The Empty Empathy: เธอจะเห็นใจผู้อื่นอย่างไร ถ้าไม่มีคำว่าเรา

The Empty Empathy: เธอจะเห็นใจผู้อื่นอย่างไร ถ้าไม่มีคำว่าเรา

ผู้เขียน – วริษา สุขกำเนิด

บทความนี้จำเป็นต้องใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษเพื่อป้องกันการคาดเคลื่อนและคลุมเคลือของความหมาย

ตั้งแต่เริ่มท่องโลกในโลกโซเชียลมีเดีย Empathy หรือ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นคำที่ผู้เขียนเห็นจนชินตา ไม่ว่าจะมีความรุนแรงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อัตลักษณ์ และอื่นๆ Empathy ก็เป็นสิ่งที่ถูกยกขึ้นมาในข้อถกเถียงเสมอ ในบทความนี้ ผู้เขียนจะเล่าว่า Empathy มีบทบาทอย่างไรในโลกโซเชียลมีเดีย ผ่านการทบทวนความคิดของ Byung Chul Han ที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับเสรีนิยมใหม่  และทุนนิยมการสื่อสาร (Cognitive capitalism)

 ก่อนที่จะกล่าวถึง Empathy ผู้เขียนขอเล่าถึงบทบาทของความรู้สึกทั่วไปในโลกการผลิตสัญญะในโลกทุนนิยมการสื่อสารเสียก่อน ในหนังสือเรื่อง Psychopolitics (2017) Han ได้เสนอในบท Emotional Capitalism ไว้ว่า อารมณ์ (Emotion) กลายเป็นตรรกะใหม่ของทุนนิยมการสื่อสารไปเสียแล้ว การที่อารมณ์กลายมาเป็นปัจจัยในการผลิต (Mode of Production) เป็นเพราะคุณสมบัติอันโดดเด่นของมันที่เข้ากับทุนนิยมการสื่อสารได้ดี และแยกขาดมันออกจากสภาวะทางจิตใจประเภทอื่นๆ กล่าวคือ

(1) อารมณ์ (Emotion) แตกต่างจากความรู้สึก (Feeling) และ บรรยากาศ (Mood) ความรู้สึกและบรรยากาศมาพร้อมกับการยึดโยงกับสถานที่ เช่นสิ่งรอบตัว ผู้คน เหตุการณ์ ยึดโยงกับเวลา เช่นเรื่องราวที่รับรู้ การตกผลึก ทั้งสองสภาวะยังเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน ไม่จำเป็นต้องแสดงออกมา และสภาวะที่มีความมั่นคงอยู่พอตัว ในขณะที่อารมณ์กลับเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องซึมซับกับพื้นที่และเวลา มันมาพร้อมกับเรียกร้องให้แสดงออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการในภายในจิตใจบางประการ 

(2) อารมณ์มีลักษณะที่แตกต่างกับความเป็นเหตุเป็นผล (Rationality) ในขณะที่ความเป็นเหตุเป็นผลมาพร้อมกับความมั่นคงในหลักการ (และจิตใจ) และการใช้เวลาในการครุ่นคิดและฝึกฝน อารมณ์กลับเป็นสิ่งที่หุนหันพลันแล่น ทันทีทันใด และเป็นอิสระจากแบบแผนหรือหลักการมากกว่า 

ดังนั้น คุณสมบัติของอารมณ์ที่กล่าวมาจึงเข้ากันได้ดีกับทุนนิยมความรับรู้ที่ทำให้พื้นที่และเวลาสั้นลง (Time) อารมณ์จึงกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของกลไกการสะสมทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริโภค ในการโฆษณาสินค้า ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรืออวัตถุ อารมณ์ คือ สิ่งที่ทำให้การประชาสัมพันธ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากผู้บริโภค และทำให้ผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์กับการโฆษณาดังกล่าว นอกจากนี้ ผู้ที่ได้ประโยชน์หลักจากการที่ผู้บริโภค “มีอารมณ์” ต่อคอนเท้นท์มากมายคือนายทุนเจ้าของแพล็ตฟอร์มการสื่อสาร เพราะการที่ผู้บริโภคมีอารมณ์และโต้ตอบกับคอนเทนท์จะทำให้พวกเขาได้กำไรมหาศาล ทั้งนี้ ผู้คนที่ใช้งานแพล็ตฟอร์มกลับต้องถูกกระตุ้นอารมณ์ด้วยข้อมูลที่ไหลบ่ามาอย่างไม่รู้จบ จนพวกเขามีแน้วโน้มที่จะเหนื่อยล้า วิตกกังวล หรือสมาธิสั้นมากขึ้นเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านี้ ในหนังสือเรื่อง The Disappearance Of Rituals (2020) Han ยังเสนอว่าโลกทุนนิยมการสื่อสารกำลังค่อย ๆ กัดกร่อนความเป็นชุมชนให้เหลือแต่เพียงปัจเจก เปลี่ยนจากชุมชนที่รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกันโดยไม่ต้องสื่อสารกันมาก (Community without Communication) ไปเป็นระบบที่เต็มไปด้วยการสื่อสารแต่ไร้ซึ่งความเป็นสังคม (Communication without Community) เขาขยายความว่า ในชุมชนแบบแรก (Community without Communication) ผู้คนในชุมชนจะเชื่อมโยงกันผ่านสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นคนรอบข้าง สิ่งของ สภาพแวดล้อม หรือความเชื่อบางอย่างผ่านพิธีกรรม พิธีกรรมจึงมาพร้อมกับความรู้สึก ซึ่งเป็นความรู้สึกที่คนในชุมชนรับรู้ร่วมกัน และรับรู้ถึงกันและกัน เช่นในงานสังสรรค์ ผู้คนก็จะสนุกไปด้วยกัน หรืองานโศกเศร้า ผู้คนก็จะโศกเศร้าไปด้วยกัน ในขณะเดียวกัน ระบบเสรีนิยมใหม่และทุนนิยมการสื่อสารกลับพรากความเป็นชุมชนไปจากเราและแลกมาด้วยความโดดเดี่ยว ดังนั้นมันจึงพรากพิธีกรรม และการรับรู้ความรู้สึกร่วมกับคนอื่น และแทนที่การรับรู้ถึงตัวเอง และรับรู้อารมณ์ที่เกิดจากการกระตุ้นของข้อมูลแทน

ความย้อนแย้งประการหนึ่งของเสรีนิยมใหม่คือ ในขณะที่มันเรียกร้องให้พวกเรากลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและหลงตัวเอง จากการถีบหัวไล่ส่งคนที่อยู่ข้างๆ มันกลับเรียกร้องร้องให้เรามี Empathy เมื่อตอบสนองกับข้อมูลที่สะเทือนอารมณ์ในโลกออนไลน์ เราสามารถแสดง Empathy ผ่านการ “ทำอะไรซักอย่างอย่างรวดเร็ว” เช่นการกดถูกใจ แสดงความคิดเห็น หรือเผยแพร่เพื่อแสดงจุดยืน ในมุมมองของ Han แล้ว Empathy คืออารมณ์ที่เข้ากันได้ดีกับสังคมที่โดดเดี่ยว เนื่องด้วยเราไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกร่วมกับคนรอบข้างได้ ทำให้เราพยายาม (อย่างยิ่ง) ในการทำความเข้าใจอารมณ์ของคนอื่นในข้อมูล ในขณะเดียวกัน Empathy ก็กลายเป็นเครื่องมือในการสะสมทุนของทุนนิยมการสื่อสาร ในแง่ที่ว่ามันสามารถเหนี่ยวนำอารมณ์และชี้นำคนได้ และทำได้ดีกว่าการโน้มน้าวด้วยเหตุผลเสียอีก มุมมองดังกล่าวทำให้เราเห็นว่า นอกจากเราจะถูกขูดรีดแรงงานจนเกิดความรู้สึกด้านลบแล้ว มันยังขูดรีดเราผ่านความรู้สึกเชิงบวกอีกด้วย

