ผู้เขียน Michael Hardt
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Editorial Team
แปลจาก The Procedures of Love
กระบวนการของความรัก
ณ ที่แห่งนี้คือปริศนาเกี่ยวกับความรัก ความรักคือเหตุการณ์หนึ่งที่ปรากฏขึ้นจากภายนอกและเข้ามาพังทลายเวลาออกเป็นสองส่วน มันทุบทำลายโครงสร้างของโลกที่คุณรู้จักเสียจนป่นปี้และสร้างโลกใหม่ขึ้นมา ในความรัก คุณสูญเสียตัวตนและได้รับการดำรงอยู่ใหม่ เรือนร่างใหม่ คุณถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถ้าหากความรักคือเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวที่อยู่ภายนอกเวลา เราก็คงไม่อาจจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน เพราะแทบเป็นไม่ได้เลยที่เราจะสามารถอยู่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
กระนั้นความรักก็มีอีกด้านหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับว่าเป็นด้านตรงข้าม ความรักคือพันธะ เป็นพันธะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถประสบได้ มันจะยึดเหนี่ยวคุณไว้ให้สัมพันธ์กับผู้อื่น ผูกมัดคุณในลักษณะที่ราวกับว่ามันจะคงอยู่ชั่วกาล ซึ่งนี่ก็เป็นโฉมหน้าของความรักที่ดูจะอยู่ภายนอกกาลเวลาเช่นกัน มันแสดงตนเฉกเช่นสิ่งที่เป็นนิรันดร์ และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถดำรงอยู่ร่วมกับมันได้ มันทำให้เราอึดอัดราวกับขาดอากาศหายใจ จากพันธะที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงของการโอบรับอันแสนอบอุ่น กลับกลายเป็นดั่งคุกที่ไร้อากาศอันน่าเหลือทนอย่างรวดเร็ว
คุณอาจจะบอกว่า นั่นคือความแตกต่างระหว่าง การตกหลุมรัก (falling in love) กับ การดำรงอยู่ในความรัก (being in love) อย่างไรก็ตามการแบ่งแยกเช่นนี้ก็มิได้ช่วยคลี่คลายปริศนาแห่งความรัก คุณถูกทิ้งไว้กับความคิดเรื่องความรักเพียงสองแบบที่เลวร้ายพอๆ กันทั้งคู่ อันหนึ่งอยู่นอกกาลเวลาในความหมายว่ามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่วนอีกอันอยู่นอกกาลเวลาเนื่องจากมันยอมรับว่าเวลาไม่มีอยู่จริง
กลับกันแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการค้นพบคือความรักที่อยู่ในกาลเวลา ความรักที่มีทั้งอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ และมีความต่อเนื่องของพันธะ เป้าประสงค์สำคัญที่สุดของฉันคือการพัฒนากรอบคิดทางการเมืองของความรัก หรือพูดอีกอย่างคือการทำความเข้าใจว่าความรักจะกลายเป็นวิถีแห่งการสถาปนา วิถีแห่งศูนย์กลาง และฟันเฟืองของการเมืองได้อย่างไร บางคราในอดีต ความรักถูกเข้าใจในฐานะพลังทางการเมือง แต่ทุกวันนี้ ความรักถูกแยกขาดและจำกัดอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ของคนสนิท ในการสร้างกรอบคิดทางการเมืองและปฏิบัติการณ์ของความรักในทุกวันนี้ เราจำเป็นต้องขยายขอบเขตของความรักให้ไกลกว่าเรื่องของคู่รักหรือครอบครัว และทำให้มันออกไปสู่พื้นที่ทางสังคมทั้งหมด
