ในขณะที่กรรมาชีพทั่วโลกถูกระบบทุนนิยมกดขี่ขูดรีด ทว่าก็มีบางคนที่ถูกขูดรีดมากกว่าคนอื่น กรรมาชีพบางคนมีชีวิตที่สุขสบายโดยมาจากการขูดรีดคนงานคนอื่น นี่นำไปสู่แนวคิด อภิสิทธิ์ชนแรงงาน (Labour Aristocracy) หรือ ชนชั้นแรงงานอภิสิทธิ์ชน (Working Class Aristocracy) ซึ่งสามารถนำไปใช้ดูได้ทั้งสถานทำงานระดับท้องที่และระดับโลก เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างชนชั้นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกว่าเก่า

ถ้าเราให้คำนิยามกรรมาชีพอย่างเคร่ง ๆ ว่าเป็น “คนงาน” หรือเจาะจงมากขึ้นว่าเป็น “ผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต” คนที่รวยและมีอำนาจมาก ๆ ก็อาจเข้าข่ายคำนิยามดังกล่าวได้เช่นกัน เช่น นักฟุตบอล ในขณะที่นักฟุตบอลรวยล้นฟ้า พวกเขาก็ไม่ได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ซึ่งในกรณีนี้คือสโมสรฟุตบอล นักฟุตบอลถูกขูดรีดแรงงานแบบเดียวกันกับคนงานโรงงาน แต่นักฟุตบอลได้รับค่าชดเชยด้วยค่าแรงที่สูงกว่ามาก

ขณะที่นักฟุตบอลเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนมาก ทว่าก็มีตัวอย่างอื่น ๆ ที่เข้าข่ายคำนิยามดังกล่าว เช่น แพทย์ในโรงพยาบาลเอกชนของกลุ่มชั้นนำหรือนายทหารระดับสูง แม้แต่ในสถานทำงานแบบปกติ ก็ยังมีผู้จัดการที่ไม่ได้เป็นเจ้าของสถานที่ทำงาน แต่รักษาผลประโยชน์ให้แก่เจ้าของสถานที่ภายในพื้นที่นั้น ๆ เช่น ผู้จัดการของเซเว่นอีเลเว่น (711) ที่อยู่ในแต่ละพื้นที่ ปัจเจกเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็น ผู้ทรยศชนชั้น (class traitors) หมายความว่า แม้ว่าพวกเขาจะเป็นกรรมาชีพ พวกเขากลับหันหลังให้กับชนชั้นตนเองเพื่อรักษาผลประโยชน์ให้แก่กระฎุมพี

สหภาพแรงงาน

คำว่าอภิสิทธิ์ชนแรงงานยังถูกนำไปใช้ในบริบทของสหภาพแรงงานเพื่อนิยามคำว่า “คนงานสหภาพแรงงานมืออาชีพ” นี่อาจหมายถึงหนึ่งในสองอย่างนี้:

  1. คนที่ทำงานเต็มเวลา (ได้รับเงินเดือน) ให้กับสหภาพแรงงาน มากกว่าที่จะทำงานในอุตสาหกรรมที่สหภาพเป็นตัวแทนโดยตรง ตัวอย่างเช่น HR (นักบริหารทรัพยากรบุคคล) ซึ่งทำงานเป็นตัวแทนให้กับสหภาพคนขับแท็กซี่ในนามของคนขับแท็กซี่ตัวจริง โดยทั่วไปแล้วกลุ่มเช่นนี้มักจะโดนวิจารณ์ว่า ไม่ได้เชื่อมโยงกับคนงานในพื้นที่จริง (real, on-the-ground) และพยายามปกป้องผลประโยชน์ในความสามารถทางวิชาชีพของตนแทนที่จะเป็นของคนงานส่วนมาก ลดทอนความเข้มข้นและสร้างข้อจำกัดของการเคลื่อนไหวโดยสร้างชนชั้นผู้เชี่ยวชาญขนาดเล็กขึ้นมาเพื่อเจรจาต่อรองระหว่างผู้บังคับบัญชากับคนงาน โดยพื้นฐานแล้วจะอยู่ในบทบาทผู้จัดการธุรกิจ (ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้) ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ผู้คนเคยใช้อาชีพนี้เป็นทางผ่านเพื่อเข้าไปสู่การเมืองแบบพรรคการเมืองและกลายมาเป็นชนชั้นปกครองในที่สุด สิ่งนี้เห็นได้จากพรรคแรงงานที่ผุดขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดทั่วยุโรปทุกวันนี้

