ต้นฉบับ : สหายS!nk

“ ติดอาวุธความคิดพิชิตศึก

ปลุกสำนึกปลดปล่อยและปลุกใจ

ปฏิวัติโค่นล้มสังคมแบบเก่า

ปฏิวัติเพื่อเราประชาชาติไทย

มาร่วมกันดันกงล้อประวัติศาสตร์

สู่เอกราชจริงแท้และสดใส

จับอาวุธถั่งโถมโหมแรงไฟ

เพื่อก้าวไกลแห่งสังคมอุดมการณ์ “

บทเพลงนี้คงเป็นที่คุ้นหูคุ้นตาสหายหลายๆคน สำหรับผมแล้ว ถ้าหากว่ามีการจัดอันดับบทเพลงเพื่อชีวิตไทยที่มีเนื้อหาออกซ้ายอย่างชัดเจนที่สุด 5 อันดับ ผมว่าเพลงนี้จะต้องปรากฏในลิสต์อย่างแน่นอน นอกจากนี้ที่มาของเพลงก็ยังคงความขลังเนื่องจากแต่งขึ้นใน ซอกเขาอันลึกลับในเขตการตั้งค่ายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯเกิดขึ้นได้ไม่นาน โดยมีแรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เกี่ยวกับการปฏิวัติยูโกสลาเวีย

จากนั้นวงคาราวานได้ใช้ซอกภูในเขตจรยุทธ์ภูซางเป็นห้องบันทึกเสียง เพื่ออัดเพลงถั่งโถมโหมแรงไฟ โดยร้องขอเครื่องมือบันทึกเสียงจากจัดตั้งของพรรค การบันทึกเสียงเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากความยากในการเล่นทำนองเพลงถั่งโถมโหมแรงไฟที่ช้าในตอนแรก และจะค่อยๆ เร็วขึ้นในท่อนท้ายๆ นักดนตรีและนักร้องทุกคนจึงต้องเล่นเพลงพร้อมกัน นอกจากนี้การอัดเสียงยังต้องการความเงียบที่สุดเพื่อไม่ให้มีเสียงรบกวนในเพลงด้วย มิฉะนั้นก็ต้องเริ่มอัดเสียงใหม่ทั้งหมด

ระหว่างการอัดเสียง ได้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ซึ่งเป็นเสียงปืนของสหายนักรบที่ออกไปล่าสัตว์หาอาหาร เสียงปืนที่ดังขึ้นในเวลานั้นดังตรงช่วงจบเนื้อร้องที่ว่า “มือจะกำปืนกล้าประกาศชัย” พอดี ทุกคนที่อัดเสียงในเวลานั้นเห็นตรงกันว่าเสียงปืนเข้ากันได้พอดีกับจังหวะของเพลง จึงเล่นเพลงต่อจนจบด้วยอารมณ์ฮึกเหิมและไม่มีการอัดเสียงใหม่อีก

เพลงนี้เมื่อเผยแพร่ในหมู่พลพรรคของ พคท. โดยทางสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท.) ก็ได้รับความนิยมมาก ภายหลังเมื่อวงคาราวานออกจากป่า เพลงนี้ก็ยังเป็นเพลงที่ถูกขอให้เล่นมากที่สุดเพลงหนึ่งของวงคาราวานในปัจจุบัน (1)

นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหนึ่งเพลงฝ่ายซ้ายในตำนานที่จะไม่พูดถึงไม่ได้อย่าง..

เพลงแสงดาวแห่งศรัทธา เป็นเพลงที่ประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2503-2505 พลงแสงดาวแห่งศรัทธา เป็นเพลงที่ประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2503-2505 ขณะถูกขังอยู่ที่ คุกลาดยาว โดยใช้นามปากกาว่า “สุธรรม บุญรุ่ง” ต่อมาเพลงนี้ถูกนำมาขับร้องโดยวง คาราวาน ในช่วงหลัง เหตุการณ์ 14 ตุลา และเป็นที่รู้จักกันทั่วไป เป็นเพลงที่ใช้ปลุกพลัง ความหวัง และศรัทธา ได้เป็นอย่างดี

จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักคิดที่มีอิทธิพลอย่างสูง มากที่สุดคนหนึ่งสำหรับคนหนุ่มสาวในยุคแสวงหา หรือแม้กระทั่งนักกิจกรรมเพื่อสังคมในปัจจุบันนี้ เพราะความคิดและผลงานของจิตร ทรงพลังและเป็นสัจธรรมที่มิอาจปฏิเสธได้

