ผู้เขียน Gabriel Ernst [EN] & ice_rockster [แปลไทย]
บรรณาธิการ Sarutanon Prabute

ฉันเป็นคนที่สงสัยในตัวของพวกชนชั้นสูงและมีอำนาจมาโดยตลอด ซึ่งในฐานะฝ่ายซ้ายฉันดูถูกพวกเขา เช่นเดียวกับที่ฉันดูถูกพวกอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2019 ทำให้ฉันตกใจมากและทำให้ฉันมีความเข้าใจใหม่ทั้งหมดเกี่ยวกับความเลวทรามและความชั่วร้ายอย่างตรงไปตรงมาของคนร่ำรวยและคนมีอำนาจ นี่เป็นกรณีของเจฟรีย์ เอ็ปสไตน์

ถ้าจะให้พูดสั้น ๆ ง่าย ๆ เอ็ปสไตน์นั้นเป็นทั้ง แมงดา-เฒ่าหัวงู-โคแก่กินหญ้าอ่อน มืออาชีพที่ร่ำรวย และมีเครือข่ายทางการเมืองที่ดีอย่างเหลือเชื่อ เขามีเกาะส่วนตัวของตัวเองนอกชายฝั่งของสหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเขาจะให้ทาสทางเพศสาวของเขาคอยต้อนรับแขกผู้มีอำนาจที่บินไปที่นั่นด้วยเครื่องบินส่วนตัวของพวกเขา ซึ่งเขาตั้งชื่อเล่นว่า “สายด่วนโลลิต้า” ‘The Lolita Express’

แขกที่มาเยือนเกาะนี้รวมถึงประธานาธิบดีหลายคนของสหรัฐฯ อาทิเช่น บิล คลินตั้น (Bill Clinton), นายกรัฐมนตรีอิสราเอล Ehud Barak และประธานาธิบดี Andrés Pastrana ของโคลอมเบีย รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียง เช่น เจ้าชายแอนดรูว (Prince Andrew) จากสหราชอาณาจักร แลรรี่ ซัมเมอร์ส์ (Larry Summers) อดีตประธานของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด หรือ นักวิชาการและนักเขียนชื่อดังอย่างสตีเว่น พิ้งเกอร์ (Steven Pinker) ของคนดัง สามารถดูรายชื่อผู้เยี่ยมชมเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ไมอามี่

ฉันเริ่มรู้จักเอ็ปสไตน์เป็นครั้งแรกหลังจากที่หนังสือพิมพ์ไมอามีเฮรัลด์เขียนบทความสอบสวนเขา บทความนี้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์แปลก ๆ ในการตัดสินคดีอนาจารครั้งแรกของเอ็ปสไตน์ในปี 2007 โดยปกติแล้วเอ็ปสไตน์จะจ้างเด็กผู้หญิงที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งมักมาจากครอบครัวที่ยากจนมาก เพื่อพาให้ไปนวดที่คฤหาสน์ปาล์มบีชในฟลอริดา ในระหว่างการนวดเขาได้ทำการล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิงเหล่านั้น จากนั้นเขาจะเสนอเงินเพื่อหาผู้หญิงให้เขามากขึ้น ซึ่งบางคนก็หาคนรับสมัครที่โรงเรียนห้างสรรพสินค้าและปาร์ตี้ที่บ้าน ไม่มีใครรู้ว่ามีเด็กผู้หญิงทั้งหมดกี่คนที่เกี่ยวข้อง แต่จากการสอบสวนของตำรวจระบุว่ามีเหยื่ออย่างน้อย 80 คน

เหยื่อรายหนึ่งกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า “เขาบอกฉันว่าเขาต้องการให้หาเด็กที่อายุน้อยที่สุดเท่าที่ทำได้ เขาต้องการผู้หญิงให้มากที่สุดเท่าที่หาได้ ซึ่งมันไม่เคยเพียงพอ”

หลังจากให้คำแนะนำกับตำรวจท้องถิ่น FBI ได้ตั้งข้อหาเอ็ปสไตน์ในปี 2007 ในข้อหาอาชญากรรมที่ควรส่งเขาเข้าคุกตลอดชีวิต แต่เขาได้ทำข้อตกลงลึกลับกับอัยการซึ่งอนุญาตให้เขารับโทษเพียง 13 เดือน และไม่ใช่ในเรือนจำของรัฐบาลกลางหรือของรัฐ แต่อยู่ในคุกส่วนตัวของเรือนจำในเขตปาล์มบีชซึ่งหลายคนอธิบายว่าคล้ายกับโรงแรมราคาแพง

เขาได้รับการปล่อยงานให้ไปอยู่ใน “สำนักงานที่สะดวกสบาย” เป็นเวลา 12 ชั่วโมงต่อวัน หกวันต่อสัปดาห์ แม้ว่าจะมีกฎหมายห้ามปล่อยงานสำหรับผู้กระทำความผิดทางเพศก็ตาม และยังมีรายงานในภายหลังว่าเขายังคงลวนลามเด็ก ๆ หลายคนที่สำนักงานของเขาในช่วงเวลานี้