ในมุมมองของผู้เขียน เราจำเป็นที่จะต้องก้าวผ่าน Empathy แบบปัจเจก ไปสู่ Empathy ที่ถอนรากถอนโคน โดยผู้เขียนจะขอยกมาสองข้อเสนอที่ต้องเกิดขึ้นร่วมกัน (1) การสร้างขบวนการหรือกลุ่มที่แยกขาดจากตรรกะแบบทุนนิยมการสื่อสาร หรือการสื่อสารที่มากเกิดไปจนไม่เห็นและรับรู้ถึงสังคมรอบข้าง เพื่อให้ปัญหาที่ต้องเห็นอกเห็นใจ กลายเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจภายในกลุ่มกลุ่มนั้น (2) การมองเหตุการณ์สะเทือนใจไม่ใช่ในฐานะเหตุการณ์ที่รุนแรงโดยตัวมันเอง แต่เกิดจากความรุนแรงเชิงเศรษฐกิจหรือสัญลักษณ์ที่ซ่อนอยู่ข้างใน รวมไปถึงการครุ่นคิดถึงที่มาของปัญหาและยุทธฺศาสตร์การต่อสู้ที่มากกว่าการแสดงออกซึ่งการแก้ปัญหาแบบทันทีทันใด แต่กลับไม่แก้ปัญหาจากต้นตอ (ตกผลึกแนวคิดจาก คู่มืออ่าน Violence สรวิศ ชัยนาม 2558) สองวิธีนี้จะทำให้ความเห็นใจผู้อื่นสามารถนำไปสู่การต่อสู้ได้

สหายตกีฟ เขียน

อ้างอิง

Han, Byung Chul., 2020. The Disappearance of Rituals. Cambridge: Polity Press.

Han, Byung Chul., 2017. Psycho-Politics Neoliberalism and Technologies of Power. New York: Verso.

สรวิศ ชัยนาม, 2558. Slavoj Zizek ความรุนแรงและการเมืองเพื่อการปลดปล่อย. กรุงเทพฯ: ศยามปัญญา.

รัฐอสังหาฯ: นายทุนจะเฟื่องฟูลอย คนรายได้น้อยจะถอยจม

รัฐอสังหาฯ: นายทุนจะเฟื่องฟูลอย คนรายได้น้อยจะถอยจม

ผู้แปล – วริษา สุขกำเนิด

ทุนนิยมและการวางผังเมืองของรัฐเป็นสองอำนาจที่มีความสัมพันธ์อันซับซ้อนซ่อนเงื่อน อุดมการณ์แบบทุนนิยมมักยืนกรานว่าระบบตลาดนั้นเป็นกลไกที่ดีที่สุดในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และการเลือกของผู้บริโภคก็เป็นผู้ที่ขับเคลื่อนความต้องการของสาธารณะที่ยุติธรรมและมีประสิทธิภาพที่สุดเช่นกัน ดังนั้นแล้ว แนวทางการบริหารจัดการให้เป็นไปตามกลไกตลาด (Deregulation) จึงกลายเป็นคำโฆษณาที่สวยหรูของนักธุรกิจไปแล้วนับศตวรรษ และการจำกัดอำนาจการควบคุมของรัฐบาลก็กลายเป็นจุดหมายสำคัญของนักการเมืองอนุรักษ์นิยมไปเสียในทุกระดับ Grover Norquist นักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจาก American for Tax Reform ยังเคยกล่าวไว้ว่า เขาอยากจะลดขนาดของอำนาจรัฐบาล “ให้เล็กจนผมสามารถหยิบเข้าน้ำแล้วกดมันให้จมในอ่างได้”
 
ทว่า ถึงแม้ว่านายทุนจะกล่าวเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเขากล่าวไว้เสียแต่น้อย นายทุนและนักการเมืองกลับกลายเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่เรียกร้องให้รัฐขยายอำนาจเมื่อกล่าวถึงการเพิ่มขนาดของเรือนจำ และการเพิ่มแสนยานุภาพของกองทัพ ซึ่งการขยายอำนาจของรัฐในรูปแบบดังกล่าวก็สร้างภาระทางงบประมาณที่ล้นฟ้าทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติเสียด้วย นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ยังชื่นชอบการบริหารจัดการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่จะคอยขัดแข้งขัดขาไม่ให้ธุรกิจขนาดเล็กแข่งขันกับพวกเขาได้ ผ่านทั้งการจ้างกองทัพของทนายถางทางให้ดำเนินสะดวก ในขณะที่เส้นทางของคู่แข่งของเขากลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อ การขยายอำนาจของรัฐบาลในขนาดมหึมานี้ยังสร้างเหลื่อมล้ำ และป้องปราบการก่อจราจลในนามของกฎหมาย
 
และในด้านของนโยบายการวางผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน วาทะว่าด้วยการลดอำนาจรัฐก็ย้อนแย้งจากสิ่งที่ชนชั้นนำดำเนินการจริงไม่ต่างกัน เหล่านายทุนมีความต้องการพึ่งพาอำนาจรัฐที่เข้มข้นและเฉพาะเจาะจงในการดำเนินโครงการใดๆ และหากปราศจากรัฐแล้ว พวกเขาก็อาจไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิในระยะยาว หรือแม้ระยะสั้นเองก็ตาม พวกเขาต้องการให้รัฐวางเงินลงทุนขนาดใหญ่ให้กับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จะทำให้พวกเราสร้างกำไรได้ รวมทั้งยังต้องการให้รัฐสร้างหลักประกันในการอุดหนุนงานผลิตซ้ำทางสังคมของผู้คน เพื่อจะประกันว่าพวกเขาจะยังมีแรงงานที่ยังมีลมหายใจให้ได้ขูดรีดเป็นเป้าหมายสำคัญ หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่มาจากการวางแผน ลงทุน และประสานงานโดยรัฐแล้วไซร้ พวกเขาก็แทบจะไม่ฐานอะไรจะค้ำยันเลย
 
ความขัดแย้งบนผังเมืองแบบทุนนิยม –
 
อย่างไรก็ดี หากเรามองให้ลึกลงอีกสักนิด เราก็จะพบถึงจุดแตกหักที่สำคัญเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเติบโตของเขตเมือง ในหนังสือเรื่อง Planning the Capitalist City ที่เขียนในปี 1986 ผู้เขียน Richard Foglesong ได้เขียนวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างระบบทุนนิยมกับการวางผังเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงอาณานิคมไปจนถึงช่วง 1920s หนังสือเล่มดังกล่าววางข้อเสนออยู่บนสองข้อขัดแย้งหลัก ซึ่งผู้เขียนเสนว่ามันคือ “ความขัดแย้งของลักษณะกรรมสิทธิ์” และ “และความขัดแย้งระหว่างระบบทุนนิยมและระบบประชาธิปไตย”
 