แต่มิได้หมายความว่าความรักแบบที่สัมพันธ์กับคนใกล้ชิดนั้นไม่มีความสำคัญและไม่เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นในทางการเมือง ความจริงแล้วสมมติฐานและข้อเสนอของฉันก็คือ ความรักทำงานในหลายมิติคู่ขนาน ทั้งในพื้นที่ทางสังคมและคนใกล้ชิดผ่านกระบวนการและการเชื่อมต่อที่เหมือนกัน อุปสรรคและความโหดร้ายที่ความรักเผชิญอยู่นั้นมันปรากฏในพื้นที่หนึ่งและจะปรากฏในอีกพื้นที่หนึ่งด้วย ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในความอันตรายที่สุดคือความรักถูกเข้าใจในฐานะกระบวนการกลายเป็นหนึ่งเดียวที่ความแตกต่างถูกลบเลือนหรือขับออก ไม่ว่ามันจะทำงานในระดับของคู่รักหรือเรือนร่างทางสังคม ความรักแบบนี้นำมาซึ่งภัยพิบัติ เช่นเดียวกัน จากข้อเสนอเรื่องการทำงานในหลากมิติของฉัน กลยุทธ์ในการระบุถึงปัญหาดังกล่าวที่พวกเราค้นพบในพื้นที่หนึ่งนั้นสามารถช่วยและนำทางพวกเราในพื้นที่อื่นได้เช่นกัน ดังนั้น วิธีการของฉันจึงเป็นการสืบย้อนกลับไปกลับมาระหว่างพื้นที่ทางสังคมและความสัมพันธ์กับคนที่ใกล้ชิดเพื่อจะได้เข้าใจว่าพลังของความรักสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
ปริศนาว่าด้วยโฉมหน้าทั้งสองด้านของความรักซึ่งถูกอธิบายไปข้างบน (ซึ่งทั้งสองอยู่นอกกาลเวลา) แสดงให้เห็นถึงปมปัญหาสำคัญเมื่อพิจารณาในแง่ของกรอบคิดทางการเมือง ในด้านหนึ่ง ความรักในฐานะทางการเมืองมันจำเป็นต้องมอบพลังแห่งการปฏิวัติที่สร้างการแตกหักอย่างถึงรากต่อโครงสร้างของชีวิตทางสังคมอย่างที่พวกเราเข้าใจกัน พังทำลายสถาบันและบรรทัดฐานเหล่านั้นทิ้งไป ส่วนอีกด้าน มันจำเป็นต้องจัดหากลไกเพื่อธำรงให้เกิดกระบวนการร่วมมือกันต่อไปและสร้างพันธะทางสังคมที่เสถียร ดังนั้นมันจึงต้องสร้างสถาบันที่มั่นคงขึ้นมา ในแง่นี้ ความรักจึงเป็นทั้งกระบวนการที่ต่อต้านสถาบันและมุ่งสร้างสถาบันไปพร้อมๆ กัน นี่คือปริศนาซึ่งนำพาพวกเรากลับมาสู่ปัญหาเก่าแก่ว่าด้วยอำนาจแห่งการสถาปนา อำนาจที่จำเป็นต้องแสดงออกทั้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิวัติอย่างต่อเนื่องและสร้างการก่อรูปทางสังคมที่คงทน
Gilles Deleuze และ Felix Guattari ได้ค้นพบกระบวนการของความรักเชิงสถาปนา (และเชิงการประกอบสร้าง) ในงาน À la recherche du temps perdu (In Search of Lost Time) ของ Marcel Proust ซึ่งนักคิดทั้งสองได้เสนอว่า มันคือกลยุทธ์ที่จะช่วยแก้ปริศนาของความรักได้ ความรักมิใช่กระบวนการที่ปัจเจกสองคนผสานเข้าหากันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว อันที่จริงปัจเจกมิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความรักเลย ความรักทำงานเฉพาะแค่ในลักษณะที่หลากหลาย (multiplicities) “กลุ่มกระที่ปรากฏบนใบหน้า กลุ่มของเด็กผู้ชายที่กำลังพูดคุยกันสองคนซึ่งภายหลังจะส่งผลให้เกิดการรวมตัวของจำนวนเรือนร่างที่มากขึ้นเมื่อส่วนต่างๆ ซึ่งมีอำนาจสถาปนาเห็นพ้องต้องกันและเข้าร่วมในความสัมพันธ์นั้น” แม้ในยามที่ความหลายหลากดังกล่าวนั้นปรากฏออกมาในส่วนที่เล็กน้อยที่สุดของน้ำเสียงหรือใบหน้า มันก็ยังสื่อถึงโครงสร้างทางสังคมที่ใหญ่ไปกว่านั้น เช่นเพศ เชื้อชาติ ความผูกติดกับพื้นที่ และอื่นๆ การรักใครสักคนนั้นมีลักษณะเชิงกลไก กล่าวคือความหลากหลายของคุณและความหลากหลายของฉันนั้นสามารถรวมตัวกันเพื่อสร้างองค์ประกอบที่บางครั้งก็อยู่เหนือหรือต่ำกว่าระดับของความเป็นปัจเจก ความเหมือนไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดการตกลงปลงใจ แต่ก็ไม่ใช่ต้านตรงข้ามของความดึงดูดไปเสียทีเดียว เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้หรอกว่าความหลากหลายแบบใดที่จะทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ยืนยาวและสวยงามขึ้นมาได้ กระบวนการของความรักคือการสำรวจและทดลองความเป็นไปได้ในการประกอบสร้างจากความหลากหลายระหว่างเรา
