(ขยายความ- ประเทศในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้สิน วันละประมาณ 447 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากนำเงินที่ต้องจ่ายเป็นเวลา 25 วัน มารวมกัน (ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์) จำนวนเงินเท่านี้เพียงพอที่จะลงทุนสร้างระบบน้ำประปาให้ทุกครัวเรือนมีน้ำสะอาดใช้ถึงบ้าน ผู้หญิงในภูมิภาคนี้ก็จะไม่ต้องเสียเวลา (40,000 ล้านชั่วโมงต่อปี) เดินไปตักน้ำเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร)

 

ถึงเหล่าเพื่อนที่รัก,

 

ทักทายสวัสดีจากโต๊ะทำงานของไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม  Tricontinental: Institute for Social Research

เดือนมีนาคมเป็นเดือนของ วันแรงงานสตรีสากล ซึ่งมีต้นกำเนิดจากขบวนการสังคมนิยม ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักเรียกวันที่ 8 มีนาคมว่า “วันสตรีสากล” เฉยๆ โดยตัดคำว่า “ชนชั้นแรงงาน” ออกไป แต่ในความจริงแล้ว การทำงานคือส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของผู้หญิงทั่วโลก รายงานประจำปีขององค์กร UN Women เรื่อง Progress on the Sustainable Development Goals: The Gender Snapshot 2024 เผยว่า ในปี 2022 ผู้หญิงทั่วโลกประมาณ 63.3% มีส่วนในกำลังแรงงาน แต่เนื่องจากการคุ้มครองทางสังคมและสภาพแรงงานที่ย่ำแย่ ทำให้ในปี 2024 ผู้หญิงเกือบ 10% ต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพยากจนขั้นรุนแรง (Extreme Poverty) และจากรายงานเดียวกันนี้ ยังเตือนว่า หากยังดำเนินการกันในระดับนี้ต่อไป เราอาจต้องใช้เวลาถึง 137 ปี จึงจะสามารถขจัดความยากจนขั้นรุนแรงในกลุ่มผู้หญิงได้ทั้งหมด เป้าหมายของชีวิตไม่ใช่แค่การหลุดพ้นจากความยากจนเท่านั้น แต่ควรเป็นการหลุดพ้นจากภาระที่สังคมบังคับให้เราต้องแบกรับด้วย

รายงานชิ้นหนึ่งจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประมาณการว่า ผู้หญิงในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา (Sub-Saharan Africa) ต้องใช้เวลากว่า 4 หมื่นล้านชั่วโมงต่อปี ในการเดินทางไป-กลับเพื่อตักน้ำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจำนวนชั่วโมงข้างต้นเทียบเท่ากับเวลาทำงานของแรงงานทั้งหมดในประเทศฝรั่งเศสต่อปีเลยทีเดียว ในขณะที่คาดว่า งบประมาณการสร้างระบบน้ำประปาภูมิภาคนี้ทั้งหมดขาดอยู่ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจากรายงานขององค์กร Oxfam ชี้ว่า งบจำนวนนี้เทียบเท่ากับรายได้ไม่ถึง 2 วันของมหาเศรษฐีทั่วโลก และที่สำคัญ ประเทศต่างๆ ในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา ต้องจ่ายเงินค่าดอกเบี้ยหนี้สินประมาณวันละ 447 ล้านดอลลาร์ หากเรานำเงินจำนวนนี้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบประปา ก็จะใช้เวลาเพียง 25 วัน ของการจ่ายดอกเบี้ยหนี้เท่านั้น เพื่อสร้างระบบน้ำประปาที่เข้าถึงได้ทุกครัวเรือนในภูมิภาคนี้ได้ทั้งหมด ทว่าทั่วโลกกลับมองข้ามความสำคัญที่จะปลดปล่อยผู้หญิงแอฟริกาออกจากภาระอันหนักหน่วงและวิธีคร่ำครึอย่างการเดินเท้าไปตักน้ำหลายกิโล ทั้งที่ความจริงแล้ว เงินลงทุนจากความมั่งคั่งมหาศาลของโลกเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเธอได้ทันที ยิ่งกว่านั้น โครงการแบบนี้ยังหมายถึง การขยายอุตสาหกรรมที่จำเป็น ด้านการผลิตท่อและระบบน้ำต่างๆ ซึ่งจะช่วยสร้างงานใหม่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนขึ้นจากค่าจ้างที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ซึ่งยังคงกดทับชีวิตของผู้หญิงจำนวนมากทั่วโลกอยู่ในเวลานี้