ความขัดแย้งของลักษณะกรรมสิทธิ์เกิดขึ้นเมื่อนายทุนต้องการแทรกแซงการวางผังเมืองของภาครัฐในแบบใดแบบหนึ่งเพื่อที่จะให้สนับสนุนแนวทางการหากำไรของพวกเขา แต่กลับปฏิเสธประโยชน์ใช้สอยของการวางผังเมืองอีกรูปแบบในฐานะของความโง่เขลาแบบสังคมนิยมรูปแบบหนึ่ง และนอกเหนือจากแนวคิดดังกล่าว สิ่งที่นายทุนในเมืองต้องการกลับเป็นคนละสิ่งกลับสิ่งที่นักวางผังเมืองต้องการ ความต้องการของพวกเขาทำลายสายพานการผลิตของสังคมอุตสาหกรรม ในขณะที่นายทุนอุตสหากรรมอาจขุ่นเคืองกับกฎหมายการควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมที่เป็นอุปสรรคต่อการขูดรีดทรัพยากรบนผืนดิน แหล่งน้ำ และอากาศ โดยปราศจากผลพวงทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็สามารถออกหน้าสนับสนุนการแทรกแซงการวางผังเมืองที่จะนำไปสู่การขึ้นราคาที่ดินและที่อยู่อาศัยในระดับต่ำ เพราะเขาตีมูลค่าที่ดินในฐานะของต้นทุนในการผลิต และราคาที่อยู่อาศัยในฐานะว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แรงงานของพวกเขาลงถนนแและเรียกร้องค่าแรงที่สูงขึ้น
 
ในขณะเดียวกัน นายทุนอสังหาริมทรัพย์ที่มองหมอกและควันเป็นปัจจัยฉุดรั้งราคาตึกราบ้านช่องให้ต่ำลง ก็ต้อนรับขับสู้ให้มีมาตราการควบคุมดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ดี เขากลับไม่ยินดีหากรัฐจะออกมาตราการควบคุมค่าเช่าพักอาศัย หรือที่อยู่อาศัยสาธารณะคุณภาพสูง เพราะสิ่งเหล่านั้นอาจกระทบกระเทือนแผนภูมิธุรกิจพันล้านของพวกเขาได้ ดังนั้น นักวางผังเมืองจึงจัดการกับปมปัญหาที่ทับซ้อน ด้วยการหาจุดกึ่งกลางระหว่างความต้องการในการแข่งขันของนักลงทุนหลากหลายประเภทธุรกิจ โดยหลีกเลี่ยงการวางผังเมืองที่ไม่ให้นายทุนอีกกลุ่มโวยวาย
 
บนความพยายามที่ยากปานจะสอดด้ายเข้าเข็มนี้ นักวางผังเมืองก้ต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างนายทุนและประชาธิปไตย (Capitalist Democracy Contradiction) เช่นกัน นายทุนตัวจริง หรือผู้ที่เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต (ไม่ใช่ผู้ที่คิดแบบนายทุนเพียงอย่างเดียว) หากนับจากจำนวนประชากรแล้ว พวกเขาจะถือเป็นคนส่วนน้อย ตามอุดมคติของการปกครองแบบสาธารณรัฐและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมแล้ว นักวางผังเมืองควรนำชนชั้นแรงงานเข้ามามีส่วนร่วมหรือให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางผังเมือง ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็อาจจะเจอกับวิกฤตการณ์ทางนิติธรรมได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ได้รับความไว้ใจให้ออกแบบผังเมืองโดยเอื้อประโยชน์แก่นายทุนผู้เป็นเจ้าของระบบนี้เอง เพื่อที่จะการจัดการกับปมปัญหาดังกล่าว เมืองที่ออกมาจึงหาวิธีดำเนินการด้วยระบบประเมินการใช้ที่ดิน (Land Use Review System) ที่ประชาชนมีสิทธิในการลงความคิดเห็นเกี่ยวกับผังเมืองที่ส่วนกลางออกแบบ แต่ไม่มีสิทธิ์ในการออกแบบผังเมือง และคณะกรรมาธิการการวางผังเมืองสาธารณะ (Public City Planning Commissions) ที่ที่นั่งต่างๆก็เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์และชนชั้นนำทางธุรกิจ
 
ตามรูปแบบการทำงานข้างต้นแล้ว หน้าที่หลักของนักวางผังเมืองคือการหล่อเลี้ยงความขัดแย้ง 2 เอาไว้ ซึ่งแม้ว่าความขัดแย้งทั้งสองจะไม่สามารถแก้ไขได้ขาด แต่มันก็ยังสามารถจัดการได้ระดับหนึ่ง มันคือปมปัญหาที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนเสียเหลือเกิน นักวางผังเมืองที่ต้องออกแบบการใช้ที่ดิน กลับถูกกีดกันจากหน้าที่ของเขาที่จะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ขัดต่อประโยชน์ของนายทุน และแม้ว่ากระบวนการการวางผังเมืองควรจะเปิดเผยให้สาธารณะรับรู้และมีส่วนร่วมแค่ไหน พวกเขากลับต้องประกันให้ได้ว่าอำนาจล้นฟ้ายังคงอยู่ในกำมือของนายทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่วันยังค่ำ ซึ่งนั่นเป็นงานที่น่าหดหู่สิ้นดี
 
การเรืองอำนาจของรัฐอสังหาฯ –
 
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ในขณะที่ผมกำลังสอนเกี่ยวกับหนังสือของ Foglesong ในห้องสัมมนาภูมิศาสตร์ ได้มีนักศึกษาคนหนึ่งยกมือถามว่า “ดูเหมือนว่าประเด็นสำคัญของหนังสือคือการแข่งขันระหว่างทุนอุตสาหกรรมและทุนอสังหาริมทรัพย์นะครับ แล้วที่นี้ข้อเสนอนี้จะเอาไปประยุกต์กับโลกปัจจุบันที่ทุนอุตสาหกรรมกับทุนอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกันแล้วหล่ะครับ” นั่นแหละ คือประเด็นสำคัญ
 
โลกของเรากลายเป็นโลกอุตสหากรรมมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก ดังเช่นในสหรัฐอเมริกาที่เป็นประเทศอุตสาหกรรม และการผลิตก็เป็นสัดส่วนหลักของเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 การผลิตแบบอุตสหากรรมในสหรัฐก็มีการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ครั้งแรก หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานหลายโรงได้ย้ายฐานการผลิตจากโรงงานเก่าที่เมืองตอนเหนือไปยังโรงงานใหม่ในเมืองตอนใต้ ชานเมือง และเขตชนบท หลังจากนั้น ในช่วง 1970s จนถึง 1990s การผลิตเริ่มมีความรวดเร็วและดำเนินการทางไกลได้มากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือโรงงานต่างๆก็เริ่มย้ายออกนอกประเทศ
 
ในช่วง 1990s และ 2000s รูปแบบใหม่ของการขยายตัวของอุตสาหกรรมได้เกิดขึ้น พร้อมกับกิจการโลจิสติกส์ที่เติบโตสอดคล้องกับการไหลเวียนอันสลับซับซ้อนของสินค้าเข้าและออกจากตัวเมือง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการของอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่นี้มักจะเกิดขึ้นนอกเขตมหานคร (เพื่อใช้ประโยชน์จากที่ดินราคาถูก และความสะดวกสบายในการขนถ่ายสินค้า) และหากอุตสาหกรรมเหล่านี้ตั้งอยู่ในตัวเมือง มันก็มักจะมาพร้อมกับการที่หน่วยงานสาธารณะหรือราชการเป็นเจ้าของที่ดินในพื้นที่นั้นด้วย
 
