<หลิว เสี่ยวตง (Liu Xiaodong) ศิลปินแนวนีโอ-เรียลลิสม์ (China), Diary of an Empty City No. 2, 2015.>
ถึงเหล่าเพื่อนรัก,
ทักทายจากโต๊ะทำงานของไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม Tricontinental: Institute for Social Research
ในเดือนแรกที่กลับเข้าทำงานในทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีท่าทีสนใจในการผนวกกรีนแลนด์และทำข้อตกลงสันติภาพสำหรับยูเครน รวมถึงขอสิทธิเข้าถึงแร่ธาตุและโลหะหายากของยูเครน ข้อสังเกตคือ กรีนแลนด์กลายเป็นประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการครอบครองแร่ธาตุหายากจำนวนมาก เช่น ไดสโพรเซียม เนโอดิเมียม สแคนเดียม และ ไอทริอัม (ซึ่งมีแร่ธาตุหายากทั้งหมด 17 ชนิดที่เป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีขั้นสูง) เนื่องจากกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก จึงต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป (EU) โดยในปี 2011 สหภาพยุโรปได้เผยแพร่รายการวัตถุดิบสำคัญ ซึ่งรวมถึงแร่ธาตุหายาก (rare earth minerals) ดังกล่าว (และวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีความสำคัญต่อเทคโนโลยีขั้นสูงและการผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ) และในปี 2023 สหภาพยุโรปได้ผ่านกฎหมายว่าด้วยวัตถุดิบที่สำคัญของยุโรป (European Critical Raw Materials Act) ซึ่งเรียกร้องให้มีการผลิตแร่ธาตุและโลหะเหล่านี้ในประเทศ และการนำเข้ามายังทวีปยุโรป ส่วนยูเครนนั้นมีแหล่งแร่ธาตุหายากมากมาย (ตั้งแต่แอปาไทต์ถึงซิออน) รวมถึงแหล่งลิเธียมและไททาเนียมด้วย ทรัมป์เรียกร้องให้ยูเครนจ่ายค่าตอบแทนอย่างน้อย 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการสนับสนุนในสงคราม โดยเสนอแลกกับแหล่งแร่ธาตุหายากจากยูเครนซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินจำนวนดังกล่าว “ผมต้องการความมั่นคงด้านแร่ธาตุหายาก” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งฟังดูเหมือนตัวละครจาก “The Lord of the Rings” เลยทีเดียว
<เฉาเฟย (Cao Fei) ศิลปินมัลติมีเดีย (China), My Future Is Not a Dream 05, 2006.>
ปัจจุบันทั้งสหรัฐฯ และยุโรปต้องพึ่งพาการนำเข้าแร่ธาตุหายากที่สำคัญเกือบทั้งหมดจากจีน ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2024 จีนตอบโต้การคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ (เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรและภาษีต่อภาคเทคโนโลยีของจีน) ทำให้รัฐบาลจีนสั่งห้ามส่งออกแร่ธาตุบางชนิด เช่น แอนติโมนี แกลเลียม และเยอรมันเนียม รวมถึงวัสดุแข็งพิเศษ (วัสดุที่มีความแข็งมากกว่า 40 กิกะปาสคัล หรือ GPa) ไปยังสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยสหรัฐฯ ได้พยายามขัดขวางการพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์และอุปกรณ์ผลิตชิปของจีน ด้วยการจำกัดการส่งออกชิปหน่วยความจำแบนด์วิดธ์สูง (HBM) ไปยังจีน ซึ่งความสามารถของจีนในการบีบคั้นห่วงโซ่อุปทานทำให้เกิดวิกฤติในโลกตะวันตก และเป็นเหตุผลให้ทรัมป์ต้องการกรีนแลนด์และแหล่งแร่ธาตุหายากของยูเครน
จากมุมมองด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ การเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในยูเครนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากสงครามครั้งนี้ ซึ่งสงครามนี้ได้กลายเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีสำหรับชนชั้นนำยุโรปไปแล้ว หากทรัมป์สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียได้ เขาอาจใช้จุดนี้เพื่อเรียกร้องสิทธิ์เหนือแร่ธาตุและโลหะในยูเครน รวมถึงสิทธิ์ควบคุมทรัพยากรของกรีนแลนด์ (แทนที่จะพยายามผนวกดินแดนดังกล่าวโดยตรง)