ส่วนที่แปลกประหลาดที่สุดของข้อตกลงที่แปลกประหลาดนี้คือส่วนที่เรียกว่า “ข้อตกลงการไม่ดำเนินคดี” ซึ่งให้ภูมิคุ้มกันแก่ “ผู้สมรู้ร่วมคิดใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้น” ซึ่งหมายความว่าหากเพื่อนที่มีอำนาจของเอ็ปสไตน์คนใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมของเขาพวกเขาจะไม่ต้องเผชิญกับผลที่ตามมา

ข้อตกลงดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อนในระบอบกฎหมายของสหรัฐอเมริกาและดูเหมือนจะใช้กับคดีนี้เท่านั้น

ข้อตกลงที่ใจกว้างอย่างมากจากอัยการทำให้หลายคนเชื่อว่าเอ็ปสไตน์ได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนที่มีอำนาจของเขาเบื้องหลัง หรือแม้กระทั่งอาจจะใช้ความได้เปรียบบางอย่างข่มขู่บุคคลสำคัญในระดับที่สูงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกคุมขัง

นั่นคือเขาเอง

ไม่ค่อยมีใครรู้เกี่ยวกับสถานการณ์เบื้องหลังว่าเอ็ปสไตน์ กลายเป็นคนร่ำรวยอย่างมากได้อย่างไร เมื่อยามที่เขายังหนุ่ม เขาทำงานเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนสตรีของชนชั้นสูงในนิวยอร์ก ดูเหมือนว่าเขาจะถูกเลือกจากที่นั่นเพื่อทำงานระดับสูงในการธนาคารการลงทุน (ซึ่งเขาไม่มีประสบการณ์) เมื่อถึงจุดหนึ่งในปี 1986 เขาได้พบกับมหาเศรษฐีที่ชื่อว่า เล เว็กซเนอร์ (Les Wexner) ผู้ซึ่งมอบอำนาจให้เขาด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้เขามีโชคลาภอันมหาศาลไม่นานหลังจากพบเขา

อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 1990 เขาได้พบกับกิสเลน แม็กซเวล (Ghislaine Maxwell) ลูกสาวของเจ้าของหนังสือพิมพ์อังกฤษและโรเบิร์ต แม็กซเวล (Robert Maxwell) สายลับชาวอิสราเอลในตำนาน บางครั้ง กิสเลนถูกเรียกว่าแฟนของเอ็ปสไตน์ บางครั้งก็เป็นเพื่อนร่วมธุรกิจของเขาไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมากและกิสเลนมักถูกกล่าวหาโดยเหยื่อว่าเป็นคนที่พาพวกเขามาให้เอ็ปสไตน์

เซนต์เจมส์น้อย

คดีของศาลในฟลอริดาเกิดขึ้นอย่างเป็นเอกเทศเฉพาะในรัฐ เอ็ปสไตน์ยังมีอสังหาริมทรัพย์ในนิวเม็กซิโก นิวยอร์ก และเกาะส่วนตัวของเขาชื่อเซนต์เจมส์น้อย (Little Saint James) เหยื่อหลายคนบอกว่าพวกเขาถูกส่งตัวโดย เอ็ปสไตน์และแม็กซเวลไปยังสถานที่เหล่านี้ ทั้งหมดเพื่องานปาร์ตี้หรือเพื่อทำหน้าที่เป็นโสเภณี

แท้จริงแล้วไม่ใช่แค่เหยื่อเท่านั้นที่ยืนยันเรื่องนี้ แต่ยังรวมถึงพนักงานในสถานที่เหล่านี้รวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลพื้นที่ที่เกาะเซนต์เจมส์น้อย ที่อธิบายว่ามีกิจกรรมทางเพศมากมาย ที่มีเด็กสาวและมีชื่อของเจ้าชายแอนดรูว์ ปรากฏว่ามาร่วมงานด้วย

จุดจบของเอ็ปสไตน์

ชีวิตและกิจกรรมส่วนใหญ่ของเอ็ปสไตน์ รวมถึงคดีในศาลในฟลอริดาเป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมชั้นสูงเท่านั้น จนถึงปี 2018 เมื่อสำนักข่าวไมอามีเฮรัลด์เผยแพร่บทความที่ดังระเบิดระเบ้อของเขา ซึ่งเป็นช่วงเวลาตรงกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม MeToo จากนั้นเรื่องราวก็จึงแพร่กระจายออกไปเป็นไวรัล สิ่งนี้กระตุ้นให้ศาลในนิวยอร์กทำการสอบสวนเอ็ปสไตน์ในที่สุด หลังจากมีการกล่าวหาเขามาหลายทศวรรษ