ในขณะเดียวกัน “การไหลบ่าของทุน” ก็ไหลไปสู่พื้นที่เขตเมืองและตึกรามบ้านช่องมากขึ้น ในเวลาไม่ใกล้ไม่ไกลนี้ ทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกมีมูลค่ารวมกันประมาณ 217 ล้านล้านดอลล่าร์ ซึ่งทำให้อสังหาริมทรัพย์กลายเป็นสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนมากที่สุดของสินทรัพย์ในโลก ในขณะนี้ สหรัฐอเมริกากำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี แต่อัตราค่าเช่าแรกเข้ายังเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาแม้อัตราค่าจ้างยังคงเท่าเดิม ในบางเมือง ราคาค่าบ้านพุ่งขึ้นสูงกว่าร้อยละ 50 ในเวลาเพียง 5 ปี วิกฤตการณ์ที่อยู่อาศัยมากมายหลายแขนงนี้จะกระจายไปยังตัวเมืองทั่วสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าได้
 
ท่ามกลางความหนาแน่นของอสังหาริมทรัพย์และการการกระจายตัวของอุตสาหกกรมการผลิต ความสัมพันธ์ระหว่างทุนในเขตเมืองและการวางผังเมืองได้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะเมื่อผู้ผลิตไม่ได้สร้างฐานอำนาจในการลดค่าที่ดินและค่าบ้านในเขตเมืองให้ต่ำลงอีกต่อไปแล้ว การจัดการ “ความขัดแย้งของลักษณะกรรมสิทธิ์” ก็เป็นเพียงแค่คำกล่าวอ้างของนายทุนอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มที่ได้รับผลประโยชน์จากการวางผังเมือง ผู้ที่เรียกร้องให้เกิดนโยบายที่จะผลักราคาที่ดินและสินทรัพย์ให้สูงขึ้นกว่าเดิม แม้เมื่อมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาของเมืองที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การเดินทาง สวนสาธารณะ ฯลฯ ทุนอสังหาริมทรัพย์ก็ยังต้องการแซกแทรกเพื่อการลงทุนด้วย
 
ในยุคเรืองอำนาจของรัฐอสังหาฯ นักวางผังเมืองเจรจาต่อรองบน “ความขัดแย้งระหว่างทุนนิยมและประชาธิปไตย” กลับเป็นผู้หาที่ทางให้แก่ทุนอสังหาริมทรัพย์ในสถาบันของการวางผังเมืองเสียเอง ตัวอย่างเช่น คณะกรรมาธิการการวางผังเมืองนั้นเกือบจะเต็มไปด้วยผู้คนที่มีประสบการณ์ในด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา การประชาสัมพันธ์ การขาย กฎหมาย หรือแม้แต่วิศวะกรรม หรือแม้แต่เสียงที่แตกออกจากกรรมาธิการคนอื่นๆ อย่าง Michaelle de la Uz นักพัฒนาที่อยู่อาศัยไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งแน่นอนเป็นตัวอย่างที่แตกต่างจากคนอื่นๆ แต่เขาก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการวางผังเมืองอยู่ดี
 
นี่คือรัฐอสังหาฯ รัฐบาลเข้าหาความต้องการและข้อเรียกร้องของสายธารของทุนกลุ่มนี้ และพยายามเข้ากับทุนกลุ่มนี้เพื่อประกันว่าการดำเนินการของรัฐบาลจะนำไปสู่กำไรที่สูงขึ้นของ นักพัฒนา นายทุนผู้ให้เช่า นายลงทุน และ นักฟลิบบ้าน เช่นเดียวกับรัฐประเภทอื่นๆ (รัฐสวัสดิการ รัฐทัณฑสถาน รัฐสงคราม) รัฐอสังหาฯ ไม่ได้เป็นรัฐที่เบ็ดเสร็จเลยเสียทีเดียว แต่ผลกระทบของมันนั้นเข้มข้นในระดับท้องถิ่น ซึ่งเป็นระดับที่การตัดสินใจการใช้ที่ดินเกิดขึ้น
 
และไม่ว่านักวางผังเมืองจะเผชิญกับปัญหาอะไรก็ตาม ทางออกที่พวกเขาเสนอก็มักจะมีการพัฒนาพื้นที่ให้หรูหรารวมอยู่ในหลักการสำคัญด้วย แม้ว่าปัญหาเหล่านั้นคือการขาดแคลนบ้านที่อยู่อาศัยราคาถูกก็ตาม นอกจากนี้ นักวางผังเมืองมักถูกมอบหมายให้รักษาราคาอสังหาริมทรัพย์เสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะสินทรัพย์ในบางที่นั้นราคาถูก และนักลงทุนต้องการให้ราคาของมันสูงขึ้น และเพราะสินทรัพย์ในบางที่มีราคาสูงอยู่แล้ว แต่หากมันเกิดราคาต่ำลงมันอาจจะฉุดรั้งราคาของทั้งระบบได้ ความพยายามในการปิดกั้นการลงทุน และการพัฒนาที่อาศัยสาธารณะไม่ค้ากำไร ดูเหมือนจะเป็นแนวทางที่ไม่มีใครเลือกในระบอบการวางผังเมืองที่วางอยู่บนความคิดว่าผลประโยชน์ของสาธารณะจะได้มาผ่านการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น
 
ดังนั้น ในระบบดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงของที่ดินย่านเดิมไปสู่ย่านชนชั้นกลางราคาสูง (Gentrification) จึงไม่ใช่ข้อผิดพลาดของการวางผังเมือง แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงของย่านเมืองถูกขับดันด้วยพลังทางเศรษฐกิจและสังคม แต่มันเป็นผลผลิตของรัฐ ผ่านกระบวนที่มีการสอดใส้เพื่อให้เกิดการลงทุนใหม่เรื่อย ๆ และยังทำให้คนอีกกลุ่มต้องย้ายออกไป อย่างไรก็ดี นักวางผังเมืองไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือของทุนหรือลูกมือของรัฐเพียงด้านเดียว เพราะก็ยังมีนักวางผังเมืองอีกจำนวนมากที่เข้ามารับตำแหน่งนี้เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงเมืองให้ดีขึ้นเช่นกัน นักวางผังเมืองหลายคนมีพื้นเพความคิดที่ถอนรากถอนโคน และยังมองการวางผังเมืองในฐานะวิธีการในการควบคุมการไหลเวียนของทุนที่นำไปสู่ปัญหาต่างๆนานา แต่ภายใต้ข้อจำกัดของรัฐอสังหาฯ นี้ การสร้างพื้นที่เพื่อประโยชน์อื่น ๆ นอกเหนือจากการทำกำไรนั้นเป็นสิ่งที่ยากมากทีเดียว
 
ทว่า การวางผังเมืองแบบอื่น ๆ ก็ยังเป็นไปได้ และมันไม่ใช่สิ่งที่นักวางผังเมืองจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบกับปัญหาดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียว หากเราต้องการให้นักวางผังเมืองออกแบบเมืองที่ให้ประโยชน์กับคนส่วนใหญ่มากกว่านายทุนอสังหาริมทรัพย์ เราต้องร่วมแรงกันสร้างความกดดันทางการเมืองต่อนายของพวกเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นแน่นอนว่าเป็นรัฐบาลที่จ้างพวกเขา และยังรวมไปถึงอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้วย
 