แต่ที่สำคัญที่สุด หากสหรัฐฯ สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียได้ ก็จะพยายามบ่อนทำลายความเป็นพันธมิตรระหว่างรัสเซียกับจีน กลยุทธ์ทางการทูตนี้เรียกว่า ‘Reverse Kissinger’ (คิสซิงเจอร์กลับด้าน) ซึ่งอ้างอิงจากนโยบายของเฮนรี คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติภายใต้ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ซึ่งในขณะนั้นสหรัฐฯ พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน เพื่อทำให้สหภาพโซเวียตโดดเดี่ยวในเวทีระหว่างประเทศ แต่กลยุทธ์ Reverse Kissinger ของทรัมป์พยายามทำตรงกันข้าม โดยมุ่งโดดเดี่ยวจีนแทนที่จะเป็นรัสเซีย ด้วยการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียสั่นคลอน โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2022 จีนและรัสเซียได้ลงนามในข้อตกลงมิตรภาพ ‘ไร้ขีดจำกัด’ (ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อกลยุทธ์ของสหรัฐฯ) โดยต้องการแยกสองประเทศนี้ออกจากกัน ยี่สิบวันต่อมา กองทหารรัสเซียบุกยูเครน และแม้ว่าจีนจะมีความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่จีนก็สนับสนุนรัสเซียตลอดช่วงสงคราม ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่รัสเซียจะยอมรับกลยุทธ์ Reverse Kissinger นี้ แม้ว่าจะมีกลุ่มชนชั้นนำบางส่วนในรัสเซียที่กระตือรือร้นที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับตะวันตกก็ตาม
‘Reverse Kissinger’ เป็นกลยุทธ์ทางการทูตที่พยายามใช้วิธีการของคิสซิงเจอร์ในอดีต แต่กลับด้านเป้าหมายจากเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่การแยกรัสเซียออกจากจีน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพันธมิตรที่ทรงพลังซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก
สหรัฐฯ ไม่เสียประโยชน์ใด ๆ หากบังคับให้เกิดการหยุดยิงในยูเครน เพราะรัสเซียไม่ได้เป็นภัยคุกคามสำคัญต่อการครองความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ รัสเซียเป็นเพียงผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ และโลหะต่าง ๆ เท่านั้น สหรัฐฯ รู้ดีว่ารัสเซียจะไม่โจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำลายตนเอง และสหรัฐฯ ก็เข้าใจว่ารัสเซียเพียงต้องการหลักประกันด้านความมั่นคงว่า เมืองของตนจะไม่ถูกคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางที่ประจำการในประเทศเพื่อนบ้าน
อย่างไรก็ตาม จีนถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงและอาจสั่นคลอนสถานะอำนาจของตนได้อย่างแท้จริง ในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มประกาศขึ้นภาษีและพูดถึงการผนวกที่เป็นไปได้ บางอย่าง มีบริษัทขนาดเล็กจากจีนแห่งหนึ่งได้เปิดตัว DeepSeek ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์แบบโอเพนซอร์ส ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ChatGPT ของสหรัฐฯ ในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคนิคและคณิตศาสตร์ ในขณะเดียวกัน เมื่อเกิดกระแสการแบน TikTok ในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานชาวอเมริกันกลับไม่ได้หันไปใช้แอปของตะวันตก แต่หันไปใช้แอพ Xiaohongshu (หรือ Red Note) ของจีนแทน นอกจากนี้ จีนยังมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ด้านพลังงานฟิวชั่น โดยอุปกรณ์ฟิวชัน Experimental Advanced Superconducting Tokamak (EAST) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ดวงอาทิตย์เทียม” ของจีนสามารถสร้างพลาสมาสภาวะกักกันสูง ได้นานถึง 1,066 วินาที ซึ่งทำลายสถิติก่อนหน้าของโครงการ EAST ในปี 2023 อยู่ที่ 403 วินาที ตามรายงานของ Physics World ความก้าวหน้าครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการสร้างโรงไฟฟ้าฟิวชัน ซึ่งเป็นพลังงานคาร์บอนต่ำที่เกือบไร้ขีดจำกัด มีศักยภาพในการผลิตพลังงานสะอาดและปราศจากกากกัมมันตรังสีที่เป็นอันตราย
EAST – เป็นเตาปฏิกรณ์แบบโทคาแมค (Tokamak)
ที่จำลองการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ในนครเหอเฝย ภาคตะวันออกของประเทศจีน วัตถุประสงค์หลักในการสร้างดวงอาทิตย์เทียมเพื่อผลิตพลังงานสะอาดที่จะนำมาทดแทนพลังงานฟอสซิล น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติที่อาจจะหมดไปในไม่ช้า

CREATOR: gd-jpeg v1.0 (using IJG JPEG v62), quality = 82