<Suad al-Attar ศิลปินหญิงชาวอิรัก (Iraq), Untitled, 1966.>

 

ผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องเดินเท้าหลายกิโลเมตรเพื่อตักน้ำกลับบ้านนั้น ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท และมีอาชีพเป็นแรงงานเกษตรหรือเป็นเกษตรกรรายย่อย สำหรับผู้หญิงเหล่านี้ วันเวลาที่หมดไปกับการตักน้ำ—รวมถึงการดูแลครอบครัวและงานบ้าน—ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานในไร่นา ทำให้โดยเฉลี่ยผู้หญิงมีผลผลิตต่ำกว่าผู้ชายประมาณ 24% (ข้อมูลจากรายงานขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ปี 2023 เรื่อง The Status of Women in Agrifood Systems) ทว่า ข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในภาคเกษตรยังคงมีน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในหลายพื้นที่ทั่วโลก ผู้หญิงไม่ได้รับการยอมรับในฐานะเกษตรกรเต็มตัว แต่ถูกมองว่าเป็นเพียง “ผู้ช่วยงาน” ในไร่นาเท่านั้น ทัศนคติเช่นนี้นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมในการจ่ายค่าจ้าง โดยผู้หญิงที่เป็นแรงงานเกษตรจะได้รับค่าแรงต่ำกว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยถึง 18.4%

<โรซิโอ นาวาร์โร หรือ Rocio Navarro ศิลปินหญิงชาวเม็กซิโก (Mexico), Watering Day, 2024.>

เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมที่มีรากฐานมาจากระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่ ในปีที่ผ่านมา สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบประกาศให้ปี 2026 เป็น “ปีสากลแห่งเกษตรกรหญิง” (International Year of the Woman Farmer) โดยหวังว่า นอกจากการจัดกิจกรรมมากมายที่ส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในระบบเกษตรและอาหารให้ประจักษ์ชัดขึ้นแล้ว รัฐบาลฝ่ายก้าวหน้า—ซึ่งเป็นกลุ่มรัฐบาลที่มีศักยภาพจะเป็นผู้นำในประเด็นนี้—จะผลักดันนโยบายเพื่อต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติที่ผู้หญิงในภาคเกษตรต้องเผชิญ และช่วยให้ผู้หญิงได้มีบทบาทนำในสหภาพหรือสหกรณ์ชาวนาอย่างแท้จริง

 

<ตาร์ซิลา ดู อามารัล หรือ Tarsila do Amaral ศิลปินหญิงชาวบราซิล (Brazil), A Caipirinha (The Caipirinha), 1923.>

 

คำว่า ‘ระบบเกษตรอาหาร’ (agrifood systems) เป็นการขยายแนวคิดของคำว่า เกษตรกรรม โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) อธิบายว่า ระบบเกษตรอาหารคือ ‘กลุ่มผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และกิจกรรมที่เชื่อมโยงกัน ตั้งแต่การผลิตทั้งอาหารและผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ไปจนถึงกิจกรรมที่ไม่ได้อยู่ในไร่นาโดยตรง เช่น การเก็บรักษา การรวบรวมผลผลิต การจัดการหลังเก็บเกี่ยว การขนส่ง การแปรรูป การกระจายสินค้า การตลาด การจัดการของเสีย ไปจนถึงการบริโภค’ ซึ่งคำจำกัดความนี้สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศอย่างชัดเจน เพราะผู้หญิงมักถูกกีดกันจากงานที่อยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า เช่น การขนส่ง การแปรรูป การกระจายสินค้า การเก็บรักษา และการตลาด ทำให้ผู้หญิงมีรายได้น้อยกว่าผู้ชายในภาพรวมของอุตสาหกรรมนี้

