ต้นฉบับ : สหายS!nk

ข้อวิจารณ์ที่บอกว่า “พวกมาร์กซิสต์ไม่มีจริยธรรม” อาจฟังดูเป็นเรื่องแปลกหูสำหรับคนไทย เพราะดูเหมือนว่าคนที่จะมาเป็นมาร์กซิสต์นั้น คือ คนที่ให้ความสำคัญเรื่อง “ความเท่าเทียม-ความยุติธรรม-คุณค่าความเป็นคน” มากเป็นพิเศษ ถึงขนาดว่าต้องทุ่มเทมาศึกษาทฤษฎี ทำขบวนการจัดตั้ง ออกไปทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้สังคมในอุดมคตินั้นเกิดขึ้น ในขณะที่คนที่วางตัวว่า “เป็นกลาง” น่าจะเป็นพวกไม่มีจริยธรรมที่สุดด้วยซ้ำ เพราะพยายามทำตัวลอยเหนือปัญหาต่างๆ 

ข้อวิจารณ์นี้มีที่มาจากการที่เมื่อไรที่มีการ “ปฏิวัติประชาชน” เพื่อล้มล้างการปกครองของคนส่วนน้อย ไม่ว่าจะเป็นในประเทศรัสเซีย,จีน,เวียดนาม,คิวบา ฯลฯ ก็ล้วนแต่มีการนองเลือดทั้งนั้น ซึ่งทางฝั่งมาร์กซิสต์เองก็ไม่ได้ปฏิเสธการใช้ความรุนแรงในการได้มาซึ่งชัยชนะของประชาชน คาร์ล มาร์กซ์ เองก็เคยกล่าวไว้ว่า

 “We have no compassion and we ask no compassion from you. When our turn comes we shall not make excuses for the terror” 

(พวกเราจะไม่มีความเมตตา และ พวกเราจะไม่ร้องขอความเมตตาจากพวกคุณ (ชนชั้นปกครอง) เมื่อถึงทีของพวกเรา เราจะไม่หาข้ออ้างใดๆ มาอธิบายความน่ากลัวที่จะเกิดขึ้น)

จริงๆ แล้วไม่จำเป็นว่าต้องเป็นการปฏิวัติแบบมาร์กซิสต์เท่านั้น การปฏิวัติฝรั่งเศส หรือ การปฏิวัติอเมริกา (เพื่อปลดแอกจากอังกฤษ) หรือ การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ของประเทศอังกฤษที่บางคนเรียกว่าเป็น “การปฏิวัติไร้เลือด” ก็เป็นผลพวงจากการนองเลือดในสงครามกลางเมืองอังกฤษมา่ก่อน (1) เพราะเหตุใดจึงต้องมีการนองเลือด ? เป็นเพราะความแค้นของฝั่งประชาชนจากการถูกกดขี่มานาน หรือ เป็นเพราะความโรคจิตส่วนบุคคลของผู้นำการปฏิวัติงั้นหรือ ? จริงๆ คำตอบนั้นง่ายมาก เป็นเพราะไม่มีชนชั้นปกครองคนไหนที่จะยอมเสียผลประโยชน์มหาศาลที่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของตน ให้กลับสู่การครอบครองของคนอื่น (ในที่นี้ “คนอื่น” ก็คือประชาชนคนส่วนใหญ่) 

ดังนั้นชนชั้นปกครองจึงต้องทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะบนดิน หรือ ใต้ดิน ถูกกฏหมาย หรือ ผิดกฏหมาย ถูกศีลธรรม หรือ ผิดศีลธรรม ให้ตัวเองมีชัยชนะเหนือฝ่ายประชาชน ในขณะเดียวกันถ้าฝ่ายประชาชน ยังให้ความสำคัญกับ “ศีลธรรมแบบปัจเจก” ของตัวเองเหนือกว่าความอยู่รอดของฝ่ายตน ก็ย่อมทำให้สถานะที่เสียเปรียบในทางอำนาจของตัวเองที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ต้องซ้ำร้ายตกต่ำลงไปอีก 

ถ้าหากเราศึกษาในประวัติศาสตร์กระแสหลัก เราก็จะพบว่ามีการระบุตัวเลขของ “ผู้เสียชีวิตจากคอมมิวนิสต์” โดยนับรวมสาเหตุจาก ผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองในการปฏิวัติ,เสียชีวิตจากความขาดแคลน (Famine),เสียชีวิตในคุกนักโทษทางการเมือง ฯลฯ เอาไว้ว่ามากถึง 65 ล้านคน ซึ่งดูเป็นตัวเลขที่เยอะมาก ถือว่าเยอะกว่าผู้เสียชีวิตจากนาซีซะอีก แต่เราต้องไม่ลืมว่าตัวเลขพวกนี้ถูกอ้างอิงกันไปกันมาจากแหล่งข้อมูลของประเทศฝั่งโลกเสรี-ทุนนิยม ในช่วงสงครามเย็น ซึ่งมีความชัดเจนอยู่แล้วว่าถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยมีนัยนะทางการเมืองเพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ 

