“แล้วต้องอพยพไหมเนี่ยน้า มันเค็มขนาดนี้”
“เราจะไม่หนีนะ เราจะอยู่บ้านเรา” น้าผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านหนองไทรพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงสดใส
ชีวิตคนในอีสาน ณ หมู่บ้านหนองไทรต้องทนทุกข์มานานหลายสิบปีจากผลกระทบการทำอุตสาหกรรมเกลือ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่วิบากกรรมจากเกลืออีสานครั้งแรก แต่รากเหง้าของปัญหายังคงไม่ได้รับการแก้ไข ความเสียหายนานาประการไม่ได้เกิดเพียงเพราะการมีผู้ประกอบการเหมืองจอมละโมบเห็นแก่ตัว ที่ละเลยมาตราการป้องกันสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่หากพิจารณาดูดีๆ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน การทำให้ทรัพยากรกลายเป็นสินค้าเพื่อตอบสนองทุนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด การยึดโยงกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างนายทุนและชนชั้นนำ โดยมีนโยบายกับกฎหมายเป็นเครื่องมือ แล้วเมื่อสิทธิชุมชนอ่อนแอ ไร้ซึ่งอำนาจต่อรอง ไร้ซึ่งอำนาจในการตัดสินใจจัดการทรัพยากรในพื้นที่ เมื่อนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต
จากเกลือพื้นบ้านสู่เหมืองแร่โปแตช
ภาคอีสานเคยเป็นทะเลในยุคดึกดำบรรพ์มาก่อน จึงมีเกลือมากมายอายุหลายล้านปีฝังอยู๋ในชั้นดิน เดิมคนอีสานผลิตเกลือโดยใช้วิธีต้มเกลือแบบพื้นบ้าน ตากเกลือที่ลานปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่สร้างผลเสียหายต่อธรรมชาติ แล้วนำไปแลกเปลี่ยนค้าขายกัน ต่อมาขยายออกไปถึงเพื่อนบ้าน พี่น้องลาวและเขมรด้วย เกิดเป็น ‘เส้นทางสายเกลือหรือวัฒนธรรมปลาแดก’ ซึ่งถือเป็นรายได้เสริมแก่ครัวเรือนอีกทางหนึ่งและทำให้ชุมชนมีรายได้ดี ต่อมา การทำโรงงานอุตสาหกรรมได้แพร่ขยายขึ้นพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ นายทุนเงินโตจากพื้นที่ต่างๆ จึงได้เข้ามาประกอบการเหมืองเกลือแข่งกับชุมชน ให้ได้ผลผลิตทีละมากๆ ทำโรงงานสูบน้ำเกลือขึ้นมา ทำเหมืองละลาย ที่ดินของชาวบ้านก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอยู่ในมือนายทุนมากขึ้น จนกระทั่งเกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรงในบริเวณลำน้ำเสียว การขยายตัวของอุสาหกรรมเกลือในอีสานช่วงปี 2532 จึงหยุดชะงักลง
แม้หายนะจากความเค็มในครั้งนั้นจะทำลายไร่นาของเกษตรกร วัวควาย นกปลาไปมากมาย แต่แอ่งขุมทรัพย์เกลือยังคงอยู่ตรงนั้น แอ่งที่พบเกลือมากที่สุดในอีสานอย่าง แอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร ยังคงเป็นที่หมายปองของบริษัททุนยักษ์ใหญ่เสมอมา พวกเขาเล็งเห็นผลเม็ดเงินมหาศาลจากการทำเหมืองเกลือ ซึ่งมีต้นทุนราคาถูก และได้ผลประโยชน์ที่ทบทวีค่าขึ้นอีกเมื่อสกัดออกมาขายเป็นปุ๋ยโพแทสเซียม จึงมีการผลักดันภาครัฐให้ทำโครงการเหมืองแร่โปแตชอย่างต่อเนื่องตั้งแต่โครงการสำรวจโปแตชของกรมทรัพยากรปี 2500 ทำการแก้ไขพรบ.แร่ปี 2510 เอื้อการลุงทุนของผู้ประกอบการข้ามชาติ ในรัฐบาลเผด็จการปี 2558 ประยุทธ์ ได้ออกประทานบัตรแก่กลุ่มทุนมากมาย อาทิ เหมืองแร่ทองคำ เหมืองแร่โปแตช เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันรัฐบาลเศรษฐา มีการเร่งมอบใบประทานบัตร ด้วยเหตุผลที่ภาครัฐต่างเห็นดีเห็นชอบว่า เพื่อช่วยยกระดับเศรษฐกิจการส่งออกปุ๋ยและช่วยเหลือเกษตรกรจากการนำเข้าปุ๋ยราคาแพง