อย่างไรก็ดี หากพวกเรามองเข้าไปในปัญหานี้อย่างลึกซึ้ง จะพบว่าทุนอสังหาริมทรัพย์ก็เผยด้านที่เปราะบางไว้อยู่เช่นกัน ขบวนการการต่อสู้เพื่อป้องกันการแปรสภาพย่านเก่าให้เป็นย่านชนชั้นกลางราคาสูงสามารถจะต่อกรกับพลังของทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่จะทำให้รู้ว่ากำไรนั้นเป็นของใคร พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัย จากเดิมผู้รับกรรมผู้เช่าที่ ไปสู่เจ้าของที่ผู้ให้เช่า นักพัฒนาที่ดิน และนักลงทุนแทน ภารกิจนี้ไม่ใช่ภารกิจที่ง่าย แต่มันคือสิ่งที่เราต้องเผชิญหากจะต่อสู้กับรัฐอสังหาฯ
สรุปความและเรียบเรียง Meet & Greet สหาย Jodi Dean

สรุปความและเรียบเรียง Meet & Greet สหาย Jodi Dean

สรุปความและเรียบเรียง Meet & Greet สหาย Jodi Dean

 

เกริ่น

การสรุปความและเรียบเรียงครั้งนี้ พยายามปรับเนื้อหาและการนำเสนอให้เข้าใจง่ายที่สุด เนื่องจากในการเข้าร่วมกิจกรรมจริงๆ มีพลวัตรในการถามตอบและแปลความไปมาระหว่างภาษาค่อนข้างมาก (รวมเวลาถึงสองชั่วโมงกว่า) การยกสิ่งที่พูดคุยกันมาตรงๆ จึงเป็นไปได้ยาก และไม่เหมาะสมในทางปฏิบัติ

ผมจึงใช้การสรุปความและเรียบเรียงในลักษณะแบ่งเป็นประเด็นโดยที่นำเสนอเป็นคำถามบ้างและไม่ใช่คำถามบ้าง แล้วแต่ว่ากรณีไหนจะเหมาะสมและสร้างความเข้าใจให้กับผู้อ่านได้มากกว่าครับ

การก่อรูปความคิดถึงรากของสหาย Jodi Dean

ปัจจัยที่สำคัญซึ่งทับซ้อนกันอยู่สองประการคือ

แง่มุมทางช่วงเวลา: เธอเกิดในช่วงเวลาสงครามเย็นในทศวรรษที่ 1960-1980 และคอมมิวนิสต์เป็นขบวนการหลักที่ต่อต้านความเป็นทุนนิยมและสหรัฐอเมริกา มีเหตุการณ์ต่างๆ ที่เธอคิดว่ามันไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจน เช่น สงครามเวียดนาม แถมเธอยังสนใจถึงขนาดได้ศึกษาเรื่องราวของโซเวียตและภาษารัสเซีย แถมไปโซเวียตอยู่หลายครับ

แง่มุมทางชุมชนและสถานที่: เธอเกิดในครอบครัวคริสต์ศาสนา คำสอนหนึ่งที่สำคัญซี่งมาจากพระคัมภีร์เล่มกิจการของอัครทูต 4:35 ที่ว่า ‘และนำเงินค่าของที่ขายได้นั้นมาวางไว้ที่เท้าของบรรดาอัครทูต พวกอัครทูตจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามความจำเป็น’ แต่ในทางปฏิบัติจริงกลับมีโบสถ์เหยียดสีผิวมากมาย เธอจึงเห็นถึงความไม่ตรงไปตรงมาระหว่างคำสอนและภาคปฏิบัติ และยกขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่เกิดขึ้นในอเมริกาเป็นตัวอย่างถึงการซื่อตรงต่อหลักคำสอนและพยายามต่อสู้เพื่อสิ่งนั้น

อย่างไรก็ดี ความคิดของเธอเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตามช่วงชีวิตเหมือนผู้คนทั่วไป แต่สิ่งที่เป็นแก่นหลักคือการต่อต้านสิ่งที่ไม่เป็นธรรมสี่ประการหลักๆ คือ ความเหลื่อมล้ำ, ทุนนิยม, จักรวรรดินิยม, การเหยียดสีผิว

เรื่องการงาน เธอเล่าว่าชีวิตเธอสนใจเรื่องโซเวียตมากจนกระทั่งเข้าเรียนโซเวียตศึกษาและประวัติศาสตร์โซเวียตในสมัยปริญญาตรี แต่สุดท้ายเปลี่ยนสายมาเป็นทฤษฎีการเมืองในช่วงหลังปริญาตรี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความบังเอิญที่ดี เพราะโซเวียตล่มสลายในช่วงที่เธอกำลังเรียนพอดี และวงการวิชาการโซเวียตศึกษาในอเมริกาก็ล้มครืนลงเช่นกัน และด้วยเหตุที่เธอเปลี่ยนไปเรียนสายทฤษฎีการเมือง เธอจึงได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าลัทธิมาร์กซ์ของโลกตะวันตก เพราะการศึกษาของสหรัฐอเมริกา สอนแค่ว่าคอมมิวนิสต์คือโซเวียต และตรงกันข้ามกับทุนนิยม มันมีแค่เรื่องอาวุธและสงคราม นักคิดที่เธอเจอมีหลายคนแต่คนที่สำคัญคือ Žižek เพราะเขาทำให้เธอได้รู้จักกับจิตวิเคราะห์ อันเป็นทฤษฎีที่ทำให้เกิดความชอบธรรมต่อการศึกษาทำความเข้าใจลัทธิมาร์ซ-เลนินแบบใหม่ๆ และน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของรูปแบบองค์กร เช่น ความคิดเรื่อง ‘พรรค’

ความคิดที่สำคัญในแง่มุมที่เธอพยายามทำความเข้าใจโลกทุนนิยมสมัยใหม่ โดยเฉพาะเรื่องอินเตอร์เน็ตและการคิดเรื่องประชาธิปไตยอย่างจริงจัง ทำให้เธอเสนอพัฒนาความคิดเรื่อง ‘ทุนนิยมการสื่อสาร’ ขึ้นมาเพื่อต่อต้าน/ตั้งคำถามกับสื่อแบบใหม่ที่ผุดขึ้นมาในโลกปัจจุบัน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่าเราจะไม่สามารถแก้ปัญหาประชาธิปไตยโดยไม่เปลี่ยนรูปแบบการถือครองกรรมสิทธิ์ หนังสือสามเล่มที่เธอคิดว่าเป็นงานเขียนสำคัญคือ The Communist Horizon, Crowds and Party, และ Comrade

 

 

เป็นไปได้ไหมที่เราจะนำการต่อสู้ออนไลน์ลงมาให้เกิดขึ้นจริงบนท้องถนน?

เป็นไปได้แน่ ๆ เพราะตัวอย่างที่ชัดเจนคือการเมืองขวาจัดของ Trump ที่เริ่มต้นจาก Twitter แล้วเข้าสู่สื่อกระแสหลัก จนกลายเป็นปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ได้ ประเด็นอยู่ที่ว่า แล้วเราฝ่ายซ้ายปฏิวัติล่ะ จะทำได้ไหม อย่างไร ในบริบทไหนเสียมากกว่า

ปัญหาของสื่อ ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียหรืออะไรก็ตาม เป็นปัญหาทางเศรษฐศาสตร์การเมือง เพราะฝ่ายขวามีทุนหนุนหลัง ทำให้บงการสื่อเหล่านี้ได้ คำถามของฝ่ายซ้ายคือจะท้าทายโครงสร้างเหล่านี้ผ่านขบวนการทางการเมืองอย่างไร?