ในประเทศกลุ่มโลกใต้ (Global South) โดยเฉพาะในแอฟริกาและเอเชียใต้ ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญอย่างมากในระบบเกษตรและอาหาร และงานเกษตรยังถือเป็นแหล่งรายได้หลักของผู้หญิงจำนวนมาก (เช่น ในแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา 66% ของผู้หญิงทำงานในภาคเกษตร เทียบกับผู้ชาย 60% ส่วนในเอเชียใต้ผู้หญิงทำงานภาคเกษตรสูงถึง 71% ขณะที่ผู้ชายมีเพียง 47%) ในพื้นที่เหล่านี้ ผู้หญิงจำนวนมากต้องพึ่งพารายได้อันน้อยนิดจากงานเกษตรกรรมในการเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว เมื่อการจ้างงานหรือรายได้จากภาคเกษตรลดลง สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ ผู้หญิงจะลำบากในการหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว และท้ายที่สุด ตัวผู้หญิงเองจะตกอยู่ในภาวะอดอยากก่อนใคร จากข้อมูลที่ประเทศต่างๆ รายงานต่อองค์กรระหว่างประเทศ พบว่า จำนวนผู้หญิงทั่วโลกที่ตกอยู่ในสภาพอดอยากมีสูงกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน สาเหตุหลักคือการจ้างงานผู้หญิงในภาคเกษตรที่ส่วนใหญ่อยู่ในนอกระบบ (informal labour) ซึ่งมักมีค่าจ้างต่ำ และปัญหาจากระบบครอบครัวแบบชายเป็นใหญ่ที่มักให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารของผู้ชายก่อนผู้หญิงเสมอ

<Raquel Forner ศิลปินหญิงชาวอาร์เจนติน่า (Argentina), Fin-Principio (End-Beginning), 1980.>

ระบบการทำเกษตร เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติด้านสภาพภูมิอากาศ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงมักต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบหลักในการปกป้องฟาร์มและครอบครัวจากวิกฤตนี้ ข้อมูลจากรายงานปี 2024 ของ FAO เรื่อง The Unjust Climate เผยตัวเลขที่น่าตกใจ ประการแรก เมื่อเกิดภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศ เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม หรือภัยแล้ง ผู้หญิงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ โดยเฉลี่ย 4 นาที ต่อวันที่ฝนตกหนักผิดปกติ 3 นาที ต่อวันที่อุณหภูมิสูงจัด และ 1 นาที ต่อวันที่แล้งจัด เมื่อเทียบกับผู้ชาย หากนำค่าเฉลี่ยของเวลาที่เพิ่มขึ้นมาคิดรวมกัน ผู้หญิงจะต้องทำงานมากกว่าผู้ชายประมาณ 55 นาที ต่อวัน เพื่อชดเชยความเสียหายและสูญเสียจากภัยพิบัติเหล่านั้น

ประการที่สอง เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ยเพียง 1 องศาเซลเซียส จะส่งผลให้รายได้จากฟาร์มของครัวเรือนที่ผู้หญิงเป็นหัวหน้าลดลงถึง 23.6% และรายได้รวมของครัวเรือนลดลงถึง 34% เมื่อเทียบกับครอบครัวที่มีผู้ชายเป็นหัวหน้าครัวเรือน ในช่วงอากาศร้อนจัดหรือเผชิญภัยแล้ง เกษตรกรหญิงมักต้องหางานรับจ้างนอกไร่ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแรงงานเกษตรในที่อื่นหรือแรงงานรับใช้ตามบ้าน ซึ่งล้วนได้ค่าแรงต่ำกว่าเดิม ทำให้รายได้ของพวกเธอลดลงไปอีก

ประการที่สาม ในช่วงที่สภาพอากาศร้อนจัด ครัวเรือนที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัวจะขายหรือสูญเสียปศุสัตว์ในอัตราสูงกว่าครัวเรือนที่มีผู้ชายเป็นหัวหน้า ทำให้สูญเสียรายได้จากปศุสัตว์ และสูญเสียผลผลิตที่ได้จากการใช้สัตว์เหล่านี้ในงานเกษตรกรรมอีกด้วย