ดังพาดข่าว mgronline เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2566 “เศรษฐา” สั่งเร่งเหมืองโปแทสฯ ชี้ต่างประเทศต้องการสูง หากผู้รับสัมปทาน 3 รายเดิมทำไม่ได้ให้ประมูลหาใหม่”
การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่จากต่างประเทศเข้ามา เพื่อสกัดผลผลิตให้ได้ทีละมหาศาล อย่างเหมืองโปแตชนั้นจะได้เกลือและปุ๋ยที่เกินความต้องในประเทศหลายเท่า เพราะมีกำลังผลิตหลายล้านตัน โดยวิธีการทำเหมืองแร่โปแตช ต้องขุดเจาะดินลึกหลายร้อยเมตร กลายเป็นอุโมงค์หรือห้อง เพื่อสกัดเอาแร่โปแตชออกมาจากชั้นเกลือหิน ซึ่งโพรงด้านล่างนี้อาจกระทำโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของที่ดินข้างบนได้ หากมีการขุดลึกเกิน 100 เมตร (อ้างอิงตามพ.ร.บ.แร่ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ปี 2545 มาตรา 88/3) ต่อมาพ.ร.บ.แร่ ปี 2560 มาตรา 92 ระบุให้บริษัทต้องจ่ายค่าชดเชย หากมีการขุดทำเหมืองใต้ดินลึกเกิน 100 เมตรให้แก่เจ้าของที่ดินด้านบน กระนั้นการนำไปปฎิบัติกลับไม่เป็นดังเช่นที่เขียนไว้อย่างสวยหรู ดังเช่นกรณีชาวบ้านบริเวณเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี ได้มีการฟ้องร้องในชั้นศาล เพราะการจ่ายค่าเงินทดแทนหรือค่าลอดใต้ถุนของบริษัทเหมืองเป็นไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบและไม่เป็นธรรม
ในปัจจุบัน ประเทศไทย มีเหมืองแร่โปแตชที่กำลังเร่งประทานบัตร 3 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัททุนข้ามชาติที่มีงบลงทุนหลายหมื่นล้าน หลายแสนล้านบาท บริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินโครงการที่จังหวัดอุดรธานี บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการที่จังหวัดชัยภูมิ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ดำเนินโครงการที่ จ.นครราชสีมา การสัมปทานของรัฐทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งแร่ในประเทศถูกผูกขาดแก่กลุ่มทุนเป็นเวลาหลายสิบปี กลุ่มทุนเพียงหยิบมือได้ความเจริญรุ่งเรืองทางการเงิน ผลพลอยที่รัฐมองว่าได้พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แล้วประชาชนในพื้นที่กับธรรมชาติได้สิ่งใด หากเราเป็นเจ้าของร่วมกันจริงๆ
*ข้อเขียนนี้จะลงรายละเอียดเพียงเหมืองแร่โปแตช จ.นครราชสีมา ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสลงพื้นที่เหมืองแร่ครั้งแรก ซึ่งจัดโดยกลุ่มโคราชมูฟเมนต์ (KoratMovement) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566
การเข้ามาของเหมือง