ประเด็นการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย                                และการต่อสู้กับรัฐให้ประสบผลสำเร็จ

เราไม่สามารถสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ขึ้นมาได้ ไม่ว่าอย่างไรเสียมันก็ต้องมีประเด็นที่เห็นแย้งกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้แน่ ๆ คือเรื่องของ ‘สัญลักษณ์’ ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สี หรืออื่นๆ ที่ก้าวข้ามความเฉพาะ สิ่งนี้ไม่ใช่อะไรที่เล็กน้อยเลย เพราะสัญลักษณ์เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะสร้างขบวนการในการเคลื่อนไหวรอบๆ สิ่งนี้ได้

สิ่งที่ในขบวนการต่อมีเพื่อสู้กับรัฐที่โหดเหี้ยม อันตราย อยู่บนความเป็นความตาย เราจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้นักฉวยโอกาสเข้ามาในองค์กร เราจำเป็นต้องสร้างขบวนการที่เราจะ ‘เชื่อใจ’ กันได้จริงๆ อย่างเพียงพอ เราต้องขีดเส้นให้ชัดว่าเราต่อต้านอะไร เรากำลังสู้อยู่กับอะไร?

ตัวอย่างของขบวนการ Occupy Wall Street ในอเมริกา มีการรวมกันอย่างหลวมๆ ของฝ่าย ‘ก้าวหน้า’ สามกลุ่มคร่าวๆ คือ กลุ่มเสรีนิยม ที่ต้องการเอาเรื่องเงินออกจากการเมือง กลุ่มสังคมนิยม/คอมมิวนิสต์ ที่ต้องการยกเครื่องเปลี่ยนแปลงระบบใหม่หมด และกลุ่มอนาคิสต์ที่สนใจรูปแบบแนวราบของปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และรูปแบบของการเข้ายึดสิ่งต่างๆ

ประเด็นที่สำคัญมากแต่อาจลืมกันไปก็คือ ขบวนการจะไม่สามารถนำชัยชนะมาได้เลย หากฝ่ายซ้ายทำเพียงแค่พูดคุยกันในวงของนักกิจกรรมด้วยกันเองเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการพูดคุยสื่อสารและขยายวงกว้างเข้าถึงผู้คน หรือพูดง่ายๆ คือสร้างขบวนการประชาชนขนาดใหญ่ให้เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้พวกฟาสซิสต์ (ฝ่ายขวาจัด) ทำได้ดีกว่าเรามาก

ประเด็นความแตกแยกเป็นกลุ่มย่อยที่แยกหรือกระทั่งขัดแย้งกันอย่างรุนแรงของขบวนการ

ปัญหานี้เป็นเรื่องใหญ่ทั่วโลก และมีสองประเด็นที่ต้องคำนึง ประเด็นแรกคือเราต้องเข้าใจความหลากหลายในตัวชนชั้นแรงงาน และคุณูปการต่างๆ ที่หลายๆ ขบวนการสร้างขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง คนผิวสี ฯลฯ ตัวอย่างที่น่าสนใจในสหรัฐอเมริกา คือกลุ่มลัทธิทร็อตส์กี้หลายกลุ่ม ต่อต้านการเมืองอัตลักษณ์อย่างสุดขั้วจนผลิกกลับมาเป็นการมองว่าผู้ใช้แรงงานคือชายผิวขาวในโรงงานเท่านั้นไปเสียอย่างนั้น เป็นต้น

ประเด็นถัดมาที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประสบการณ์ส่วนตัวของเราไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดหนึ่งเดียวในขบวนการปฏิวัติ สิ่งที่จำเป็นสำหรับเราในฐานะคนที่ร่วมสู้ในขบวนการคือ ต้องคิดว่าเราจะทำอะไรให้กับขบวนการได้บ้าง และสิ่งสำคัญที่พึงตระหนักคือ ไม่มีการเมืองที่เกิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติผ่านอัตลักษณ์ การเมืองเป็นสิ่งที่ต้อง ‘สร้างขึ้นมา’ เสมอ เหมือนใน ‘แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์’ ที่เรียกร้องให้ ‘ชนชั้นแรงงานทั้งหลายจงรวมกันเข้า’ กล่าวคือ การก่อรูปจิตสำนึกทางชนชั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องผ่านการต่อสู้ คำว่าการเมืองอัตลักษณ์จึงไม่มีความเป็นการเมืองในตัวเอง และการจะปลดปล่อยจากการกดขี่ทุกรูปแบบได้นั้น เราต้องร่วมแรงร่วมใจกันต่อสู้ในฐานะชนชั้นอันเป็นหนึ่งเดียว

ประเด็นเรื่องประชาธิปไตยกับลัทธิมาร์กซ์

ความคิดแบบลัทธิมาร์กซ์เสนอว่า ประชาธิปไตยเป็นไปได้ก็แต่ในสภาวะที่มีความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจจริงๆ เท่านั้น แต่ประชาธิปไตยของชนชั้นกระฎุมพีที่เป็นอยู่ในปัจจุบันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ก้าวหน้าเสียเลย มันก้าวหน้าในฐานะที่สร้างการเรียนรู้และตระหนักรู้ให้กับผู้คนและสร้างสถาบันต่างๆ ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ อย่างน้อยมันก็ก้าวหน้ากว่ายุคสมัยศักดินา เพียงแค่ว่าประชาธิปไตยในความคิดของลัทธิมาร์กซ์นั้นหมายความว่าคนเราจะสามารถควบคุมเงื่อนไขและสภาวะของชีวิต รูปแบบการอยู่ร่วมกัน และรูปแบบการผลิตได้จริงๆ

สหรัฐอเมริกาจะเกิดการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ขึ้นได้ไหม

เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตอบว่า ‘ได้’ ด้วยเหตุผล 2 ประการที่สำคัญ

ประการแรก ฝ่ายขวาในปัจจุบันผลักทุกอย่างที่พวกเขาไม่ชอบให้กลายเป็น ‘คอมมิวนิสต์’ ไปเสียหมด แล้วพวกเขาเองก็คิดว่าคอมมิวนิสต์เป็นภัยที่สุ่มเสี่ยงจะเกิดขึ้นจริงๆ พวกเขามองว่าขบวนการคอมมิวนิสต์เข้มแข็งมาก ในแง่นี้ก็กล่าวได้ว่า พวกเขาเชื่อว่าคอมมิวนิสต์เป็นไปได้ แถมมันยังมีผลต่อเยาวรุ่นทั้งหลาย ที่กลายเป็นว่าสิ่งดีๆ ต่างๆ ถูกเรียกว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแก้ปัญหาหนี้ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาที่อยู่อาศัยไม่เพียงพอ ปัญหาค่าแรงต่างๆ กลายเป็นเรื่องคอมมิวนิสต์ไปเสียหมด เยาวรุ่นทั้งหลายจึงมีแนวโน้มมองว่าคอมมิวนิสต์เป็นเรื่องของสิ่งดีๆ ต่างๆ และชอบคอมมิวนิสต์มากขึ้น

หลายอย่างพื้นฐานที่สำคัญและจำเป็น เช่น ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ ประเด็นสิ่งแวดล้อม และปัญหาจักรวรรดินิยม จำเป็นต้องถูกแก้ไข และคอมมิวนิสต์ก็เป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น เนื่องจากมันมีรากมาจากทุนนิยม