 

  1. สหภาพแรงงานของแรงงานมืออาชีพ คนงานเหล่านี้ก็คือคนที่จบสูงมา มีภูมิหลังแบบชนชั้นกลาง ตัวอย่างเช่น สหภาพแรงงานของนักการตลาดที่ศึกษาจบระดับมหาวิทยาลัย (คนที่ทำงานในการตลาด) โดยทั่วไปกลุ่มนี้มันจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า พยายามที่จะเสริมสร้างและยกระดับวิถีชีวิตแบบชนชั้นกลาง/มืออาชีพ เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองตกไปอยู่ในกลุ่มรายได้ต่ำ แทนที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงปลดปล่อยให้แก่คนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง สหภาพแรงงานประเภทนี้มักจะพยายามลดทอนการเคลื่อนไหวของคนงานหมู่มาก เนื่องจากพวกเขามีเงินเดือน สภาพการทำงาน และสิทธิพิเศษทางสังคมที่ดีกว่าอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงตัวเองในการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยคนงานในวงกว้าง

 

อภิสิทธิ์ชนแรงงานระดับนานาชาติ

ในขณะที่การตระหนักถึงอภิสิทธิ์ชนแรงงานในระดับท้องถิ่นนั้นทำได้ค่อนข้างง่าย การขยายความตระหนักรู้ไปสู่ระดับโลกนั้นซับซ้อนยิ่งกว่า แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญหากจะทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจทุนนิยมในภาพใหญ่ เห็นได้ชัดว่า คนงานในซีกโลกเหนือได้รับประโยชน์อย่างมากจากการขูดรีดแรงงานในซีกโลกใต้ สินค้าพื้นฐาน เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค อันเป็นสิ่งจำเป็นต่อความเป็นอยู่ที่ดีของกรรมาชีพซีกโลกเหนือ ส่วนใหญ่ก็มาจากแรงงานที่ถูกกดขี่ขูดรีดในซีกโลกใต้ ในแง่นี้เราอาจกล่าวได้ว่า ผลประโยชน์ของชนชั้นแรงงานในซีกโลกเหนือทุกวันนี้เป็นปฏิปักษ์กับผลประโยชน์ของแรงงานในซีกโลกใต้ และกรรมาชีพซีกโลกเหนือกำลังพึ่งพาการขูดรีดแรงงานในซีกโลกใต้อยู่

การเปรียบเทียบที่น่าสนใจคือเมียนมาร์และลักเซมเบิร์ก ซึ่งมี GDP ใกล้เคียงกัน เมียนมาร์ซึ่งเป็นประเทศขนาดปานกลางถึงใหญ่ อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและกำลังแรงงานจำนวนมาก ถือว่าไม่ได้รับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการส่งออกที่สำคัญของพวกเขาเป็นวัตถุดิบ (ที่เป็นวัตถุจริง) ทั้งหมด ดังนั้นในระดับสากล เมียนมาร์อยู่ในระดับเดียวกับลักเซมเบิร์กในแง่ของ GDP แม้ว่าลักเซมเบิร์กจะมีประชากรเพียง 1% ของเมียนมาร์และ 0.3% ของที่ดินทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ในระดับบุคคล พลเมืองโดยเฉลี่ยในเมียนมาร์ถือครองเพียง 1% ของความมั่งคั่งของชาวลักเซมเบิร์กโดยเฉลี่ย (GDP ต่อหัว) หากเป็นเช่นนี้ การจะให้แรงงานรายจ้างจากสองประเทศนี้อยู่ในกลุ่มเดียวกันจึงเป็นเรื่องที่เหลวไหลอย่างชัดเจน การเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ได้หมายความว่า ชนชั้นแรงงานท้องถิ่นในลักเซมเบิร์กไม่ใช่ชนชั้นแรงงาน แต่ทำให้เห็นถึงความคลุมเครือของความเป็นจริงทางวัตถุในระดับโลกและความเหลื่อมล้ำในการผลิตแบบอวัตถุ หากจะกระจายความมั่งคั่งอย่างเท่าเทียมกันในแต่ละประเทศหรือในกรอบเศรษฐกิจระดับภูมิภาค แม้ว่าจะมีการปรับปรุงภายในประเทศบ้าง ก็ย่อมยังมีความแตกแยกทั่วโลกอย่างมหึมานี้

