาใช้แก๊สน้ำตา จับกุมผู้ชุมนุม ใช้กระสุนยาง ใช้กองกำลังตำรวจ รวมถึงเปิดโอกาสให้ม็อบขวาจัดติดอาวุธสังหารผู้ชุมนุมอีกด้วย มากไปกว่านั้น สหรัฐอเมริกายังมีการลักพาตัวและเป็นที่น่าสงสัยว่าอาจมีการฆาตกรรม เหล่าแกนนำผู้ชุมนุม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ บ่งชี้ว่าสหรัฐอเมริกาเองก็โหดร้ายไม่น้อยไปกว่ารัฐไทยเลย

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้รัฐบาลอเมริกันของนายโดนัลด์ ทรัมป์และพรรครีพับลิกันซึ่งมีนโยบายในรูปแบบปฏิกิริยาต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ผู้คนที่สนใจการเมืองรู้ดีว่า รัฐบาลอเมริกัน โดยเฉพาะภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นศัตรูกับสามัญชนอย่างชัดเจน เห็นได้จากการจาบจ้วงประชาราษฎร์เพื่อการสะสมทุนและแสวงหาอำนาจ พรรครีพับลิกันมีผลงานมากมายเป็นที่ประจักษ์ ทั้งการลดมาตรการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อม กีดกันสตรีไม่ให้เข้าถึงกระบวนการยุติการตั้งครรภ์และบริการด้านสุขภาพ จับชาวแอฟริกันอเมริกันเข้าคุก ปกป้องผลประโยชน์ของอาชญากรผู้ร่ำรวย รวมถึงมีการคอรัปชั่นอย่างมหาศาล การกระทำที่น่ารังเกียจเหล่านี้บอกเราว่า เขาไม่ใช่เพื่อนของเรา เขาเป็นศัตรูของเราเสียมากกว่า เว้นแต่ว่าคุณจะเป็นคริสต์เตียนอเมริกันผิวขาวมีทรัพย์สินมากมายมหาศาลเท่านั้น ซึ่งผมว่าท่านผู้อ่านก็คงไม่น่าใช่ กระทั่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ก็ยังมีชาวทวิตภพคนไทยรีทวีตนักการเมืองพรรครีพับลิกัน และขอความช่วยเหลือเพื่อให้เขาปลดปล่อยชาวไทยจากระบอบอันกดขี่ ระบอบที่เกือบเหมือนภาพสะท้อนของสังคมอเมริกัน สังคมที่ปกครองโดยนักการเมืองที่เราบางคนคิดว่าจะมาเป็นพระผู้ไถ่บาปให้นั่นแหละ

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่นโยบายภายในประเทศของสหรัฐฯต่อพลเมืองของตนเองเท่านั้น แต่การจะเข้าใจความสัมพันธ์ของสหรัฐฯต่อประเทศไทย เราจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณานโยบายต่างประเทศของพญาอินทรีด้วย อันดับแรกเราต้องสำเหนียกไว้เลยก็คือว่าสหรัฐฯมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลประยุทธ์และกองทัพไทยเป็นอันมาก รัฐไทยและสหรัฐฯมีการซ้อมรบประจำปีอยู่ตลอด สหรัฐฯขายอาวุธให้รัฐไทย และรัฐไทยอนุญาตให้สหรัฐฯตั้งคุกลับเพื่อทรมานนักโทษอีกด้วย ที่กล่าวมานี้เป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า ทั้งสองรัฐมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันและรักษามิตรภาพนี้ไว้ได้ดีเสมอมา ทำให้ความคิดที่ว่า อเมริกาอาจจะโค่นล้มรัฐบาลนี้เพื่อประโยชน์ของผู้ชุมนุมช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระเสียเหลือเกิน

ต่อมาเราก็มาพิจารณาการแทรกแซงทางการเมืองของสหรัฐฯต่อนานาประเทศ เพื่อประชาธิปไตยเป็นอย่างไรในภาคปฏิบัติกันบ้าง เหตุการณ์ที่สหรัฐฯเข้าแทรกแซงอิรักในปี 2003 เพื่อ สนับสนุนประชาธิปไตยได้คร่าชีวิตผู้คนกว่า 1 ล้านนั้นเป็นที่รู้จักกันดี ทั้งนี้เหตุการณ์ที่ว่าเกิดขึ้นหลังจากการแทรกแซงอัฟกานิสถานเพื่อ สนับสนุนประชาธิปไตยที่ได้พรากชีวิตคนกว่า 100,000 ศพไปไม่นาน เหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ ที่ประธานาธิบดีโอบามาเข้าแทรกแซงลิเบียเพื่อ สนับสนุนประชาธิปไตยทำให้เกิดความตายอันประมาณไม่ได้จากการที่ลิเบียเข้าสู่ภาวะมิคสัญญี และกลายเป็นรัฐที่มีตลาดค้าทาสและซื้อขายมนุษย์ขึ้นมา ทั้งหมดนี้เป็นเหตุการณ์ที่จัดอยู่ในประเภท เหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้แต่อาชญากรรมของจักรวรรดิอเมริกันนั้นช่างยาวนาน ป่าเถื่อนโหดร้ายหลากหลายกว่านี้ยิ่งนัก

อันที่จริงสหรัฐฯสนับสนุน และหลายครั้งเป็นผู้ก่อการรัฐประหารต่อรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาอย่างเป็นประชาธิปไตยนับครั้งไม่ถ้วน นี่รวมถึงการรัฐประหารของไทยในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะเมื่อมีเวียดนามเกี่ยวข้อง สหรัฐฯเป็นกำลังหลักสำคัญในการสนับสนุนเผด็จการและการต่อต้านขบวนการประชาธิปไตยในไทยผ่านทางความช่วยเหลือด้านการเงิน การทหาร และเทคโนโลยี ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้หาได้ตามหนังสือมีชื่อที่ทางการไทย(เคยและอาจจะ)แบน(ในอนาคต) ซึ่งแน่นอนว่าดินแดงไม่ได้สนับสนุนให้คุณอ่านแต่อย่างใด

แล้วทำไมชาวไทยหลายคน และแม้แต่ประชาสังคมโลกถึงมองอเมริกาเป็นผู้นำด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนกันเล่า? คำตอบอย่างง่ายคือการโฆษณาชวนเชื่อนั่นแหละ องคาพยพในการโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐฯทำงานแข็งขันอย่างยิ่งในช่วงสงครามเย็น พวกคนรวยและผู้มีอำนาจบาตรใหญ่ทำทุกวิถีทางในการปกป้องความร่ำรวยของตนให้พ้นภัยลัทธิคอมมิวนิสม์หรือแม้กระทั่งประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจก็ตาม ผลคือแผนกโฆษณาชวนเชื่อของอเมริกาโหมกระหน่ำกระทำการอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย เกิดภาพยนตร์ หนังสือ รายการโทรทัศน์ และกระทั่งวิชาเรียนในมหาวิทยาลัย ที่หล่อหลอมให้เกิดความเชื่อที่ว่าอเมริกาคือผู้พิทักษ์ประชาธิปไตยและเสรีภาพขึ้นมา แม้สงครามเย็นจะจบสิ้นไปแล้ว องคาพยพของจักรกลโฆษณาชวนเชื่อก็ไม่เคยหยุดตัวลง เห็นได้จากความคิดความเชื่ออันแปลกประหลาดพิสดารและผิดฝาผิดตัวยังคงเหลืออยู่ในจิตสำนักของผู้คนในที่สาธารณะจนถึงทุกวันนี้

ท้ายสุดแล้ว หากมันเป็นดังที่ชื่อบทความกล่าวไว้ พญาอินทรี ไม่ใช่พี่ใหญ่เรา: มิตรไม่แท้ ศัตรูถาวร? แล้วใครเล่าคือเพื่อนเรา? ใช่ผู้คนทั่วโลกที่กำลังต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและการปกครองตัวเองหรือเปล่า? พวกเขาเหล่านี้คือชาวปาเลสไตน์ ชนกลุ่มน้อยในพม่า พลเมืองชั้นสองชาวโบลิเวียกับชิลีซึ่งเพิ่งได้รับชัยชนะในประเทศของเขาทั้งคู่ และแน่นอนว่ารวมไปถึงชาวผิวสีผู้ประท้วงด้วยสโลแกน #BlackLiveMatter ผู้ต่อสู้กับอำนาจทมิฬของรัฐบาลมหาพญาอินทรี ช่างเป็นที่น่าเสียใจที่รัฐอำนาจเถื่อนเดียวกันนี้นี่เอง ที่ชาวไทยหลายคนเรียกร้องให้เข้ามาช่วย