กระบวนการของความรักที่ Deleuze และ Guattari ค้นพบในงานของ Proust นั้นสะท้อนให้เห็นถึงการประกอบสร้างเรือนร่างที่ถูกอธิบายโดย Spinoza โดย Spinoza อธิบายว่าทุกๆ ร่างกายนั้นถูกประกอบขึ้นมาจากส่วนเล็กๆ จำนวนมากที่เห็นพ้องต้องกัน ความเห็นพ้องต้องกัน (agreement) สำหรับ Spinoza นั้นไม่ได้หมายถึงความเหมือน (sameness or similarity) แต่เป็นศักยภาพที่ความหลากหลายทั้งสองจะมาเกี่ยวดองกันในความสัมพันธ์และสร้างร่างกายใหม่ขึ้นมา การเผชิญหน้าระหว่างสองเรือนร่างนั้นนำไปสู่การสร้างเรือนร่างที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ตราบเท่าที่ทั้งสองเรือนร่างนั้นตกลงปลงใจว่าจะเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าก็สามารถทำให้เกิดกระบวนการของการสลายตัวได้เช่นกัน ดังที่ Spinoza อธิบายไว้ว่าพิษซึ่งแล่นเข้าสู่กระแสเลือดจะเข้าไปสลายความสัมพันธ์ที่ถูกสถาปนาขึ้นก่อนหน้านั้น เลือดจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เลือดอีกต่อไป เลือดจะฆ่าล้างเรือนร่าง การประกอบกันเข้าของเรือนร่างแบบ Spinoza และความรักของ Proust เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเผชิญหน้าครั้งใหม่ก่อให้เกิดการประกอบตัวกันที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่ก็กลายเป็นกระบวนการสลายตัว
ความรักของ Proust เฉกเช่นเดียวกับปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพของเรือนร่างในความคิดของ Spinoza กำเนิดขึ้นในฐานะเหตุการณ์ อยู่ภายนอกการเคลื่อนที่ของกาลเวลา เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้แต่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการเผชิญหน้า เมื่อความหลากหลายเข้ามามีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นและประกอบตัวขึ้นมาใหม่ การเผชิญหน้าดังกล่าวมิได้ปฏิเสธอำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ กลับกันแล้ว มันบังคับให้พวกเขาต้องทำงานในกาลเวลา การเข้าใจความรักในแง่ที่ว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวของความหลากหลายและกระบวนการประกอบตัวจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะนอกจากเป็นการทำลายความคิดเรื่องปัจเจกที่หลอมรวมเป็นหนึ่งในความรักแล้ว มันยังแสดงให้เห็นว่าความรักเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง เป็นทั้งการแตกหักและการประกอบสร้าง
ตรรกะดังกล่าวชี้ชวนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจบางประการเกี่ยวกับการสถาปนาทางการเมือง ซึ่งเคยถูกเข้าใจกันมาแต่เดิมว่า ไม่มีพวกเรา “ประชาชน” หรือแม้แต่อัตลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้นที่จะสามารถเป็นองค์ประธานแห่งการสถาปนา และอีกทางหนึ่งมันก็ไม่ใช่การมุ่งไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่มันก่อกำเนิดขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมากำหนดความเปลี่ยนแปลงในอนาคตของมันแต่อย่างใด ในทางกลับกัน การสถาปนาสามารถถูกสร้างขึ้นได้เฉพาะแค่ในเวลาหนึ่งๆ ผ่านกระบวนการที่เชื่อมต่อความหลากหลายทางสังคมซึ่งแตกต่างกัน ทำให้พวกมันต้องเข้ามาเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน และสร้างความสัมพันธ์อันหลากหลายแบบใหม่ เป็นความสัมพันธ์ที่อ่อนไหวต่อการสลายตัวและแยกออกเป็นส่วนเล็กๆ ของความหลากหลายก่อนที่จะเข้าร่วมการเผชิญหน้าครั้งใหม่ มันคงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์หากคิดถึงกระบวนการสถาปนาทางการเมืองและสังคมเหล่านี้ว่าเปรียบเสมือนการประกอบตัวขึ้นของตัวโน๊ตและเสียงดนตรีตามนัยของนักดนตรี ซึ่งนำพาวัตถุและแบบแผนบางประการที่แตกต่างเข้ามาประกอบไว้ด้วยกันในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ อันเป็นกระบวนการทำงานที่มีพลวัต
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเราจะสามารถเข้าไปในกระบวนการสถาปนาและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นโครงการที่ถูกชี้นำโดยความปรารถนาของพวกเราได้อย่างไร ดูเหมือนว่าพวกเราคือพวกเฉยชา เป็นผู้ถูกกระทำโดยประสบการณ์ของตนเองที่เกี่ยวกับความสุขและทุกข์ซึ่งความรักสร้างขึ้น รวมทั้งกระบวนการประกอบตัวและการสลายตัวก็ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้ความรักสามารถทำงานในฐานะกรอบคิดทางการเมือง พวกเราต้องสามารถระบุหรือชี้ถึงกระบวนการของการสถาปนาผ่านปฏิบัติการทางการเมืองให้ได้
ตัวอย่างวรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่งที่ที่มีประโยชน์ต่อการขบคิดถึงคำถามดังกล่าวก็คืองานของ Jean Genet เช่นเดียวกับ Proust ที่ Genet ได้จัดวางเหตุการณ์ของความรักในการเผชิญหน้า แต่เขานำพากระบวนการดังกล่าวก้าวไปสู่กระบวนการสถาปนา โดยฉพาะอย่างยิ่งในนิยายเกี่ยวกับคุกของ Genet ความรักเกิดขึ้นในฐานะเหตุการณ์ที่ทุบทำลายกาลเวลาและป่นทำลายกำแพงคุก แต่ละเหตุการณ์ก็นำมาซึ่งการเผชิญหน้าซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าและการพัฒนาซึ่งเกิดขึ้นในกาลเวลา แม้ว่าเหตุการณ์จะถูกจัดวางไว้นอกกาลเวลา แต่การเผชิญหน้ากลับอยู่ในกาลเวลา แต่พวกเราไม่ควรอนุมานแค่ว่าการเผชิญหน้าในแบบที่ Genet เข้าใจเป็นแค่เพียงการแสดงออกของเหตุการณ์หรือเป็นผลลัพธ์ของมัน กลับกันแล้ว การเผชิญหน้านำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่ทำให้มันเกิดการพัฒนาและขยายตัวออกไป ยิ่งไปกว่านั้น Genet กล่าวบ่อยครั้งว่าเขาประสงค์ที่จะควบคุมกระบวนการดังกล่าวผ่านการเขียนหนังสือ เพื่อตระเตรียมพื้นที่สำหรับเหตุการณ์และจัดการให้เกิดการเผชิญหน้าดังที่เขาต้องการ เขาสร้างการเผชิญหน้าแห่งความรักขึ้นในทุกๆ ที่ที่เขาสามารถทำได้ ไม่เว้นแม้แต่ในคุก และสร้างชีวิตของเขาร่วมกับพวกมัน
อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่อยู่กับการเผชิญหน้าของความรักอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่เพียงพอ สำหรับ Genet การเผชิญหน้าจำเป็นต้องถูกเชื่อมโยงเข้าหากันในกระบวนการสถาปนาที่เขาเรียกมันว่า พิธีกรรม (Ceremonial) พิธีกรรมสำหรับ Genet คือกลไกสำหรับการยืดขยายและทำซ้ำกระบวนการเผชิญหน้า ความชั่วคราวของพิธีกรรมคือกุญแจสำคัญ พิธีกรรมเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ผ่านการเผชิญหน้าและดำเนินการให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบในช่วงเวลานั้นๆ มันจัดวางจังหวะต่างๆ ลงบนห้วงของเวลา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเขาพูดถึงช่วงเวลาในคุก Genet คงจะลดจังหวะของการเผชิญหน้าของความรักให้กลายเป็นสิ่งที่เชื่องช้ายาวนานไม่สิ้นสุดและเกินความจำเป็น แต่ในห้วงเวลาอื่น เขาก็อาจจะเร่งความเร็วของมันจนเวียนศีรษะ พิธีกรรมยังคงเป็นกรอบคิดและการปฏิบัติที่สำคัญสำหรับ Genet ในนิยายและบทละครของเขา มันเป็นสิ่งวิเศษในความหมายที่ว่ามันสร้างห้วงเวลาของการสถาปนาให้เกิดขึ้น