ในปี 2558 ยุครัฐบาลเผด็จการ นายประยุทธ์ จันท์โอชาได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบใบประทานบัตรการทำเหมืองแร่โปแตชแก่บริษัทไทยคาลิ จำกัด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองไทร ตำบลหนองบัวตะเกียด ตำบลโนนเมืองพัฒนา ในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท ท่ามกลางการทำประชามติและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ไม่ชอบมาพากล เพราะการทำเหมืองแร่ดังกล่าวอยู่ใกล้เขตชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมาก ประชาคมหมู่บ้านเมื่อปี 56 ระบุเพียงว่า จะสร้างเหมืองกับโรงแต่งแร่เท่านั้น ต่อมามีการสร้างโรงต้มเกลือขึ้น
“ชาวบ้านเขาก็อยู่ในพื้นที่แบบนี้แหล่ะ สร้างมานานแล้วสิบกว่าปี เขาเข้ามาสำรวจบอกว่าจะสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวอะไรสักอย่าง” เสียงจากชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านหนองไทรกับความไม่ชัดเจนในการเข้ามาของเหมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการทำประชาคม
ปัจจุบัน หากเรามองดูบริเวณรอบๆ พื้นที่ของเหมือง เราจะเห็นเสาปูนหลายต้นถูกกัดกร่อนจนผิดรูป ต้นสนทนเค็มที่เรียงรายกั้นแบ่งเขตระหว่างชาวบ้านกับเหมือง ต่างพากันล้มเอียงใกล้โค่น ดินแดงอมส้มที่ผู้เขียนเหยียบอยู่ มีลักษณะแฉะคล้ายชุ่มน้ำ ทั้งๆ ที่ไม่มีฝนตกมาหลายวัน
“ถ้ามันชุ่มแบบนี้ มันก็ไม่เคยแห้งเลย”
“ถ้าเรามาช่วงหน้าแล้งนะ จะเห็นเกลือหนาเป็นนิ้วๆ เลย”
“เสาล้อมรั้วใกล้ต้นสนของเหมือง คนของเหมืองก็มักจะมาเปลี่ยนเสา เพราะดินเค็มมันกัด นักข่าวก็มากันทุกสำนัก แต่ก็ไม่เห็นเขาทำอะไรได้” กลุ่มชาวบ้านที่พาเดินไปดูผลกระทบกล่าวเสริม
พอเรากวาดตาไปเรื่อยๆ จะเห็นแผ่นเกลือสีขาวมากมายกระจายอยู่รอบบ่อน้ำพักเกลือของเหมือง ซึ่งมีสีเขียวมรกตและไร้ตะกอน ไม่มีเงาของต้นไม้ใหญ่เหลือแล้ว หลายต้นเหลือแต่โครงแห้งๆ ไหม้เป็นสีดำเหมือนถูกเผา บางพุ่มไม้เล็กๆ ยังมีใบสีเขียวสดอยู่ (นี่เป็นสิ่งทำให้ผู้ว่าโคราชและหลายคนเข้าใจผิดว่า การที่ยังมีพืชสีเขียวให้เห็นเป็นหย่อมๆ แสดงว่า พื้นที่เหล่านี้ยังใช้ได้ ไม่ได้เค็มรุนแรงอะไร)
หลังการเข้ามาของเหมืองแร่เพียงปีเดียว แผ่นดินมาตุภูมิของชาวบ้านหนองไทรได้แปรสภาพเป็นสถานที่เสื่อมโทรมและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เพราะพิษความเค็มจากการทำเหมืองแร่โปแตช ในอ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
(ภาพเดือน มิ.ย. 2566)
”ชาวบ้านเขาน่าสงสารนะ เมื่อก่อนเขาอยู่หลังวัด ตอนแรกมันก็อุดมสมบูรณ์ มีปลา มีน้ำกิน มีไร่มีนา ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว มีแต่น้ำเค็มใสๆ น้ำประปาก็เค็ม” ชาวบ้านคนหนึ่งจากบ้านดอนป่าโอปกล่าวถึงความหลังอย่างเจ็บปวด
