เรื่อง & ภาพ สินละปะ
กลางเดือนตุลาคมอันมืดมิดที่หวนกลับมาอีกครั้ง นักศึกษาและศิลปินผู้ทำการผลิตงานสร้างสรรค์ได้ทำลายโซ่ตรวนของอำมาตย์ศักดินาหน้าประตูหอศิลป์มช.ลงเสียสิ้น ผู้ก่อการกว่าร้อยชีวิตบุกเข้ายึดอาคารที่อ้างว่าเป็นของมช. แต่น่าเสียดาย มันไม่เคยเป็นของประชาคมชาวมช.เลยสักเสี้ยววินาที มันเป็นเพียงสถานที่ว่างเปล่าที่เอาไว้ปล่อยเช่า มันดูดเอากำลังแรงงานของนักศึกษาที่ออกมาในรูปของงานศิลป์ซึ่งจำต้องจัดแสดงเพื่อผ่านเกณฑ์การประเมินก็เท่านั้น แต่บัดนี้มันกำลังเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ เปลี่ยนเป็นของส่วนรวม ของประชาคมชาวมช. ผ่านปฏิบัติการยึดเพื่อจัดแจงการแสดงงานอย่างเป็นประชาธิปไตย!
นานมากแล้ว ที่กลุ่มบุคคลส่วนน้อยผู้กุมอำนาจเถื่อนอยู่ในมือภายใต้หัวโขนของอำมาตย์รูปแบบใหม่ อำมาตย์เหล่านี้ถือตนว่าบงการภายใต้กฎแห่งการแข่งขันในตลาดที่มีประสิทธิภาพล้นเปี่ยม แต่ขณะเดียวกันกลับติดหน่วงพ่วงระบบเอกสารไม่ต่างจากสมัยระบบอำมาตย์ราชการล้าหลังอยู่เช่นเคย กล่าวคือ การบริหารจัดการพื้นที่ของหอศิลป์มช. และมหาวิทยาลัยโดยทั่วไปอยู่ในรูปแบบการผสมกันอย่างน่าอดสู ระหว่างระบบรัฐราชการเทอะทะ และปีศาจที่มองไม่เห็นอย่างตลาดเสรี กลายเป็นระบบตัวเงิน-ตัวทอง เอาข้อเสียของทั้งสองอย่างมายำเข้าไว้ด้วยกัน นักศึกษา อาจารย์ ผู้ชมงาน ต่างก็ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบพิธีการตามจารีตอันนอบน้อมสยบยอมราวกับว่าเราอยู่ในระบอบเก่าเสียอย่างนั้น อีกทั้งความโหดร้ายป่าเถื่อนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมของผีห่าซาตานที่มีชื่อว่าตลาดเสรีก็ขูดรีดเลือดเนื้อกำลังทรัพย์จากนักศึกษาและผู้ปกครองอย่างมูมมาม ไม่มีอะไรฟรี และไม่มีเสรีภาพ ณ พื้นที่ในกำมือของอำมาตย์ทาสนายทุน!