ในขณะที่ตัวเลขจากฝั่ง “ผู้เสียชีวิตจากระบบทุนนิยม” กลับถูกพูดถึงน้อยมาก โดยจากข้อมูลในหนังสือ The Black Book of Capitalism (2) ที่พูดถึงจำนวนผู้เสียชีวิตจากระบบทุนนิยม (แค่เฉพาะศตวรรษที่ 20) โดยรวมเอาเหตุการณ์สงครามโลก 2 ครั้ง,การล่าอาณานิคม,แคมเปญปราบปรามและกวาดล้างคอมมิวนิสต์,สงครามจากความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ,เหยื่อจากความอดอยากและขาดสารอาหาร รวมๆแล้วมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 100 ล้านคน และแน่นอนว่าตัวเลขก็จะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถ้าหากรวมเอาผู้เสียชีวิตจากการระบาดของโควิด ซึ่งถ้าอยู่ภายใต้การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นธรรมแล้ว ย่อมสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิตไปได้อย่างมากแน่นอน 

ซึ่งผมเองมองว่าสาระสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่การระบุตัวเลขเหล่านี้ไปอย่างเฉพาะเจาะจง หากแต่เป็นการเข้าใจผ่านตรรกะในภาพรวมว่าการโจมตีคอมมิวนิสต์โดยถ่ายเดียวว่าเป็นระบบทางการเมืองที่ไร้จริยธรรม นิยมความรุนแรง เป็นเพียงโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองที่ไร้ซึ่งความเป็นกลางใดๆ และเราก็เห็นได้ผ่านประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาว่าระบบทุนนิยมนั่นแหละ ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดตั้งแต่หัวยันปลายเท้า และไม่มีความชอบธรรมใดๆ จะมาชี้นิ้วด่าคนอื่นในเรื่องการมี “มนุษยธรรม” 

ถ้างั้นแล้วชาวคอมมิวนิสต์มองว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ ไม่ผิดจริยธรรมยังงั้นหรือ ? ก็ต้องบอกเลยว่าทั้ง “ใช่ และ ไม่” ทั้งนี้เราต้องกลับไปสำรวจ “ที่มาของจริยธรรม” ทั้งมวลในโลกก่อนจะกลับมาตอบคำถามนี้ ส่วนใหญ่แล้วที่มาของ “จริยธรรม” ในโลกนี้มักมีรากมาจากศาสนา จริยธรรมหลายข้อมักเป็นไปในกรอบคิดแบบ “สภาวะเหนือโลก” (Transcendent) กล่าว คือ “คุณไม่ควรทำสิ่งนี้ เพราะพระเจ้าบอกว่าไม่ควรทำ” ไม่ได้มีคำอธิบายในเชิงวัตถุวิสัยอะไรเพิ่มเติมว่ามันผิด หรือ ถูกเพราะอะไร ? แต่ใช้วิธีอ้างอิงอำนาจภายนอก (พระเจ้า,เทพ,ผี,บาปกรรม ฯลฯ)  ในการบังคับใช้กฏทางจริยธรรมนั้น ๆ ระบบศีลธรรมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายรองรับ นอกจากนี้อีกนัยของความเป็น “Transcendent” คือ มันถูกบังคับใช้ข้ามผ่านกาลเวลา และ สถานที่ ดังนั้นมันจะ “จริงตลอดไป จริงทุกที่ จริงทุกเวลา”

แต่พอเอาเข้าจริงแล้วสถาบันศาสนา หรือ สถาบันทางการเมืองที่อ้างอิงอำนาจจากศาสนาที่ใช้ระบบจริยธรรมเหล่านี้ ก็ล้วนแต่มีข้ออ้างสำหรับการทำผิดจริยธรรมของตัวเองเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างศาสนาอับราฮามิคที่เกิดขึ้นมานับพันปี หรือ กรณี “พระวิระธู” ผู้นำขบวนการชาวพุทธหัวรุนแรงในการกวาดล้างชาวมุสลิม กรณี “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป” ของพระกิตติวุฑโฒ 