ตัวอย่างที่ขับเน้นสองประเด็นข้างต้นได้ชัดเจนคือ มีคนอเมริกันอายุราว 30 ในอเมริกาคนนึง มีหนี้ท่วมหัว บอกว่าถ้าเขาเกษียณโดยที่ไม่มีสวัสดิการ เขาคงจมกองหนี้ตาย และไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้น คอมมิวนิสต์จึงแทบเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้ หากเขาต้องการจะมีชีวิตอยู่ เพราะมันคือคำที่บอกว่าเราจะต่อต้านล้มล้างทุนนิยมเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่มันก่อขึ้น

ความคิดคอมมิวนิสต์ยังจะฮิตได้อีกไหม

ได้แน่นอน เพราะมันเป็นเพียงทางเลือกหนึ่งเดียวที่ต่อต้านและตรงข้ามกับทุนนิยม เป็นตัวเลือกเดียวที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างที่พัวพันกับทุนนิยมได้ โดยเฉพาะสงคราม ความเหลื่อมล้ำ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ หรือก็คือ มันเป็นตัวเลือกที่หมายความถึงการปลดปล่อยอย่างเท่าเทียม เป็นตัวเลือกที่หมายถึงการที่คนส่วนใหญ่จะได้รับการปลดปล่อย เข้าแทนที่การกดขี่โดยคนส่วนน้อย ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ยาก สงครามงี่เง่า และปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ฯลฯ

ปัญหาความขาดแคลนแรงงานในสหรัฐอเมริกา จะทำให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของขบวนการแรงงานได้ไหม

อันที่จริงมันเริ่มขึ้นแล้วด้วยซ้ำ โดยเฉพาะ #striketober มันแหลมคมและเจาะจงเป็นประเด็นๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ มันเกิดขึ้นทั้งในระดับโรงงานและขยายตัวออกเป็นระดับประเทศพร้อมๆ กัน ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า มันจะคงอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน และทุนนิยมจะหยุดมันอย่างไรเสียมากกว่า และเพราะเช่นนี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปร่วมในขบวนการนี้ แสดงออกมาว่าทุนนิยมควรสำนึกได้แล้วว่า การกดค่าจ้างให้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจนไม่สามารถกินอยู่ใช้ชีวิตได้มานานเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครรับได้อีกต่อไป หลายคนปฏิเสธงานโดยตรง พวกเขาบอกว่าพอแล้ว ไม่เอาอีกแล้วกับค่าจ้างห่วยๆ เช่นนี้

ประเด็นการสนับสนุน Bernie Sanders

Jodi Dean สนับสนุนขบวนการ Bernie Sanders ตั้งแต่ยุคแรกๆ ในฐานะที่ขบวนการนี้เป็นการผลักดันความคิดสังคมนิยมให้เข้าสู่การเมืองกระแสหลัก ทำให้สังคมนิยมไม่ใช่แค่เรื่องแฟนซีอีกต่อไป ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดมานานราว ๆ 30 – 40 ปี เข้าแล้ว แต่ในขบวนการระรอกสอง เธอเริ่มมีความกระตือรือร้นในการสนับสนุนน้อยลง เพราะดูยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากกว่าครั้งแรก แต่กระนั้นสิ่งสำคัญที่ต้องระลึกไว้ก็คือ ประเด็น Bernie Sanders เป็นเรื่องของ ‘ขบวนการ’ ไม่ใช่ในฐานะ ‘ตัวบุคคล’ เราต้องไม่ลืมว่ามันคือขบวนการฝ่ายซ้ายขนาดใหญ่ในการเมืองกระแสหลักของอเมริกา และเขาเป็นคนที่จุดขบวนการรอบๆ ตัวเขาติดขึ้น และสิ่งนี้เป็นอะไรนี่น่าตื่นตาตื่นใจ

ประเด็นเรื่องการหวนคืนสู่ความคิดและปฏิบัติการเรื่อง ‘พรรค’

ความสำคัญสามประการใหญ่ๆ ของพรรค

– ประการแรกพรรค หรือองค์กรทางการเมือง ทำให้ขบวนการมีความ ‘คงทนยาวนาน’ และ ‘ยกระดับขยายขอบเขต’ ได้ กล่าวคือ หากเราไม่มีพรรค หรือองค์กรการเมือง ขบวนการต่อสู้ก็อาจเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ ชั่วครั้งชั่วคราว คนมา คนไป กลายเป็นเทศกาล ไม่สามารถต่อยอดยืดยาวได้ แถมการขยายขอบเขตของการต่อสู้ก็เป็นไปได้ยาก ทำให้การต่อสู้มีแนวโน้มจำกัดอยู่ในขอบเขตขนาดเล็ก ต่างจากการมีพรรคซึ่งจะทำให้การต่อสู้เป็นไปในลักษณะที่ยาวนานต่อเนื่องได้ แถมยังยกระดับขยายขอบเขตจากชุมชน ระดับประเทศ และไปถึงระดับโลกได้อีกด้วย

– ประการที่สองซึ่งสำคัญอย่างยิ่งก็คือ การต่อสู้ที่ยาวนานและมีขนาดใหญ่ จำเป็นต้องมี ‘ยุทธศาสตร์’ ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากเราไม่มีองค์กรที่จะสร้างกลุ่มปฏิบัติการเพื่อคิดค้นยุทธศาสตร์และนำไปปรับใช้ ปรับปรุง อีกทั้งความคิดว่าด้วยโลกใบใหม่ หรือไอเดียใหม่ๆ ในระดับใหญ่ๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นผ่านการพูดคุยด้วยคนกลุ่มเล็กๆ ได้

– ประการที่สาม เราจำต้องรู้ว่าใครเป็นใครในขบวนการ ด้วยเหตุนี้ ‘ผู้นำ’ จึงเกิดขึ้นผ่านการต่อสู้ในขบวนการ ผู้นำคือคนที่ทำให้เรารู้ว่าเราสู้อยู่กับใครบ้าง เราไม่ได้โดดเดี่ยวท่ามกลางคนแปลกหน้าทั้งหลาย และสิ่งนี้เกิดขึ้นได้ยากถ้าไม่มีพรรค

เพราะการต่อสู้กับรัฐทุนนิยมและสร้างสรรค์การผลิตรูปแบบใหม่ จำเป็นต้องสั่งสมต่อยอดประสบการณ์ยาวนาน ต้องยึดพื้นที่และยืดขยายการต่อสู้ ต้องมีองค์กรที่ ‘อยู่ตรงนั้นเสมอ’ ไม่ว่าผู้คนจะลงถนนไปหรือไม่ ต้องมีการฝึกนักกิจกรรม เขียนข่าว เขียนบทความ เชื่อมต่อผู้คน เพิ่มความเชี่ยวชาญในประเด็นต่างๆ และขยายขอบเขตทักษะของขบวนการ เป็นต้น สิ่งนี้จะไม่เกิดขึ้นแค่การที่มีคน 20 คนมานั่งคุยกัน และตัวอย่างปัญหาของขบวนการ Occupy Wall Street โดยเฉพาะการใช้พื้นที่การตัดสินใจออนไลน์ก็คือ เราไม่รู้ว่าใครกำลังตัดสินใจ ทำให้การตัดสินใจนั้นไม่อาจส่งผลยาวนานได้ หลายคนอ้างว่าเขาไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นๆ ฉะนั้นแล้ว ‘สมาชิกกลุ่มเป็นใครบ้าง’ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ประเด็นก็คือรูปแบบการต่อสู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจครั้งนั้น อาจเป็นข้อเสียเข้าเสียเองในท้ายที่สุด