<หยู ฮง (Yu Hong) ศิลปินร่วมสมัย (China), A Man Playing the Hula Hoop, 1992.>
ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวของรัฐบาลจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ นับตั้งแต่ยุคปฏิรูปในปี 1978 จีนได้วางนโยบายอย่างระมัดระวังในการเปิดรับทุนและอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ โดยยืนยันว่า ต้องเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจจีนเท่านั้น ผลประโยชน์ดังกล่าวมาในรูปแบบของ การถ่ายโอนเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดจีน ซึ่งบริษัทจากประเทศพัฒนาแล้ว อย่างซีกโลกเหนือ (Global North) ยอมรับเงื่อนไขนี้เพราะต้องการแรงงานที่มีคุณภาพและค่าแรงที่ต่ำ รัฐบาลจีนยัง ลงทุนในระบบการศึกษาระดับสูง ให้สิ่งจูงใจแก่ภาคเอกชนในการสร้างนวัตกรรม และใช้รายได้ส่วนเกินจากการส่งออกมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมของจีนสามารถ พัฒนากำลังการผลิต ได้อย่างก้าวกระโดด โดยไม่ต้องพึ่งพาการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นหรือเทคโนโลยีล้าสมัยอีกต่อไป
เมื่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ใช้คำว่า ‘กำลังการผลิตคุณภาพใหม่’ (new quality productive forces) ระหว่างการเยือนมณฑลเฮยหลงเจียงในเดือนกันยายน 2023 แนวคิดนี้ได้กลายเป็นจริงแล้วในโรงงานแห่งใหม่ทั่วประเทศจีน ซึ่งหลายแห่งเป็น ‘โรงงานมืด’ (dark factories) หรือโรงงานที่ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องใช้คนงานเลย จากนั้นในเดือนมีนาคม 2024 ในการประชุมสองสภา (Two Sessions) ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ประจำปีของจีน คำว่า ‘กำลังการผลิตคุณภาพใหม่’ ก็ได้ถูกบรรจุลงในรายงานการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ต่อมาในการประชุม Third Plenum ในเดือนกรกฎาคม 2024 แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาต่อ โดยเน้นไปที่การบุกเบิกเทคโนโลยีใหม่อย่างปฏิวัติวงการ การจัดสรรกำลังการผลิตอย่างสร้างสรรค์ การปรับเปลี่ยนและยกระดับอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการผลักดันนวัตกรรมและพัฒนาอุตสาหกรรมของตนให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น
การประชุมสองสภา เป็นการประชุมทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของจีน ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในกรุงปักกิ่ง เป็นเวทีที่รัฐบาลจีนแถลง รายงานการทำงานประจำปี ซึ่งสรุปผลงานที่ผ่านมาและประกาศนโยบายสำคัญในปีถัดไป เช่น แผนเศรษฐกิจ งบประมาณ การปฏิรูป และกฎหมายใหม่
<ฟาง ลีจุน (Fang Lijun) ศิลปินร่วมสมัย (China), Series 2 No. 10, 1992–1993.>
สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute – ASPI) ซึ่งก่อตั้งโดยรัฐบาลออสเตรเลียในปี 2001 และได้รับเงินสนับสนุนบางส่วนจากกองทัพออสเตรเลีย ได้พัฒนาเครื่องมือติดตามเทคโนโลยีสำคัญ (Critical Technology Tracker) เพื่อติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสำคัญ 64 ประเภทอย่างใกล้ชิด รายงานล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2024 จากสถาบัน ASPI ได้นำเสนอการประเมินผลผลตลอดระยะเวลา 21 ปี เกี่ยวกับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีข้างต้นของแต่ละประเทศ โดยพบว่า
ระหว่างปี 2003 ถึง 2007 สหรัฐอเมริกาครองความเป็นผู้นำใน 60 จาก 64 เทคโนโลยี ขณะที่จีนเป็นผู้นำเพียง 3 เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ระหว่างปี 2019 ถึง 2023 สหรัฐฯ กลับเป็นผู้นำเหลือเพียง 7 เทคโนโลยี จาก 64 เทคโนโลยี ขณะที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำถึง 57 เทคโนโลยี