เมื่อถามถึงประโยชน์ของเหมืองที่บริษัทป่าวประกาศต่อชาวบ้านและภาครัฐว่า ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศให้ได้ปุ๋ยในราคาถูก ไม่ต้องนำเข้าปุ๋ยที่มีราคาแพงอีก ชาวบ้านจากหนองไทรคนหนึ่งตอบว่า “ถ้าปุ๋ยราคาถูกลงได้จริง เขาคงไม่มาประท้วงกันหรอก ถ้าปุ๋ยกระสอบล่ะ 200 บาท ตอนนี้จากเดิม 600 ขึ้นมา 1200 แน่ะ ปุ๋ยใส่ข้าวอ่ะนะ ไหนว่าจะลดให้ไง กลับขายแพงขึ้น ไม่มีตังค์ซื้อปุ๋ยแล้ว ล่ะชาวนานี่ก็จ๊นจน ขายข้าวเปลือกได้แค่โลล่ะ 12 บาท”
ชีวิตเกษตรกรผู้ผลิตที่นี่ ก็เป็นเช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในโลก ไร้ความมั่นคงทางรายได้ ไม่มีอำนาจต่อรองกับนายทุนผูกขาดค้าข้าวเปลือก
เหล่าพี่น้องนักต่อสู้ในหมู่บ้านหนองไทร ซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่โปแตช
เมื่อเกิดการปนเปื้อนรั่วไหลเข้าพื้นที่ทำกินชาวบ้าน
เดิมที ที่แห่งนี้สามารถทำการผลิตได้อย่างปกติ ปลูกพืชได้ทุกปี ชาวบ้านต่างเลี้ยงชีพด้วยการทำพืชไร่ อาทิ ข้าว ข้าวโพด มัน อ้อย บ้างก็ปลูกพืชผักสวนครัว มีการใช้บ่อน้ำสาธารณะร่วมกันหลายที่ (ในหนองมะค่านอกกับหนองมะค่าใน) บ่อน้ำของวัดก็สามารถนำมาใช้ได้ พวกต้นธูปฤาษียังสามารถเติบโตเต็มบริเวณหนอง นก ปลา ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อเกิดผลกระทบต่อไร่นาและบ่อน้ำใกล้เคียง นานวันเข้าชาวบ้านก็ไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิมอีก เพราะดินเสื่อมสภาพจากการเป็นดินเค็ม นอกจากนี้ยังได้รับมลภาวะฝุ่นควันไฟจากโรงต้มเกลืออีกด้วย
หลังจากบริษัทเริ่มทำการขุดแร่ในช่วงปี 2559 พี่หญิง ซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่อธิบายให้ฟังว่า บริษัทมีการทำอุโมงค์ลาดเอียง เพื่อลงไปขุดเจาะแร่ ระยะทางประมาณ 1,600 เมตร แต่ทำได้เพียง 900 เมตรถึงชั้นเกลือแล้ว ปรากฎว่า ลงไปเจอตาน้ำขนาดใหญ่ ทำให้ความเค็มจากเกลือใต้ดินรั่วไหลสู่ที่ดินสาธารณะและพื้นที่ทำกินของชาวบ้านบริเวณโดยรอบ เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง อาทิ ไม่สามารถปลูกพืชและใช้พื้นที่ทำการเกษตรใดๆ ได้เช่นเดิม แหล่งน้ำสาธารณะเกิดการปนเปื้อน น้ำประปาไม่สามารถอุปโภคบริโภคได้ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น บ้านเรือน ป้อมยามของเหมือง เสาปูน และวัดบ้านหนองไทรถูกเกลือกัดกร่อนจนผุพรุน ถึงแม้ว่าจะมีการแก้ไขปัญหาด้วยตัวชาวบ้านเอง เช่น ถมดินยกบ้านให้สูงขึ้น เอาปูนมาฉาบใหม่ แต่ผ่านไปไม่นาน ความเค็มก็กัดปูนจนผุเสียหายเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ชาวบ้านและพี่หญิงได้ระบุถึงข้อกังวลในอนาคตด้วยว่า หากบริษัทเหมืองและภาครัฐยังคงเพิกเฉย ไม่มีการแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น ความเค็มในแหล่งน้ำที่นี่ อาจซึมสู่คลองลำมะหลอดและไหลลงลำเชียงไกร ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของโคราช จึงเกรงว่า แม่น้ำทั้งสายอาจปนเปื้อนด้วยน้ำเค็ม สร้างผลกระทบต่อคนมากมายและทำลายล้างระบบนิเวศในโคราช ซึ่งหากบริษัทยังคงมองเห็นเพียงประโยชน์จากธุรกิจทางการเงิน การพัฒนาที่สร้างความเจริญในระยะสั้น ข้อกังวลของชาวบ้านและพี่หญิงคงไม่ไกลเกินไปที่จะเกิดในอนาคต