ยุคมืดของสังคมไทย 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519 ยุคเผด็จการทรราชย์ครองเมือง นักศึกษาถูกสังหาร ถูกจับกุมคุมขัง เหตุเพราะเรียกร้องหา “เสรีภาพ” มีเรื่องเล่าว่า : ในคุกที่กลุ่มนักศึกษาถูกจองจับจำนวนมาก ท่ามกลางความสิ้นหวัง หวาดกลัว เจ็บแค้นและปวดร้าว พลันก็มีคนคนหนึ่งเปล่งเสียงนำขึ้น ทำลายความเงียบงัน ร้องเพลงเพลงหนึ่งขึ้น จาก 1 เสียงเพิ่มทีละเสียงๆ จนดังกังวาน ก้องไปทั่ว ดังเข้าไปในจิตวิญญาณของผู้เรียกร้องเสรีภาพและความเป็นธรรม เพลงๆ นั้นยังคงเป็นอมตะตราบทุกวันนี้ (2)

ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ เอง เช่นเดียวกับนักปฏิวัติในตำนานท่านอื่นๆ ทั่วโลก จะไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่ว่าเป็น นักทฤษฎี หรือ นักปฏิบัติ, ศิลปิน หรือ นักวิชาการ, นักรบ หรือ นักสันติวิธี แต่หากพร้อมจะปรับเปลี่ยนตัวเองไปตาม เงื่อนไขทางวัตถุนิยม/ประวัติศาสตร์ ว่าในสถานการณ์นั้น ๆ ตัวเองจะสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้การปฏิวัติก้าวต่อไปข้างหน้า 

จิตร ภูมิศักดิ์ เองก็เคยเขียนข้อเสนอทางทฤษฎีเกี่ยวกับศิลปะในการปฏิวัติเอาไว้ชื่อว่า “ศิลปะเพื่อชีวิต ศิลปะเพื่อประชาชน” ซึ่งนับว่าเป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้าอย่างมาก จิตร ได้เสนอว่าศิลปะสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท นั่นคือ 

1.ศิลปะเพื่อศิลปะ (Art for art sake)

ก็คือศิลปะที่ทำขึ้นเพื่อความสุนทรียภาพภายในตัวศิลปะเอง โดยผู้เขียนไม่ได้มีเจตจำนงว่าจะนำไปใช้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองใด (แต่ไม่ได้หมายความว่าจะถูกคนอื่นนำไปตีความหรือนำไปใช้ไม่ได้) ศิลปะประเภทนี้จะเป็นศิลปะที่พวกเราเห็นได้เยอะที่สุด

2.ศิลปะเพื่อชีวิต/ศิลปะเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม(Art for social change)

ศิลปะประเภทนี้ปรากฏตัวขึ้นในฐานะของ “เครื่องมือ” ที่จะนำไปใช้ในปฏิบัติการทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการ “สร้างความตระหนักรู้” ชี้ให้เห็นปัญหา ตัวอย่าง เช่น “ด.ช.รามี่” (ปู พงสิทธิ์ คัมภีร์) “นางงามตู้กระจก” (คาราบาว), การปลอบประโลมจิตใจ เช่น “แสงดาวแห่งศรัทธา”, “ทะเลชีวิต” (จิตร ภูมิศักดิ์), “เดือนเพ็ญ” (นายผี),  “บทเพลงของสามัญชน” (ไฟเย็น), การปลุกใจ เช่น “ถั่งโถมโหมแรงไฟ”, ”คนตีเหล็ก”(คาราวาน), เราคือเพื่อนกัน (สามัญชน) 

ซึ่งในหลายกรณีการจะแยกแยะระหว่างศิลปะ 2 ประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะศิลปินที่แต่งเพลงเล่าเรื่องชีวิตประจำวันของตัวเอง หรือ สิ่งที่เจอมา แต่สิ่งที่เจอมาดังกล่าวมันเป็นปัญหาสังคม จากศิลปะเพื่อศิลปะ ก็อาจแปรเปลี่ยนเป็นศิลปะเพื่อชีวิตก็เป็นได้ 

แต่ถ้าหากเราต้องการจะผลิตผลงานศิลปะของตัวเองให้อยู่ในขอบเขตประเภทของศิลปะเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมตามรอย ศิลปิน-นักวิชาการ-นักปฏิวัติอย่าง “จิตร ภูมิศักดิ์” แล้วล่ะก็เราควรจะคิดบนฐานใดกันล่ะ ?

ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดได้ยากเหมือนกันเพราะหลังจาก “ยุคฟ้าสีทอง” สิ้นสุดลง และ กระแสของความพยายาม “ทำลายความเป็นการเมือง” (De-politicize) อันเป็นอิทธิพลจากลัทธิเสรีนิยมใหม่ได้แพร่ขยาย เมื่อคนเราพูดถึงศิลปะก็ย่อมจะต้องเข้าสู่กรอบของ “อิสรภาพส่วนตัวในนามของตัวศิลปิน” กล่าว คือ การเสนอว่าศิลปะควรมีทิศทางแบบใด เป็นการไป “จำกัดเสรีภาพ” และพยายามเอาความเป็นการเมืองเข้าไปใส่ในศิลปะที่ควรจะบริสุทธิ์ (ในที่นี้อาจจะหมายถึงบริสุทธิ์จากอุดมการณ์อื่น ๆ นอกจากเสรีนิยม) และ เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ว่าจะในวงการศิลปะ, วิชาการ, วัฒนธรรม ต่างๆ เราชาวไทยได้รับ input อย่างสูงจากสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเภทแม่ของการส่งออกอุดมการณ์แบบทุนนิยมตลาดเสรี/เสรีนิยมใหม่ 

แต่ในประเด็นว่าด้วยการ “จำกัดเสรีภาพศิลปิน” ผมว่าก็เป็นความน่าเศร้าอยู่เหมือนกันถ้าหากมีศิลปินที่มองว่าการที่มีคนสามัญชนเสนอว่า “ศิลปะควรจะมีทิศทางอย่างไร” เป็นเรื่องของการ “จำกัดเสรีภาพ” ในขณะที่การขูดรีดศิลปินในค่าย,การใช้จับศิลปินเซ็นสัญญาทาส, กฏหมายลิขสิทธิ์, การผูกขาดของอุตสาหกรรมดนตรี, การตัดเงินค่าจ้างของนักดนตรีกลางคืน กลับถูกมองว่ามีความน่าหวาดหวั่นกังวลน้อยกว่า 

แต่ในบทความนี้ผมคิดว่าผมสามารถที่จะยกเรื่องนี้ขึ้นมาเสนอได้ เนื่องจากโดยปกติแล้วท่านผู้อ่านก็จะเป็นสหายฝ่ายซ้ายด้วยกัน ซึ่งก็คงต้องฝากให้เป็นหน้าที่ของท่านผู้อ่าน (และผมด้วย) ที่ต้องทำการตกผลึกเรื่องนี้แล้วเอาไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับสหายของเราที่พึ่งเริ่มมาสนใจแนวการต่อสู้ฝ่ายซ้ายอีกทอดนึง โดยเฉพาะสหายของเราที่มีจิตใจฝักใฝ่ในสุนทรียศาสตร์ และ ศิลปะ 

ผมเสนอว่ากรอบการคิดในการสร้างสรรค์ศิลปะเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคม เริ่มต้นขึ้นจากทำความเข้าใจสถานการณ์ทางการเมืองในบริบทปัจจุบันที่พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ ตัวอย่าง เช่น ถ้าหากเป็นบริบทของสัก 7-8 ปีที่แล้ว เป็นสถานการณ์ที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการผลิตผลงานที่ “สร้างความตระหนักรู้” ตัวอย่าง เช่น การสร้างความตระหนักรู้ถึงแนวคิดว่า การรัฐประหารคืออะไร ? มันไร้ความชอบธรรมอย่างไร ? มันมีที่มาจากอะไร ? ใครมีส่วนร่วมในการทำให้มันเกิดขึ้น ? และมันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันอย่างไร ?

เนื่องจากในช่วงนั้นการรัฐประหารพึ่งเกิดขึ้น และ มีชาวไทยอีกจำนวนไม่น้อยเลย ที่แม้จะได้เห็นรัฐประหารมาหายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบของคำถามที่ผมได้ยกตัวอย่างเอาไว้ด้านบน หรือ แม้กระทั่งผู้คนที่ออกมาเข้าร่วมการประท้วงขับไล่รัฐบาลประยุทธ์ที่ออกมาประณามประยุทธ์ว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็น “ความระยำในรูปแบบปัจเจก” ก็อาจไม่ได้คำนึงถึงว่าประยุทธ์นั้นเป็นแค่หมากตัวนึงของกลุ่มอำนาจ/ระบบ ที่ใหญ่ไปกว่าตัวของเขา และ ถ้าหากมวลชนยังขาดความเข้าใจในเรื่องนี้ ก็อาจมีพวก “นักฉวยโอกาส” (opportunist) ลอบเข้ามาตอนที่การประท้วงกระแสเริ่มลดลง แล้วตีกินว่า 

“จริงๆแล้วพวกเราเห็นด้วยกับself censor และ ระบบทุนนิยมนะ

แต่แค่เราไม่ชอบประยุทธ์แค่นั้นเองแค่เปลี่ยนรัฐบาลซะก็เพียงพอแล้ว” 