ประการสุดท้าย รายงานของ FAO ยังแสดงว่า ในช่วงเวลาน้ำท่วม ครัวเรือนยากจนจะสูญเสียรายได้โดยเฉลี่ยประมาณ 4.4% มากกว่าครัวเรือนที่มีฐานะดีกว่า โดยความสูญเสียที่เกิดขึ้นรวมทุกปีของครัวเรือนยากจนจากน้ำท่วมทั่วโลกใต้อยู่ที่ประมาณ 21,000 ล้านดอลลาร์

บทสรุปสำคัญของรายงานนี้ชี้ว่า แม้ว่าภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ยากจนทุกกลุ่ม แต่ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบที่หนักกว่าเสมอ ส่งผลให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายในภาคเกษตรกรรมถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ

<ซีนา อามูร์ หรือ Zina Amour ศิลปินหญิงชาวอัลจีเรีย (Algeria), Scène de famille (Family Portrait), 1967.>

แล้วเราจะทำอะไรได้บ้างกับสถานการณ์เช่นนี้? องค์กรอย่างสหประชาชาติมักเสนอทางออกด้วยคำเดียว นั่นก็คือ “การเสริมพลัง (empowerment)” แต่คำถามคือ ผู้หญิงจะมีพลังหรืออำนาจที่แท้จริงได้อย่างไร? มติและข้อเสนอมากมายขององค์กรระหว่างประเทศมักจะเน้นย้ำว่า ต้อง “เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ” หรือ “สนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาทในตำแหน่งที่มีอำนาจ” แต่คำพูดแบบนี้ไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหาเลย เพราะความเป็นจริงในพื้นที่ชนบท การรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งสหภาพของแรงงานเกษตร มักถูกกีดกันด้วยข้อกฎหมาย หรือถูกขัดขวางด้วยความรุนแรงทางการเมือง

ตั้งแต่ปี 1975 องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ออกอนุสัญญาเกี่ยวกับองค์กรแรงงานในชนบท (Rural Workers’ Organisations Convention) ซึ่งในข้อ 3 ระบุชัดเจนว่า:

“แรงงานชนบททุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างหรือประกอบอาชีพอิสระใดๆ ก็ตาม มีสิทธิในการจัดตั้งหรือเข้าร่วมองค์กรของตนเองได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานใดๆ ก่อน”

แต่ในความเป็นจริง อนุสัญญาฉบับนี้กลับถูกละเลยหรือถูกเพิกเฉยไปเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งกว่านั้น ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ยังมีการใช้ความรุนแรงทางการเมืองกับผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานเกษตรเป็นเรื่องปกติ ทว่าประเด็นนี้กลับถูกมองข้ามและแทบไม่ได้รับความสนใจจากสื่อเลย ถ้าหากเราพยายามรวบรวมรายชื่อของนักเคลื่อนไหวหรือผู้นำสหภาพแรงงานในชนบทที่ถูกสังหารจากทั่วโลก คงมีจำนวนมากมายมหาศาลจนแทบจะล้นอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่กรณีของ ดอริส ลิสเซธ อัลดานา คาลเดรอน (Doris Lisseth Aldana Calderón) ในกัวเตมาลา เมื่อปี 2023 ไปจนถึง สุภการัน ซิงห์ (Subhkaran Singh) ในอินเดีย เมื่อปี 2024 ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคที่แท้จริงในการเสริมพลังให้ผู้หญิงชนบท นั่นคือการที่รัฐและสังคมทั่วโลกยังคงเพิกเฉย แทบไม่เห็นเลยในสื่อต่างๆ หรือถึงขั้นขัดขวางการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่จะทำให้ผู้หญิงมีอำนาจและมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้อย่างแท้จริง

 

<เหลียง ไป่ป๋อ หรือ Liang Baibo ศิลปินหญิงชาวจีน (China), 责任均匀的解释 (An Explanation of Even Responsibility), 1938.>

 

ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการรวมตัวของแรงงานเกษตรและชาวนา แล้วจัดตั้งสหภาพแรงงาน เพื่อสร้างอำนาจและใช้สิทธิของตนเองได้อย่างแท้จริง ในปี 2022 กลุ่มผู้หญิงจากขบวนการแรงงานชนบทไร้ที่ดินของบราซิล (Movimento dos Trabalhadores Rurais Sem Terra หรือ MST) ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกที่ทรงพลังชื่อ “จดหมายเปิดผนึกแห่งความรักและการต่อสู้จากผู้หญิงไร้ที่ดิน” (Open Letter of Love and Struggle from Landless Women) (เรามีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ กลุ่มผู้หญิงจากขบวนการแรงงานชนบทไร้ที่ดินของบราซิล (MST) ซึ่งสามารถอ่านได้ที่นี่) โดยมีข้อความบางส่วนที่นำเสนอไว้ ดังนี้:

กี่ครั้งแล้วที่เราต้องต้มน้ำ ต้องดูแลลูกหลานของเราอีกสักเท่าไร เปลี่ยนผืนดินของบรรพบุรุษให้เป็นที่อยู่อาศัยอันอบอุ่น สร้างบ้านจากความยากลำบาก และส่งเสียงทำลายความเงียบงัย ก่อนที่ใครจะทันสังเกตเห็น? พวกเราออกเดินทางตั้งแต่ยามฟ้ามืด ร่วมแรงร่วมใจกัน จุดเปลวไฟขึ้นเพื่อหยุดยั้งรถไฟแห่งความตาย รถบรรทุกสารพิษ และขัดขวางเมล็ดพันธุ์แปลกปลอม (ดัดแปลงพันธุกรรม) ที่ถูกหว่านลงผืนดิน ด้วยร่างกายที่เปื้อนโคลน พวกเราร่ำไห้และฝังร่างของผู้สูญเสีย ในการต่อสู้และการอธิษฐาน เราเสริมสร้างพลังให้แก่กัน เพื่อปกป้องร่างกายและผืนแผ่นดินของเรา ด้วยจิตวิญญาณ เราปรุงยารักษา เตรียมขี้ผึ้งแห่งการเยียวยาบาดแผล เราปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการต่อสู้ด้วยเสียงกลองบรรพบุรุษที่ปลุกเราให้ลุกขึ้นอีกครั้ง พวกเราสวมใส่ผ้าชีต้า (chita) สีสันสดใส ที่ย้อมด้วยความโกรธแค้น ความกลัว และความสุข เราต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ ขอให้โลกรู้ว่า ถึงเวลาที่แผ่นดินจะต้องสั่นสะเทือน—เพราะผู้หญิงที่ลุกขึ้นสู้จะไม่มีวันยอมจำนน! เดือนมีนาคมกำลังเรียกร้องให้เราสร้างทางเลือกใหม่ในการมีชีวิต เพื่อต้านตรรกะแห่งการทำลายล้างที่คุกคามชีวิตเรา ทำร้ายร่างกาย และธรรมชาติของเราในทุกวัน…

หากผู้มีอำนาจคิดว่า เราจะยอมจำนน นั่นเป็นเพราะพวกเขายังไม่รู้ว่าเราเป็นนักสร้างสรรค์ ผู้บ่มเพาะชีวิต ผู้ให้กำเนิดผู้คนและเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ ที่ใดมีผู้หญิง ที่นั่นก็มีความหวัง การรวมตัว การต่อสู้ ความกล้าหาญ และการลุกขึ้นต่อต้านเสมอ แม้หนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรค เราจะยังคงยืนอยู่แนวหน้า เพราะประวัติศาสตร์ก็เป็นของเรา และเราจะเขียนมันด้วยการลุกขึ้นสู้ บนท้องถนน ในทุ่งนา และทุกที่ที่มีชีวิต พลังของเรามาจากเหล่านักสู้มากมายที่ล้มลงไปแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ในตัวเรา พวกเขาคือแสงตะวันดวงนั้นที่ยังยืนหยัดจะขึ้น แม้ในห้วงเวลาแห่งสงคราม เป็นแสงที่ปลุกให้เราตื่น และทำให้เลือดในกายเราร้อนรุ่มอีกครั้ง

ด้วยความนับถือ, 

 

วิเจย์ (Vijay)