ในแง่ภูมิศาสตร์ พื้นที่แห้งแล้ง ที่ราบไม่มีภูเขา เช่น ภาคกลาง ภาคอีสาน ส่วนใหญ่พึ่งพาน้ำบาดาลจากใต้ดิน ซึ่งแตกต่างจากภาคเหนือ แหล่งน้ำที่สำคัญมาจากบนภูเขา เกษตรในที่ราบจึงต้องเจาะน้ำบาดาลมาทำการเกษตร ทำให้แหล่งน้ำใต้ดินสำคัญมากในการใช้หาเลี้ยงปากท้อง หากเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงกระทบต่ออาหารและรายได้ของคนในพื้นที่ ดังเช่นการปนเปื้อนความเค็มรุนแรงของน้ำในหมู่บ้านหนองไทร ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำสาธารณะ หรือแม้แต่น้ำประปาในพื้นที่ได้
“เราไม่สามารถเอาน้ำปนเปื้อนมาใช้อะไรได้เลย เพราะมันจะเป็นคราบสนิม มีคราบน้ำมันปนเปื้อนมาหมดเลย น้ำที่ไหลซึมออกมาก็เป็นน้ำสีแดงกับสีดำปนกันมาหมด ทำให้ต้นไม้ยืนต้นตาย” ชาวบ้านคนหนึ่งจากบ้านดอนป่าโอปเล่าให้เราฟัง ขณะพาเดินไปดูผลกระทบ พลางบ่นว่า ถ้าผู้มีอำนาจลงพื้นที่มาตรวจสอบ เหมืองก็มักจะจ้างคนมาถมดิน ทาสี เปลี่ยนเสาปูนอยู่เสมอ หนักที่สุดคือช่วงแรกๆ ที่มีการทะลักรั่วไหลของน้ำเค็ม ที่นี่อยู่ในสภาพเลวร้ายและส่งกลิ่นเหม็นกว่าตอนที่ผู้เขียนไปลงพื้นที่มากนัก
ขณะที่เรานั่งรถมอไซค์พ่วงข้างของชาวบ้าน เราผ่านบ้านป้าคนหนึ่งในหนองไทร เขามองดูต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านตัวเองด้วยความอาลัย พลางเล่าว่า “มันอยู่ตั้งแต่ก่อนเขาเกิด จนลูกเขาเรียนจบมันก็ยังอยู่ เสียดายมากๆ ตอนนี้มันกำลังยืนต้นตายแล้ว”
(ภาพเดือน มิ.ย. 2566)
เค็มเรื้อรัง ผลกระทบที่ไร้การเยียวยา
“เขารวยแล้วเขาจะมาเดือดร้อนทำไม ชาวบ้านฝั่งหมู่ 4 ฝั่งนี้สิที่เดือดร้อน คนที่อยู่หมู่ 9 ฝั่งตรงกันข้ามก็ไม่เดือดร้อน พวกผู้ใหญ่บ้าน อบต. ก็เข้าข้างเขา เพราะเขามีเงิน” ชาวบ้านคนหนึ่งข้างศาลาวัดบ้านหนองไทรกล่าว
หลังชาวบ้านร้องเรียนเรื่องผลกระทบมาเป็นเวลา 4 ปี เมื่อปี 2563 บริษัทเเจ้งว่า ได้หยุดดำเนินการต่างๆชั่วคราวจากอุบัติเหตุน้ำท่วมในอุโมงค์เหมืองเเร่ใต้ดิน กระนั้น ยังคงไร้วี่แววการฟื้นฟูและการเยียวยาที่ดินของชาวบ้าน เพราะบริษัทไม่ยอมรับว่า ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากเหมือง โดยระบุว่า มาจากบ่อขยะของชุมชนเอง (ชาวบ้านได้ฟังคำพูดจากเจ้าของบริษัทเหมืองแร่ด้วยตนเอง) และเกิดจากค่าความเค็มดั้งเดิมในพื้นที่ของชาวบ้าน ไม่ใช่ผลกระทบจากเหมือง
ชาวบ้านจึงตอบโต้บริษัทกลับว่า “ความเค็มดั้งเดิมนั้น เรายังสามารถทำมาหากินได้ ไม่ใช่ทำกินไม่ได้เลย แต่บริษัทก็ยังไม่ยอมรับ เขาจะตอบเสมอเลยว่า มันมาจากบ่อขยะของชาวบ้าน ตอบเหมือนเดิมตั้งแต่ปี 62 ถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่ยอมรับ”
“มันไม่มีบ่อขยะจริงๆ หรอก มันเป็นคำอ้างอิงของบริษัท เพราะแถวหนองมะค่าตรงนั้น มันเป็นสระน้ำ มันใช้ได้ ชาวบ้านเลยไปเอามาใช้กัน เขา(บริษัท)ก็บอกว่า มีชาวบ้านเอาขยะไปทิ้ง แค่ 2-3 ชิ้น เขาเลยว่า มันเป็นบ่อขยะ ทั้งที่จริงๆ มันไม่เคยมีบ่อขยะเลย เกิดมาตั้งแต่น้อย ยังไม่เคยเห็นบ่อขยะเลย” ชาวบ้านอธิบาย ส่วนฝั่งบริษัทเหมือง ได้รับการยืนยันจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) ว่า บ่อน้ำสาธารณะเป็นบ่อขยะ