มหาวิทยาลัยคือปีศาจของแฟรงเกนสไตน์ตนหนึ่ง มันประกอบขึ้นมาจากส่วนเสี้ยวอันพิลึกพิลั่นของระบบต่าง ๆ เพื่อจัดสร้างโลกที่เต็มไปด้วยลำดับชั้นสูงต่ำ การทำงานของมันจึงเต็มไปด้วยความย้อนแย้งราวกับใบหน้าของเทพเจนัสที่มีสองด้านและหันออกจากกันเสมอ ประพฤติตนราวกับเป็นผู้อุ้มชูคบไฟแห่งปัญญา แต่หากไม่มีเงินตรา ลูกช้างเอ๋ย เจ้าจงออกไปจากที่แห่งนี้เสีย ประพฤติตนราวกับผู้เจริญด้วยปัญญา แต่หากไม่เดินตามข้า ลูกช้างเอ๋ย เจ้าก็จงออกไป ความลักลั่นย้อนแย้งเหล่านี้มิใช่ความงงงวย หน้าไหว้หลังหลอก ความหน้าหนาของเหล่าอำมาตย์ชนชั้นปกครอง หรือเป็นซากเดนตกค้างของระบอบใด ๆ ทั้งสิ้น หากแต่เป็นผลจากความพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะสถาปนาอำนาจขึ้นเพื่อข่มขี่มนุษย์ทุกคนให้สยบตามระบบ อำนาจทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมืองใด ๆ ต่างก็ถูกนำมาใช้เพื่อการนี้โดยไม่ต้องสนใจถึงความสอดคล้องกันทางตรรกะ เพราะตรรกะมิใช่เป้าหมายของมหาวิทยาลัย
เหตุเช่นว่านี้ นักศึกษาและประชาคมชาวมช. รู้แจ้งเห็นจริงกันมาโดยตลอด แต่ด้วยการณ์ที่พลังรวมหมู่ทางสังคมยังไม่ปะทุขึ้น รูปการของการกดขี่ข่มเหงคนด้วยกันเช่นนี้จึงดำเนินไปราวกับว่าไม่มีวันจบสิ้น นักศึกษาและผู้ปกครองชนชั้นกรรมาชีพหลายคนต้องทำงานพิเศษ กู้หนี้ยืมสินเพียงเพื่อจัดแสดงงานในหอศิลป์ที่(อ้างว่า)เป็นของมช.นี้มายาวนาน มันคือปฏิบัติการข่มเหงทางชนชั้นอย่างชัดเจน!
แต่บัดนี้พลังความเคียดแค้นที่สั่งสมกันมา เดือดพล่านปะทุขึ้นมาอีกครั้งภายใต้บรรยากาศทางการเมืองที่ชุลมุนกันอยู่ ณ ขณะนี้ ในขณะที่เยาวรุ่นกรรมาชีพเมืองกรุงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนานในรูปแบบใหม่ เยาวรุ่นและผู้สูงวัย 5,000 ปีก็เติมไฟลามทุ่งทางทิศเหนือขึ้นมาอีกครั้ง สหายแห่งล้านนาร่วมกันทำให้คบเพลิงแห่งคชสารแผ่ซ่านลงผืนดิน ช้างจะไม่ได้ชูไอติมรสกะทิอีกต่อไป แต่เป็นรสชาติเพลิงไฟประชาธิปไตยของประชาคมฯ
เมื่อปฏิบัติการเบื้องต้นสำเร็จผลเป็นการชัดเจน ตั้งแต่ก้าวแรกที่สหายกองหน้าแห่งประชาคมฯ ก้าวเข้าไปเหยียบถิ่นฐานที่อำนาจเถื่อนกอดกุมมันไว้นั้น ฝ่ายปฏิกิริยาก็ตัดสินใจ ตัดน้ำ ตัดไฟ อย่างฉับพลันทันด่วน แม้เป็นเวลานอกราชการก็ตาม เรื่องเหล่านี้สามัญชนคนอย่างเราๆ รู้เห็นเช่นชาติกันมานาน หากเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งอาณาประชาราษฎร์แล้วไซร้ พวกอำมาตย์ก็ชักช้าคอยท่า คอยปฏิบัติตามระเบียบในเวลาราชการอย่างมิขาดตกบกพร่อง หากแต่พอเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางชนชั้นของตัวเองนั้น กลับรวดเร็วเสียยิ่งกว่าจับปากกาเซ็นชื่อเสียอีก
ทั้งนี้ ที่ขบวนการประชาธิปไตยประชาคมฯ ยังคงอยู่รอดสืบสานต่อไปได้ ก็ด้วยแรงใจ แรงกาย แรงคิดที่ร่วมด้วยช่วยกันอย่างเป็นหมู่คณะของชาวประชาคมฯ ทั้งหมดทั้งปวง ที่เบ่งบานขยายออก เพิ่มแนวร่วมมากมาย น้ำไฟ ที่โดนตัดด้วยอำนาจเถื่อน ก็มิอาจขัดขวางน้ำไฟจากชาวประชาที่หลังไหลเข้ามาทั้งตามตัวอักษรและตามอารมณ์ความรู้สึกทางใจที่เข้าช่วย
ปรากฏการณ์เหล่านี้สร้างอะไรใหม่หรือ? ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นอาชญากรรมงั้นฤา? หรือจริงๆ แล้วมันคือการปฏิวัติของประชาคมฯ?
คำตอบของคำถามดังกล่าวมิอาจตอบได้ผ่านทางข้อเขียนหรือการถกเถียงทางความคิดที่หลุดลอยจากปฏิบัติการจริงที่กำลังเกิดขึ้น แต่จะตอบได้ผ่านปฏิบัติการที่ดำเนินเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ของสังคมและตัวตนรวมหมู่ของผู้คนที่ลงมือกระทำการอยู่ ณ พื้นที่ส่วนรวมที่กำลังเกิดขึ้น ปฏิบัติการประชาธิปไตยของประชาคมฯ กำลังตั้งท้าทายรูปแบบการจัดแสดงงานศิลปะภายใต้เงื้อมมือของคนส่วนน้อยที่ถือดีว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ประชาธิปไตยของประชาคมจะไปในทิศทางใดต่อก็คงต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจริงผ่านการเดินทัพทางไกลของปฏิบัติการ ณ พื้นที่ซึ่งประชาคมกำลังปลดปล่อยให้มันเบ่งบานด้วยอำนาจของปวงประชา สิ่งนั้นอาจมาในรูปของสมัชชาประชาธิปไตยเพื่อการจัดแสดงงานศิลปะของประชาคมมช. หรือด้วยชื่ออื่น รูปอื่นก็เป็นได้ สิ่งนี้(ยัง)ไม่เกิดขึ้น
แต่ที่เกิดขึ้นแล้ว คือการตั้งคำถามต่อการจัดแสดงศิลปะในรูปแบบเดิมๆ ที่ผู้จัดแสดงและผู้ชม เป็นเพียงผู้เช่า หรือลูกค้าเท่านั้น ทำอย่างไรผู้จัดแสดงและผู้ชม จะได้ร่วมตัดสินใจอย่างเป็นประชาธิปไตยกับการจัดแสดงศิลปะได้บ้าง? คำถามเชิงศิลปะเหล่านี้สามารถสร้างสภาวะของความเลยเถิดที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อเส้นแบ่งต่าง ๆ ที่ดำรงอยู่ เส้นแบ่งของความเหมาะสม เส้นแบ่งของความเป็นเจ้าของ เส้นแบ่งของอำนาจ ไม่ว่าคำถามนี้จะได้รับคำตอบในทางปฏิบัติหรือไม่ ไม่มีใครสามารถรู้อนาคตได้ แต่คำถามนี้จะไม่หายไป กระบวนการลากขีดเส้นครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตราบใดที่เรายังสู้ต่อ คำตอบก็ย่อมใกล้เข้ามาแน่นอน และเมื่อนั้นเอง สิ่งที่คงรูปอย่างหนักแน่นราวกับไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงก็ย่อมจะมลายหายไปในอากาศ
เดือนตุลาคมอันมืดมิดจะกลายเป็นเดือนที่ดวงตะวันได้เคลื่อนขึ้นมาประกาศศักดาแห่งพลังประชาธิปไตยของประชาชนหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ที่เรารู้กันดีก็มีแค่ว่า การเติมแรง เติมใจ เติมไฟให้คบเพลิงนี้สว่างไสวโชติช่วงจนกลายเป็นดวงอาทิตย์ก็เท่านั้นแหละ ที่จะทำให้ปฏิบัติการนี้เป็นหน่ออ่อนประชาธิปไตยประชาชนได้!
ขอคารวะแด่ประชาคมชาวมช.ทุกคน.
บทความและภาพประกอบนี้ใช้สัญญาอนุญาตครีเอฟทีฟคอมมอนส์ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน 4.0 นานาชาติ