สำหรับผู้อ่านบทความนี้ซึ่งกำลังใช้ชีวิตอยู่ในโลกยุคโมเดิร์น คงไม่จำเป็นต้องขยายความถึงความหน้าไหว้หลังหลอกของสถาบันศาสนาไปมากกว่านี้ เพราะความหน้าไหว้หลังหลอกที่กำลังเป็นภัยคุกคามต่อแนวคิดผู้คนในยุคสมัยเราจริงๆ เป็นระบบจริยธรรมที่มาในรูปแบบของ จริยธรรมแบบเสรีนิยม-ทุนนิยม เสียมากกว่า 

ปัญหาของระบบจริยธรรมแบบเสรีนิยม แม้ว่าจะไม่ได้อ้างอิงความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่ก็มีรากมาจากปัญหาระบบจริยธรรมแบบเดิม คือ ความเป็นสภาวะเหนือโลก (Transcendent) ที่การกระทำบางอย่าง ผิด หรือ ถูก ศีลธรรม “ในตัวมันเอง” โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาบริบทที่การกระทำนั้นๆ เกิดขึ้น เมื่อเราใช้จริยธรรมแบบนี้ ก็แปลว่าเราได้ละเลยกรอบคิดแบบ “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” ที่มองว่าไม่มีสิ่งใดเป็นอิสระพ้นไปจากบริบท (กาลเวลา-สถานที่) ของตัวมันเอง เราปฏิบัติต่อจริยธรรมราวกับว่ามันเป็นคำสั่งจากพระเจ้า นอกจากนี้มันแสดงให้เห็นว่าเราคำนึงถึง “ความเป็นคนดีแบบปัจเจกชน” มากกว่าภาพรวมของการปฏิวัติประชาชน

พวกเราชาวมาร์กซิสต์ไม่เชื่อในระบบจริยธรรมที่ข้ามพ้นกาลเวลาและสถานที่ 

ตัวอย่าง เช่น ในประเด็นเรื่องการเหยียดชาติพันธุ์ ถ้าหากเราถามพวกเสรีนิยม ว่าทำไมต้องต่อต้านการเหยียดชาติพันธุ์เขาก็อาจตอบว่า “ก็เพราะมันเป็นเรื่องผิด!” และพวกเขามักจะจริงจังกับการต่อต้านการเหยียดพวกนี้ในท่าทีเหมือนครูวิชาภาษาไทยดุเด็กนักเรียนที่พูดคำหยาบ “มันผิดก็เพราะมันผิดในตัวเอง!” สำหรับคนพวกนี้ระบบจริยธรรมไม่ได้เป็นเรื่องของสังคมเท่าใดนัก หากจะเป็นก็อาจเป็นเพียงผลพลอยได้ เพราะ ผลหลักที่พวกเขาหวัง คือ การได้แสดงออกว่าตัวเองมีศีลธรรมเหนือกว่าคนอื่นๆ (ในฐานะที่เป็นปัจเจก) แต่พวกเขาหาได้ใส่ใจในการจัดตั้ง หรือ เข้าไปมีส่วนร่วมต่อขบวนการเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมแต่อย่างใด ซ้ำร้ายพวกเขาอาจมองว่า “การเหยียด” มาจากการ “ไม่ได้รับการศึกษา(แบบตะวันตก)” มากกว่าจะเป็นผลจากความขัดแย้งทางชนชั้น และ ลัทธิการล่าอาณานิคมอย่างยาวนาน  

ในขณะที่พวกเราชาวมาร์กซิสต์ เหตุผลที่เราไม่ควรเหยียดชาติพันธุ์นั่นก็เพราะ “ผลที่ตามมา” ก็คือ จะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่าง “กรรมาชีพ” ด้วยกันที่อยู่คนละชาติพันธุ์ เช่นเดียวกันกับการเหยียดเพศ,เหยียดความพิการ และการเหยียดแบบอื่นๆ ที่จะก่อให้เกิดความแตกแยกต่อชนชั้นกรรมาชีพ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ใช่เพราะทำแล้วคุณจะเป็นบาป แต่เพราะมันไปเป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติประชาชน และการพูดคำเหยียด ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรมในตัวมันเอง เห็นได้จากการที่ในชุมชนคนผิวสีในสหรัฐอเมริกา ก็ยังเรียกเพื่อนตัวเองว่า “ไอ้ดำ” ได้ โดยที่ไม่มีใครมีปัญหา (คนที่รู้สึกมีปัญหาอาจเป็นพวกคนขาวที่คลั่งศีลธรรมแบบปัจเจก แต่ก็ไม่กล้าเข้าไปห้ามเมื่อคนดำเรียกกันอย่างนั้น) 

อาจมีคนโต้แย้งขึ้นมาว่า “ก็เขาเป็นคนดำด้วยกันไง ก็เลยแซวกันว่าไอ้ดำได้” แต่ในบริบทบ้านเรา ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติสูง เราก็อาจเห็นคนเชื้อสายจีนที่ถูกเพื่อนเชื้อสายลาวเรียกว่า “ไอ้เจ๊ก” ก่อนที่เขาจะตะโกนกลับไปว่า “ไงวะ ไอ้ลาว” ซึ่งในหมู่คนที่สนิทกันคำเหล่านี้อาจไม่ได้ต่างกันไปมากกว่าการเรียกว่า “ไอ้เหี้ย! (ชื่อเล่น) ไปเซเว่นกับกูป่าว” ซึ่งถามว่าหยาบไหม ? แน่นอนว่าหยาบ แต่ทำไมกระทำได้ ?