ในปี 2019 เขาถูกจับในข้อหาค้ามนุษย์ทางเพศและถูกคุมขังในคุกที่มีความปลอดภัยสูงในนิวยอร์ก ในเวลานี้มีการคาดเดากันอย่างมากว่าคดีในศาลสาธารณะอาจเกิดขึ้นได้อย่างไร ด้วยผลกระทบทางการเมืองและการบอกกล่าวเป็นนัย ๆ ของคนดังที่อาจเกี่ยวข้อง สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียจึงเต็มไปด้วยการอภิปรายอย่างอื้อฉาว

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2019 เอ็ปสไตน์ถูกพบว่าหมดสติในห้องขังโดยได้รับบาดเจ็บที่คอ เขารอดชีวิตและอ้างว่าเขาถูกนักโทษอีกคนทำร้าย เจ้าหน้าที่ในเรือนจำอ้างว่า เขาพยายามจะฆ่าตัวตายซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากตั้งแต่นั้นมา เขาอ้างว่าเขาถูกโจมตี จากนั้นมีมส์ (memes) มากมายที่สร้างขึ้นเกี่ยวกับบิลหรือฮิลลารี คลินตันวางแผนที่จะฆ่าเอ็ปสไตน์ เพื่อปิดปากไม่ให้เขาเปิดเผยพวกเขาในการพิจารณาคดี เขาจึงประหนึ่งว่าถูกวางไว้บนนาฬิกาฆ่าตัวตายแม้ว่าจะมีการประเมินว่าเขา “มีกำลังใจดี” ก็ตาม

เอ็ปสไตน์ใช้ห้องขังร่วมกับนักโทษคนอื่น โดยมีกล้องรักษาความปลอดภัยและผู้คุมสองคนประจำการอยู่ข้างนอกตลอดเวลาซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบเขาทุก ๆ 30 นาที เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2019 เพื่อนร่วมห้องขังของเขาถูกย้ายออกและไม่ได้ถูกแทนที่ และในวันที่ 10 เขาจึงเสียชีวิตลง ตามที่เจ้าหน้าที่เรือนจำได้รายงาน เขาได้ผูกคอตัวเองในห้องขัง และรายงานว่าบอกว่ากล้องรักษาความปลอดภัยหยุดทำงานลงทั้งหมด อีกทั้งผู้คุมสองคนนั้น ก็กำลังหลับอยู่ในเวลานั้นพอดี

วันนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้วว่าคุณเชื่ออย่างไรเกี่ยวกับการตายของเจฟรีย์ เอ็ปสไตน์ ซึ่งรายงานจากสื่อส่วนใหญ่ก็จะรายงานอย่างพร้อมเพรียงว่า เป็นเรื่องราวของการฆ่าตัวตายที่ธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตามหลักฐานและสถานการณ์ทั้งหมดถูกชี้ว่าน่าสงสัยอย่างไม่น่าเชื่อ

มีทฤษฎีสมคบคิดมากมายเกี่ยวกับความจริงเบื้องหลังกรณีเอ็ปสไตน์ ทั้งชีวิตและความตายของเขา บางคนอ้างว่าเขาเป็นเพียงคนรวยที่มีเพื่อนที่มีอำนาจและมีนิสัยวิปริตต่อเด็กสาว ในขณะที่มีหลักฐานบ่งบอกถึงการเล่าเรื่องที่มืดมน อัยการในคดีเดิมของฟลอริดาเมื่อปี 2007 เคยกล่าวว่า “ฉันได้รับแจ้งว่าเอ็ปสไตน์ เป็นหน่วยข่าวกรองและปล่อยให้เขาอยู่คนเดียว” สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงเครือข่ายมืดของหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐฯ ที่ทำงานร่วมกับคนเฒ่าหัวงูผู้ร่ำรวย ซึ่งบางทีอาจจะเป็นการแบล็คเมล์บุคคลสำคัญในการเสนอราคาที่สูงกว่า หรือบางทีอาจจะเหนือกว่านั้น แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวของ กิสเลน แม็กซเวล จะเสริมสร้างสมมติฐานนี้เท่านั้น ซึ่งแม็กซ์เวลนั้น ขณะนี้เธอถูกจำคุกในนิวยอร์กเพื่อรอการพิจารณาคดี

ดังนั้น สิ่งที่กรณีของเอ็ปสไตน์แสดงให้เราเห็นคือความสามารถของชนชั้นสูงในการใช้ชีวิตนอกอาณาจักรของสังคมอื่น ๆ มีส่วนร่วมในการกระทำที่เลวร้ายและบิดเบือนที่สุดและเผชิญกับการฟ้องร้องเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย จนถึงทุกวันนี้นอกจาก เอ็ปสไตน์ และ แม็กซเวล ยังไม่มีใครถูกตั้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราในคดีนี้แม้จะมีการกล่าวหาเหยื่อหลายร้อยคน เห็นได้ชัดว่ากฎเกณฑ์ของสังคมไม่ได้ถูกใช้กับผู้ที่มีเงินและผู้ที่มีอำนาจ