จีนเป็นผู้นำในเทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น การออกแบบและผลิตวงจรรวมขั้นสูง (ชิปเซมิคอนดักเตอร์) เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงโน้มถ่วง การประมวลผลสมรรถนะขั้นสูง เซ็นเซอร์ควอนตัม และเทคโนโลยีปล่อยยานอวกาศ ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เป็นผู้นำในเทคโนโลยีบางประเภท เช่น นาฬิกาอะตอม วิศวพันธุกรรม การแพทย์นิวเคลียร์และการรักษาด้วยรังสีบำบัด การประมวลผลควอนตัม ดาวเทียมขนาดเล็ก และวัคซีนกับมาตรการตอบโต้ทางการแพทย์ รายงานระบุว่า “การลงทุนมหาศาลและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่มีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษของจีนกำลังให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าอย่างเป็นรูปธรรม” ความมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมได้แพร่ขยายไปทั่วสังคมจีน ใน เขตใหม่หลิงกั่ง (Lingang New Area) ที่นครเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลท้องถิ่นได้วางนโยบายเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการประมวลผลขั้นสูง โดยมุ่งเน้นการเร่งนวัตกรรมทางอุตสาหกรรมด้วยกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ (new quality productive forces) ที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว
ในขณะเดียวกัน รัฐบาลภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศลดงบประมาณการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก บทความของ Chatham House ที่ตีพิมพ์ในช่วงปลายเดือนมกราคม มีหัวข้อที่สะดุดตาว่า “โลกควรให้ความสำคัญกับความเป็นไปได้ที่จีนจะครองอำนาจด้านผู้นำทางเทคโนโลยี และเริ่มเตรียมความพร้อมตั้งแต่ตอนนี้” ที่น่าสนใจคือ หัวข้อบทความไม่ได้เน้นที่สหรัฐฯ โดยตรง แต่เน้นไปที่ ‘โลก’ แทน เพราะผู้เขียนกังวลว่า ‘ในสถานการณ์ที่รุนแรงที่สุด จีนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว’
< หลิว เซ่น (Liu Wei) ศิลปินแนวสะท้อนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน (China), Revolutionary Family, 1992.>
ในปี 1891 กวีและนักการทูตในช่วงปลายราชวงศ์ชิง หวง จุนเซี่ยน (黄遵宪, 1848–1905) ได้ขึ้นลิฟต์ไปยังหอชมวิวของหอไอเฟล (ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการสองปีก่อนหน้านั้น) หวงได้เขียนบทกวีชื่อ ‘เมื่อขึ้นไปบนหอไอเฟล’ (登巴黎铁塔) เพื่อบรรยายถึงทิวทัศน์อันน่าทึ่งที่เขาได้เห็นจากบนนั้น โดยมองลงมาเห็น ‘ผืนดินอันอุดมสมบูรณ์กว่าล้านเอเคอร์’ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้เขาได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์นี้ ซึ่งทำให้เขาประทับใจ แต่กลับไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจเท่ากับสิ่งที่อยู่บนพื้นดินเบื้องล่าง
ยุโรปเป็นสมรภูมิที่สลักรอยเท้าแห่งสงครามมานับศตวรรษ
ผู้คนที่นี่หล่อหลอมด้วยการต่อสู้ และมิใช่ผู้ที่ยอมอ่อนข้อโดยง่าย
บัดนี้ จักรพรรดิทั้งหกได้แบ่งทวีปออกเป็นเสี่ยง
แต่ละพระองค์ล้วนหลงใหลในอำนาจและต่างทระนงว่าตนคือผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก
แท้จริงแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงราชาในโลกแคบของตนเอง
ที่ใช้ชีวิตมัวเมาไปกับการไล่ล่าชัยชนะและความปราชัยที่ไร้ความหมาย
ทุกวันนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงถ้อยคำที่ใช้ในสมรภูมิเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องภาษีศุลกากร มาตรการบีบบังคับเพียงฝ่ายเดียว ขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง และระบบป้องกันไอรอนโดม
ในช่วงการระบาดใหญ่ คำขวัญในหมู่พันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างอินเดียคือ ‘ร่วมมือ ไม่ใช่เผชิญหน้า’ โลกคงจะดีกว่านี้ หากสหรัฐฯ เลือกที่จะร่วมมือกับจีนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งโลก แทนที่จะพยายามบีบให้จีนถอยหลังในการพัฒนา
ในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ คำขวัญในประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น อินเดีย คือ “การร่วมมือกัน ไม่ใช่เผชิญหน้า” จะดีกว่ามากหากสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะร่วมมือกับจีนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของโลก แทนที่จะพยายามบังคับให้จีนถอยหลังด้านการพัฒนา
ด้วยความนับถือ,
วิเจย์ (Vijay)