สุดท้าย ประเด็นเรื่องกองกำลังของรัฐที่เข้ามาบดขยี้การต่อสู้อย่าง ‘ตำรวจ’ ก็เป็นเรื่องสำคัญ เราไม่อาจปล่อยให้ขบวนการถูกบดขยี้ได้ สิ่งนี้เป็นโจทย์ของการเมืองเบื้องต้น ดังนั้นยุทธศาสตร์การต่อสู้เพื่อสร้างความแข่งแกร่งให้กับขบวนการไม่ให้รัฐมาบดขยี้ได้จึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่แค่หวังว่าตำรวจจะไม่มาบดขยี้เรา (เพราะมันทำแน่นอน)

การสร้างความเป็นสหายในสภาพการณ์ที่ต้องถูก Lock Down

เป็นประเด็นที่ยากมาก แต่การเมืองของความเป็นสหายจะไปด้วยกันกับสามสิ่งที่สำคัญ กล่าวคือ การสร้างกลุ่มศึกษาร่วมกัน การมองโลกในแง่ดีแบบซ้าย และการเข้าหาผู้คน กลุ่มศึกษาเป็นสิ่งที่ทำได้ในรูปแบบออนไลน์ แล้วมันยังเสริมสร้างการมองโลกในแง่ดีแบบซ้ายได้ด้วย แต่สิ่งที่ยากมากๆ คือการเข้าหาผู้คนในช่วงเวลาเช่นนี้ เธอเล่าว่ากลุ่มการเมืองของเธอมีความพยายามสร้างความสนิทชิดเชื้อให้เกิดขึ้นในสภาพการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการพบปะสังสรรค์ออนไลน์ การนำแมวมาโชว์กันอย่างจริงๆ จังๆ หรือการตั้งวงพูดคุยเรื่อยเปื่อย และแน่นอนว่าต้องจัดกลุ่มศึกษาขึ้นมาด้วย แต่กระนั้นการเชื่อมต่อบนชีวิตจริงก็จำเป็น และเป็นโจทย์ที่ท้าทายที่สุด หนทางหนึ่งที่เธอคิดว่าน่าสนใจคือขบวนการแบบที่ชาวอนาคิสต์ทำอยู่ เช่นกลุ่มช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันซึ่งเป็นทางแก้ปัญหาที่ดีมาก เพราะมันคือการสร้างหนทางการเชื่อมต่อกับผู้คนในแบบใหม่ๆ

ประเด็นเรื่องอินเตอร์เน็ต

คำถามที่เราต้องเลิกถามคือการถามว่ามันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ เพราะมันคือโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นจริงในปัจจุบันของเรา ลองคิดถึงถนน ดินสอ หรืออื่นๆ เราอาจบอกว่าถนนมันทำให้เรารวมตัวง่ายขึ้น แต่กองทัพก็เข้ามาบดขยี้เราได้ง่ายขึ้นเช่นกัน ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่มันดีหรือไม่ดีในตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่อง แต่สิ่งจำเป็นคือการวิเคราะห์และดูว่ามันทำงานอย่างไร และเราจะฉวยใช้มันให้เป็นประโยชน์ต่อขบวนการ โดยไม่หลงติดหล่มไปกับกลวิธีที่มันใช้บงการเราได้อย่างไรเสียมากกว่า ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ เราคงไม่ได้ถือว่าการวัดยอดไลก์ในเฟสบุ๊คจะเป็นประเด็นสำคัญที่วัดชัยชนะของเรา แต่เราจะใช้มันเพื่อกระจายข่าวและการเพิ่มยอดไลก์ก็เป็นเพียงหนทาง ไม่ใช่เป้าหมาย อินเตอร์เน็ตเป็นที่สำหรับแมว สำหรับการแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมา

ประเด็นเรื่องวัคซีนกับการเชื่อใจรัฐ

เราอาจต้องคิดถึงสี่งที่เรียกว่า ‘การวิพากษ์เหลื่อมซ้อน’ ซึ่งในกรณีนี้หมายถึงการที่ในขณะเดียวกัน เราคงไม่เชื่อใจรัฐบาล เพราะว่ารัฐบาลมักตัดสินใจผิดพลาดและตุกติกกับเราตลอดเวลา แต่เราก็ต้องพึงระลึกว่า ประโยชน์ของวัคซีนเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ แล้วเราควรพิจารณาให้การศึกษาข้อเท็จจริงตรงนั้นว่า วัคซีนมีประโยชน์ในทางวิทยาศาสตร์ และเราสามารถฉีดวัคซีนพร้อมๆ กับไม่เชื่อใจรัฐบาลได้ในเวลาเดียวกัน

.

เราจะสร้างความเป็นสหายระหว่างกันในงานเปราะบาง หรืองานที่ถูกมองว่าเป็น ‘ผู้ประกอบการ’ ได้อย่างไร

ประเด็นนี้มีความซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะงานเปราะบางสร้างภาพลวงของการเป็นนายทุนน้อยหรือผู้ประกอบการขึ้นมา เช่น ไรเดอร์ส่งของทั้งหลายอาจมีรถใช้เอง ทำให้รู้สึกว่าเป็นผู้ประกอบการ เป็นนายทุนน้อยในทางเทคนิค ฯลฯ แต่กระนั้นเราก็ต้องพึงระลึกว่าพวกเขาไม่มีทางเลื่อนขั้นกลายเป็นชนชั้นนายทุนใหญ่ได้ นายทุนน้อยไม่ใช่ศัตรูสำหรับเรา แถมอันที่จริง มันคือรูปแบบการขูดรีดใหม่เสียด้วยซ้ำ เราจำเป็นต้องคิดว่าศัตรูที่สำคัญของเราคือชนชั้นนายทุนใหญ่ นายทุนการเงิน และเราต้องรวมตัวกันเป็นสหภาพ สร้างการเมืองเพื่อต่อต้านพวกนั้น มากกว่าที่จะมาแบ่งแยกกันเอง อีกทั้งการสร้างสหภาพแรงงานที่เปราะบาง ก็ยังช่วยดันไม่ให้ค่าแรงของแรงงานมั่นคงไม่ตกต่ำไปกว่านี้อีกด้วย

ปมปัญหาความขัดแย้งของสหรัฐอเมริกากับจีนมีผลกับขบวนการแรงงานหรือไม่

มีแน่นอน เพราะฝ่ายซ้ายในอเมริกาบางส่วนยอมรับความเป็นจักรวรรดินิยมอเมริกาได้ และนี่ทำให้เกิดปัญหา เพราะการที่สหรัฐอเมริกาแผ่ขยายอิทธิพลเข้าปะทะจีนทำให้เกิดกลุ่มปฏิกิริยาในฝ่ายซ้าย อันทำให้ขบวนการถดถอยได้

ว่าด้วยปมปัญหาและทางออกของการเมืองไทย

ประเด็นนี้เธอไม่สามารถตอบได้ เพราะคนในท้องถิ่นย่อมเป็นผู้ที่รู้ดีที่สุด แต่เธอเสนอไอเดียของเลนินว่า การที่ระบบจะเปลี่ยนแปลงได้นั้น ย่อมมาจากปัจจัยหลักสองประการ คือ ชนชั้นล่างไม่อยากอยู่ในสังคมแบบนี้อีกต่อไป และในขณะเดียวกัน ชนชั้นปกครองก็ไม่อาจปกครองในสภาพนี้ต่อไปได้อีกแล้ว.