เมื่อบริษัทคิดว่าตนไม่ใช่ผู้สร้างผลกระทบ และไร้ซึ่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนจากทั้งภาครัฐและตัวบริษัทเอง ทำให้การชดเชยค่าเสียหายเป็นไปด้วยความสงสาร ถ้าใครอยากได้ก็เข้ามาขอเอา ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าว่า ถ้าชาวบ้านคนไหนที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อน เช่น บ้านผุพัง ที่ดินทำกินไม่ได้ บริษัทก็จะมาจ่ายค่าเสียหายเยียวยาให้ไร่ล่ะ 1,000-5,000 ต่อปี” จนกระทั่งเมื่อปี 2564 บริษัทเเจ้งว่า เขาไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชยให้กับชาวบ้านแล้ว แต่ยังคงมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ชาวบ้านมาเซ็นยินยอมเรื่องต่างๆ อยู่จนถึงปัจจุบัน
“อยากให้เท่าไหร่ เขาก็ให้ บางคนมีพื้นที่เสียหาย 10 ไร่ แต่เขาจ่ายแค่ 5 ไร่ก็มี แล้วก็ไม่ได้ให้ค่าเยียวยาทุกปีนะ เขาบอกว่าจ่ายแค่นี้ เพราะพวกเรายังทำกินกันได้อยู่” ชาวบ้านกล่าว พร้อมเสริมว่า การจ่ายค่าเยียวยาไม่มีมาตรฐานใดๆ และยังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากน้อยเท่าไหร่กับคนที่เอาเงินมาจ่ายอีกด้วย
ส่วนหน่วยงานภาครัฐ ชาวบ้านได้ร้องเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาเป็นคนกลางในการตรวจสอบหลายครั้ง ชาวบ้านระบุว่า ส่วนมากเมื่อแจ้งแล้ว หน่วยงานมักจะเงียบหายไป เช่น ในเดือนมกราคม ภาครัฐได้ยกเลิกการตรวจสอบ โดยไม่ทราบเหตุผล บางครั้งก็เดินทางมาเก็บตัวอย่าง แต่ไม่นำไปตรวจสอบต่อ โดยให้เหตุผลว่าบริษัทเหมืองไม่เซ็นยินยอม
แต่เมื่อปี 2565 มีสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 11 (นครราชสีมา) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างแท้จริง ถือเป็นเป็นหน่วยงานรัฐแรกๆ ที่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า จุดบ่อน้ำสาธารณะของวัดหนองไทรที่ติดกับเหมืองมีค่าความเค็มเกินมาตรฐานการทำน้ำประปากว่า 58 เท่า จุดที่มีน้ำรั่วซึมออกมาติดกับขอบบ่อพักน้ำเหมือง พบค่าความเค็มสูงกว่ามาตรฐาน 97 เท่า โดยพบปลาหลายชนิดลอยตาย ต้นไม้ต่างๆ ในบริเวณนั้นก็ยืนต้นตายเช่นกัน
จุดบ่อน้ำนอกโครงการโรงต้มเกลือเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ น้ำมีสีเขียวมรกต ขอบบ่อด้านในปรากฏคราบเกลือสีขาว อีกทั้งยังพบว่ามีการซึมของเกลือออกมานอกบ่ออีกด้วยเพราะไม่มีการปูผ้ายาง
ความหวัง และการต่อสู้ต่อไปของพี่น้อง
“ชาวบ้านสู้กันมา 15 ปีแล้ว เขาก็พยายามดึงคนในหมู่บ้านเข้าทำงานในโรงงานเขาหมด ประมาณสามสี่ร้อยคน ทำให้เราไม่มีปากไม่มีเสียง”