แนวคิดเรื่องความรักแบบพิธีกรรมของ Genet ชี้ให้เห็นถึงความคิดเกี่ยวกับสถาบันที่น่าสนใจ ความรักคือพิธีกรรมแบบหนึ่งซึ่งพวกเราหวนคืนกลับสู่ผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่องไปพร้อมๆ กับคนที่เราเห็นพ้องต้องกันในความหมายแบบ Spinoza นั่นคือผู้คนที่มาพร้อมความหลากหลาย ที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ในเชิงการผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ แต่การหวนคืนไม่ใช่แค่การทำซ้ำ ลองคิดถึงการที่พวกเรามีเซ็กส์กับคนรัก ฉันสัมผัสตรงนั้นของคุณ แล้วคุณก็จับตรงนี้ของฉัน หลังจากพวกเราทำสิ่งนี้และทำไปเรื่อยๆ จนพวกเราเสร็จ มันก็คือพิธีกรรม (rituals) ซึ่งเป็นชุดของความเคยชิน แต่หากมันเป็นเพียงการทำซ้ำล่ะก็ มันก็คงเป็นแค่กิจกรรมที่ปราศจากเวทมนต์ การหวนคืนและการเผชิญหน้าแต่ละครั้งในพิธีกรรมจะนำไปสู่อำนาจและความลึกลับของเหตุการณ์ นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันมีชีวิต ดังนั้นการเข้าใจความรักในฐานะพิธีกรรมจึงหมายถึงสถาบันในนัยที่ว่ามันอนุญาตให้คุณสามารถหวนกลับไปหา ยืดเวลา และเชื่อมต่อซึ่งกันและกันในการเผชิญหน้าที่ต่อเนื่องตามที่คุณปรารถนา
คุณอาจจะปฏิเสธการทำให้ความรักเป็นสถาบันเพราะว่ามันจะมอบความตายให้แก่ความรัก แต่ในความเป็นจริง ความรักจะมีชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมันเป็นสถาบัน เป็นความต่อเนื่องของการหวนคืนแบบพิธีกรรม
กรอบคิดทางการเมืองว่าด้วยความรักจำเป็นต้องทำงานผ่านรูปแบบคู่ขนานของสถาบันที่อำนวยและจัดการการหวนคืนของการเผชิญหน้าทางสังคมที่เปี่ยมด้วยความหรรษาและก่อให้เกิดประโยชน์ แน่นอนว่ารอยแตกและความวุ่นวายของเหตุการณ์ในการปฏิวัติก็เป็นโฉมหน้าหนึ่งของความรักอย่างไม่ต้องสงสัย โฉมหน้าที่บางครั้งก็เปลี่ยนแปลงพวกเราอย่างอัศจรรย์และแสดงให้พวกเราเห็นถึงความหวังต่อความเป็นมนุษย์แบบใหม่ แต่เหตุการณ์ปฏิวัติก็เฉกเช่นเดียวกับความรัก มันคือสิ่งที่ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในตัวของมันเอง แต่นั่นไม่ได้นำไปสู่การที่พวกเราต้องทำให้กระบวนการปฏิวัติอยู่ภายในโครงสร้างที่แน่นอนของอำนาจสถาปนา แม้จะด้วยความมุ่งมาดปรารถนาจะให้เกิด “ความสุขแก่สาธารณะ” เฉกเช่นที่ Condorcet และสหายปฏิวัติของเขาต้องการก็ตาม กลับกันแล้ว พลังทางการเมืองของความรักจำเป็นต้องสร้างสถาบันอันหลากหลายในรูปแบบของพิธีกรรมของ Genet ในทางหนึ่ง สถาบันทางการเมืองและสังคมเหล่านั้นจะทำให้เกิดสถานที่ที่ซึ่งไม่เฉพาะแต่คุณเท่านั้น หากแต่สำหรับใครก็ตามที่อยากหวนคืนเพื่อขยาย เพิ่มความเข้มข้น และเชื่อมต่อกับการเผชิญหน้า และในอีกด้านหนึ่ง พวกมันก็จะถูกสถาปนาขึ้นโดยกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงซึ่งแสดงออกหรือแปรเปลี่ยนพลังของเหตุการณ์ในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ ออกมา
ทั้งการประกอบตัวกันขึ้นและพิธีกรรมต่างก็เป็นกลยุทธ์สองประการสำหรับพวกเราในการค้นหาความรัก รูปแบบทางการเมืองของความรักในห้วงเวลาหนึ่งๆ และทำให้เราใช้ชีวิตร่วมกับมันได้