ก็เพราะมันจะถูกจริยธรรม หรือไม่ มันไม่ได้อยู่ที่ตัวคำพูดอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ ”บริบท” ซึ่งบริบทในที่นี้ คือ บริบทของคนที่สนิทกัน และเมื่อเราเข้าใจตามนี้แล้วว่า บริบท หรือ สภาพทางวัตถุ (สถานที่-ผู้คน) รวมไปถึงประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา (เวลา) เป็นตัวกำหนดความจริง หลักวัตถุนิยมประวัติศาสตร์เองก็บอกกับเราว่าระบบจริยธรรมต่างๆ จะมีความชอบธรรมได้นั้น ล้วนมีที่มาจากมันช่วยเสริมย้ำอำนาจนำของชนชั้นปกครอง อย่างที่หลักเทวสิทธิ์รับรองสถานะของกษัตริย์ และ หลักสิทธิมนุษยชนสากล เป็นตัวสร้างความชอบธรรมในการเข้าไปแทรกแซง,จัดตั้ง หรือแม้แต่ทำสงครามล่าอาณานิคมของสหรัฐอเมริกาและชาติมหาอำนาจอื่นๆ ระบบจริยธรรมไม่เคย “เป็นอิสระ” ไปจากอำนาจทางการเมือง และ อำนาจทางการเมืองที่ผ่านมาก็ถูกบงการโดย “ชนชั้นปกครอง” การเป็นผู้มีจริยธรรมแบบปัจเจก โดยไม่ข้องเกี่ยวกับผู้อื่นเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง จึงไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่า

 “การเล่นบทคนดี ในละครที่ชนชั้นปกครองเขียนบทขึ้น”

ดังนั้นในฐานะมาร์กซิสต์เราจำเป็นต้องปฏิเสธสันติวิธี,ความPC,สิทธิมนุษยชน.ความสุภาพ ไหม? ก็ต้องตอบว่า “ขึ้นอยู่กับบริบท” หรือถ้าถามอีกแง่ว่า เราจะต้องโอบรับคุณค่าเหล่านี้ทุกเวลา ทุกสถานที่ไหม ? ก็ต้องบอกว่า “ขึ้นอยู่กับบริบท” แต่สิ่งที่จะมาสร้างความชอบธรรมให้กับเรา คือ การที่เราต้องอธิบายให้ได้ว่าสิ่งที่เราจะพึงกระทำ เป็นการไปสนับสนุนให้เกิดการได้มาซึ่งอำนาจของฝั่งประชาชนหรือไม่ ? ถ้าหากคำตอบ คือ “ไม่”นั่นก็เป็นการกระทำที่ผิดต่อจริยธรรมแบบมาร์กซิสต์ แต่ถ้าคำตอบ คือ “ไม่แน่ใจ” ท่านก็ควรปรึกษากับสหายร่วมอุดมการณ์เพื่อพิจารณาถึงสภาพทางวัตถุและเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของการกระทำนั้นๆ 

เราไม่อาจแน่ใจว่าการกระทำที่เราและสหายร่วมกันตัดสินใจทำไป ด้วยความรู้ความเข้าใจ ด้วยโอกาส ด้วยพลังที่เรามีในปัจจุบัน จะนำไปสู่ “เป้าหมาย” ที่เราตั้งใจไว้ได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยการที่เราพาตัวเองเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับขบวนการที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าแค่ตัวเราคนเดียว มีการแลกเปลี่ยนความคิดและมุมมองที่มากไปกว่าตัวเราโดยปัจเจก ย่อมจะเป็นบันไดขั้นหนึ่งต่อการพัฒนาการทางองค์ความรู้การเมืองของมนุษยชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการหมกมุ่นในศีลธรรมแบบเหนือโลก หรือ พฤติกรรมส่วนตัวในกรอบคิดแบบปัจเจกนิยม อย่างแน่นอน

(1) https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%A9

 

(2) https://en.wikipedia.org/wiki/Le_Livre_noir_du_capitalisme