บริษัทเหมืองมุ่งมั่นกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่ตนได้สัมปทานมาจากรัฐอย่างเต็มที่ และเนื่องจากต้องการกดราคาต้นทุนให้ถูกที่สุด มาตรการป้องกันจึงเป็นเพียงสิ่งที่สิ้นเปลืองงบการลงทุน ประกอบกับกระบวนการติดตามตรวจสอบของภาครัฐที่ไร้ประสิทธิภาพ แม้จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมจากรัฐ การทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างรัดกุม แต่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบข้างต้นได้เลย
ชาวบ้านหนองไทรที่ได้รับความเดือดร้อนได้รวมกลุ่มกันเป็น ‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด’ เพื่อต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง เรียนรู้การพัฒนาเครือข่ายและแลกเปลี่ยนบทเรียนการต่อสู้กับเหมืองในพื้นที่อื่นๆ เพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจของชุมชนในท้องถิ่น ไม่ให้ชุมชนถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้มีอำนาจได้มากขึ้น
หลายครั้งที่เหมืองทำการเจาะสำรวจโดยไม่ขออนุญาติชาวบ้าน เมื่อช่วงที่ข้าพเจ้าไปลงพื้นที่ ชาวบ้านช่วยกันเป็นหูเป็นตา แล้วลงขันรวบรวมเงินกันจากหมู่บ้านต่างๆ เพื่อจ้างคนขับแมคโครให้มาถมดินบริเวณที่เหมืองแอบมาสำรวจ เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการทวงคืนอำนาจในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ชุมชนของตนเอง
“ถ้าวันนั้น ชาวบ้านไม่เรียกร้องให้มีการแก้ไข ไม่ชี้บอกหน่วยงานของรัฐว่า บริษัทเหมืองกำลังทำผิด หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมดก็จะปล่อยปละละเลยให้เหมืองทำแบบนี้ต่อไป แล้วถ้าชาวบ้านไม่ลุกขึ้นสู้ ไม่รวมกลุ่มกัน มันก็จะไม่เกิดการแก้ปัญหาอะไรเลย” พี่หญิง จากสมาชิกเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่กล่าวสะท้อนความสำคัญของการรวมกลุ่มและสิทธิของชุมชนในท้องถิ่น โดยตอนนี้ ข้อเรียกร้องเดียวของชาวบ้านหนองไทร คือ ‘ปิดเหมืองแร่โปแตชอย่างถาวร’ เพื่อร่วมกันหาทางฟื้นฟูธรรมชาติและระบบนิเวศให้กลับมาดังเดิม
ในประเทศไทย การที่รัฐออกสัมปทานโครงการใหญ่ๆ หลายแห่งให้เอกชน อาทิ การทำเหมืองแร่ สร้างเขื่อน ป่าไม้ ทำประมง และการใช้แหล่งน้ำ ถือเป็นกระบวนการแปลงธรรมชาติให้เป็นทุน (capitalisation of nature) ทำให้ธรรมชาติกลายเป็นสินค้าในกระบวนการทำให้กลายเป็นทุน แหล่งทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นพื้นที่ในการสกัดหรือขูดรีดทรัพยากรเพื่อทำการผลิตป้อนตลาด และเป็นแหล่งสะสมทุน ภายใต้กรอบนโยบายตามแต่รัฐบาลนั้นๆ จะนำมาอ้าง อาทิ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศ หรือเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยขึ้นกับอำนาจการจัดการของนายทุนทั้งในประเทศหรือข้ามชาติก็ได้ และในท้ายที่สุด กระบวนการสะสมทุนดังกล่าวจะนำไปสู่การสะสมทุนเพื่อการสะสมทุนไปเรื่อยๆ โดยที่จำกัดอยู่ภายใต้เงื้อมมือของผู้คนเพียงจำนวนหยิบมือเท่านั้น ซึ่งการยึดพรากที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติจะทำลายความเป็นสิทธิส่วนร่วม (ณภัค เสรีรักษ์, 2566, น. 64-66, น. 86) ทำให้คนในชุมชนท้องถิ่นนั้นจะเหลือแต่เพียงความเสื่อมโทรมและความถดถอยของสิ่งแวดล้อม เช่น ในช่วงปีพ.