ในบริบทนี้ เราก็จะเห็นได้ว่า เมื่อมองจากจุดยืนโลก กรรมาชีพของลักเซมเบิร์กจัดอยู่ในหมวดหมู่ของอภิสิทธิ์ชนแรงงาน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องตลกร้ายที่ชนชั้นแรงงานชาวซีกโลกเหนือในปัจจุบันได้สร้างแนวหน้าระดับโลกให้กับชนชั้นนายทุน กล่าวคือ ด้วยอำนาจในการเลือกตั้งของพวกเขา ในระบอบประชาธิปไตย พวกเขาได้ทำการลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองที่ลงมือทำให้จักรวรรดิของพวกเขาแผ่ขยายไปทั่วโลก จัดการรัฐประหาร พลิกกลับการปฏิวัติ และการรุกรานของประเทศในซีกโลกใต้ใด ๆ ที่พยายามหลุดพ้นจากห่วงโซ่อุปทานที่ถูกขูดรีดโดยประเทศโลกที่หนึ่ง (ในแง่นี้ระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน จึงไม่ได้เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับชนชั้นแรงงานโดยรวมในโลกแต่อย่างใด แต่เป็นการเอื้อประโยชน์กับพลเมืองของรัฐ ๆ นั้นเท่านั้น เพราะการทำให้พลเมืองในประเทศ— ไม่ว่าจะชนชั้นนายทุนหรือแรงงาน— นั้นได้รับผลประโยชน์มากเท่าใด ก็ย่อมต้องขูดรีดเอาผลผลิตส่วนเกินจากประเทศหรือรัฐอื่นมากเท่านั้น เกมนี้จึงอาจกลายเป็นสัจธรรมในเศรษฐกิจการเมืองระดับโลกไปแล้ว)

นี่ไม่ได้เป็นการยกย่องผู้ที่อยู่ในซีกโลกใต้ว่าเป็นชนชั้นแรงงานที่บริสุทธิ์เพียงฝ่ายเดียวของโลก และไม่ได้หมายความว่าแรงงานชาวซีกโลกเหนือเป็นชนชั้นนายทุนน้อย ทุกวันนี้ชนชั้นแรงงานชาวซีกโลกเหนือยังคงเป็นชนชั้นแรงงานอย่างแท้จริง

ประเทศในซีกโลกใต้แน่นอนว่าก็มีเจ้าของกิจการเช่นกัน ที่สามารถยึดอำนาจทางการเมือง และกลไกการเอารัดเอาเปรียบและขูดรีดในระดับท้องถิ่นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมองกลับไป ก็เป็นที่ชัดเจนว่ากลไกเหล่านี้ทำงานให้ใครในท้ายที่สุด และใครนั่งอยู่บนโครงสร้างระดับโลก

สำหรับซีกโลกใต้ เราอาจเสนอว่า สิ่งสำคัญไม่ได้มีเพียงแค่การคำนึงถึงการยึดปัจจัยการผลิตในระดับท้องถิ่นหรือระดับชาติเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงระดับนานาชาติด้วย และสิ่งสำคัญก็รวมไปถึงการครุ่นคิดว่าจะทำลายการผูกขาดของซีกโลกเหนือในด้านเศรษฐกิจ ความรู้ เทคโนโลยี และปัจจัยการผลิตในทางเทคนิคได้อย่างไรบ้าง

ต่อสู้กับอภิสิทธิ์ชนแรงงาน

ในบริบททั้งหมดที่กล่าวมานี้ ไม่ได้หมายความว่า อภิสิทธิ์ชนแรงงานจะอยู่ด้านตรงข้ามกับกรรมาชีพหรือฝ่ายซ้ายเสมอไป ในหลายกรณี เหล่านี้ก็เป็นผลลัพธ์อันโชคร้ายของการที่คนงานพยายามที่จะจัดตั้งภายใต้ระบบทุนนิยม แท้จริงแล้วบ่อยครั้งอภิสิทธิ์ชนแรงงานไม่ได้ตระหนักว่า พวกเขาเป็นอภิสิทธิ์ชน อาจเป็นไปได้ว่า จากมุมมองของพวกเขาแล้ว พวกเขากำลังกระทำเพื่อผลประโยชน์ของคนงาน อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องควรค่าแก่การพินิจพิเคราะห์ด้วยความสามารถทั้งหมดที่เรามีว่า การกระทำของสหภาพแรงงานเป็นประโยชน์ต่อคนงานในวงกว้างหรือคนเพียงหยิบมือที่เป็นอภิสิทธิ์ชนแรงงาน