หรืออาจเลยเถิดไปถึงขั้นว่า การที่ม๊อบออกมาพูดเรื่องself censorเป็นการ “ชิงสุกก่อนห่าม” หรือ “หัวรุนแรงเกินไปจนคนไม่ซื้อ” ซึ่งมันก็ชัดเจนสำหรับพวกเราแล้ว ว่าคนที่เสนอแบบนี้ไม่ใช่ว่า “ไม่รู้” ว่าปัญหาที่แท้จริงของการเมืองไทย คือ อะไร แต่ด้วยความที่พวกมันเป็นนักฉวยโอกาส มันก็พร้อมจะเข้ามาโจมตีเมื่อขบวนการอ่อนแอ ป่วยการที่จะไปนั่งผิดหวังว่า “คนที่พูดแบบนี้เป็นฝ่ายประชาธิปไตย หรือ ศํกดินากันแน่” เพราะ นักฉวยโอกาส คือ นักฉวยโอกาส ไม่ได้สังกัดอยู่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งถาวรอยู่แล้ว

ส่วนถ้าหากเป็นบริบทของช่วงที่กระแสสูงของม๊อบอย่างช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าศิลปะดนตรีที่เราควรผลิตก็จะเป็นแนวปลุกใจเป็นหลัก โดยสามารถจะทำเนื้อหาแบบสร้างความตระหนักรู้ไปด้วยได้ แต่รายละเอียดของเนื้อหาก็ควรจะยกระดับขึ้นจากตอนช่วง 7-8 ปีที่แล้ว เนื่องจากมวลชนเองก็มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวแล้วในระดับนึง ในส่วนของเนื้อหาแนวว่าการรัฐประหารไม่ชอบธรรมยังไง ประเทศยังมีคนยากจน การบริหารห่วยแตก ต่อให้ไม่ใช่ศิลปินฝ่ายซ้ายก็มีความรู้และความรู้สึกที่จะสร้างสรรค์ผลงานเหล่านี้ออกมาได้ 

“เพลงแนวปลอบประโลมจิตใจ” ในความเห็นผมเป็นศิลปะที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันที่สุดแล้ว เนื่องจากกระแสของม๊อบก็ลดลง มีสหายของพวกเรามากมายที่บอบช้ำทั้งร่างกาย และ จิตใจ ถ้าหากว่าคุณผู้อ่านเป็นสหายที่กำลังคิดจะสร้างสรรค์ศิลปะดนตรีที่เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ผมว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากถ้าหากได้ร่วมมือกันทำมันขึ้น หรือ ถ้าหากจะเป็นแนวของการสร้างความตระหนักรู้ถ้าหากเป็นประเด็นของการเผยให้เห็นถึงความเกี่ยวโยงของself censorกับคณะรัฐประหารเอง ก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ 

ทั้งนี้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของผมก็ คือ การที่เรานัดเจอ นักพูดคุยแบบไม่เป็นทางการกับสหายของเราในภาคส่วนอื่่นที่เราไม่ถนัด เช่น นักดนตรีก็ลองแลกเปลี่ยนกับนักวิชาการ, คนทำงานภาคทฤษฎีกับคนทำงานภาคสนาม เพื่อจะได้มีมุมมองความเข้าใจทางการเมืองที่สอดคล้องกัน เห็นมุมมองใหม่ๆมากขึ้น และแน่นอนที่สุด คือ การไปเข้าร่วมการประท้วง หรือ กิจกรรมทางการเมืองในชุมชนของตนเท่าที่จะสามารถไปได้ เพื่อไปเติมไฟแห่งการปฏิวัติให้ลุกโชนในใจศิลปินของท่าน

สุดท้ายนี้ผมอยากเสนอว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นต้องใช้ระยะเวลายาวนาน และ ความอดทนอย่างสูง ซึ่งถ้าหาก สมอง-หัวใจ-ร่างกาย นั้นดำรงอยู่อย่างแยกขาดจากกัน ก็อาจทำให้ไม่สามารถยืนระยะในการต่อสู้ต่อไปได้จนถึงวันที่เรามีชัยชนะ ดังนั้นถ้าหาก

สมอง > ความเข้าใจทางสถานการณ์การเมือง, ทฤษฎี, ยุทธวิธี-ยุทธศาสตร์

หัวใจ > ความรักความห่วงใยต่อชุมชนของตน ความแค้นที่มีต่อระบบและชนชั้นปกครอง

ร่างกาย > การลงมือสร้างสรรค์ศิลปะเพื่อการเปลี่ยนแปลง หรือ ปฏิบัติการทางการเมืองอื่นๆ 

สอดคล้องกันเป็นหนึ่งแล้ว ภาพบรรยากาศเข้มขลัง ของ “ท่านผู้ชม” ที่มาดูมาฟังบทประพันธ์ดนตรีของเรา ได้

”คิดตาม”

“รู้สึกตาม” 

และ “ร้องตาม” ก็ไม่ใช่สิ่งที่เพ้อฝันแต่ประการใด

อ้างอิง (1)https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%96%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%9F

(2)https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B2