ศ.2512-2532 เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างจากการทำอุตสาหกรรมเกลือในลุ่มน้ำเสียว เขตหนองบ่อ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อที่ดินหลายแสนไร่และลำน้ำที่สำคัญหมดสภาพเกือบถาวร ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้เดินขบวนประท้วงต่อต้านการทำเหมืองในพื้นที่ จนรัฐบาลมีคำสั่งห้ามทำเกลือในบริเวณดังกล่าว และออกมาตราการควบคุมทั่วประเทศ
หากสังคมเราไม่คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและสิ่งมีชีวิตอื่นในธรรมชาติ ครอบงำธรรมชาติดังเช่นสินค้าชนิดหนึ่งโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง เสพติดการสะสมทุนและความมั่งคั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จัดสรรทรัพยากรตามระดับอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจจากบนลงล่าง เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนชนชั้นล่างในสังคมและสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ทั้งหมดทั้งปวง ภายใต้ระบบซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ดังที่เราได้ประสบผ่านปรากฏการณ์โลกร้อน โลกรวน และโลกเดือดที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบันเป็นแน่ เราต้องกระจายแหล่งที่มาของการสร้างความมั่งคั่งให้แก่คนทุกชนชั้นทางสังคม มองสิ่งมีชีวิตอื่นให้อยู่ในสถานะเดียวกันกับเรา นั่นทำให้การต่อสู้ต่อไปจากนี้ไม่จบแค่เพียงการปิดเหมือง ปิดโรงไฟฟ้า และทุบเขื่อนเท่านั้น แต่เราจะต่อสู้เพื่อเปลี่ยนระบบที่ล้มเหลวในยุคสมัยของเราด้วย ที่ซึ่งคุณค่าของสิ่งต่างๆ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินของมัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและกระจายประโยชน์แก่ทุกคน ทุกชีวิตในระยะยาว
ชาวบ้านพาเดินไปดูผลกระทบ ช่วงผู้ว่าโคราชลงพื้นที่ตรวจสอบ เมื่อเดือนกค. 2566
ชวนมาฟังกลอนลำ ‘ประวัตินาเกลือ’ ที่พูดถึงความเจ็บปวดของคนอีสาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเข้ามาทำอุตสาหกรรมเกลือของนายทุนในพื้นที่ลุ่มน้ำเสียว อ.บรบือ จ.มหาสารคาม สามารถฟังได้ผ่านลิงก์ด้านล่าง:
https://www.youtube.com/watch?v=xtvOJsj03eo
เอกสารอ้างอิง
ณภัค เสรีรักษ์. (2566). ธรรมชาติสถาปนา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสมัยของทุน
นัฐวุฒิ สิงหกุล. (2550). เกลือและโพแทช ภาษา ความรู้และอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติใต้พื้นดินอีสาน กรณีศึกษาโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี
พิทักษ์ รัตนจารุรักษ์. (2542). ผลกระทบที่เกิดจากการผลิตเกลือ ด้วยการสูบน้ำเกลือใต้ดินที่บ้านโนนสะแบง ตำบลหนองกวั่ง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร