by sometimes.DinDeng | Feb 14, 2024 | Articles บทความ, English, Translation, สตรีนิยม Feminism, ไทย
แรง(งานของความ)รัก
แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษโดยดินแดง
The search for love, dating, is often described as a marketplace, another market where commodities are bought, sold and traded. Love, then, becomes just another commodity to be fetishised. How can we find love under the capitalist patriarchal system and more importantly how can that love ever be reciprocal?
การออกเดท การตามหารักมักถูกนิยามว่าเหมือนเป็นตลาด สถานที่อีกแห่งที่มีสินค้าให้ซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ความรักนั้นกลายเป็นสินค้าอีกชิ้นให้ใคร่หา แต่เราจะหาความรักภายใต้ระบบทุนนิยมชายเป็นใหญ่ได้อย่างไร หนักกว่านั้น ความรักที่เรามีจะเอื้อต่อกันและกันได้อย่างไร?
The patriarchy and capitalism are constantly evolving, and so too are our intimate relations within those. With technological encroachment, our romantic expectations for relationships have become increasingly alienated by mechanisation. Once you could meet someone at an event or a cafe. There could be a real flesh-and-bone interaction, the catching of eyes, the subtle physical cues, that electric feeling with the presence of the person before you. Now on your screen, you either swipe left or right. It’s like buying a bunch of lottery tickets or trying on a haul of clothes in a fitting room of a chain store their products brought in from sweatshops in the global south. The process of finding love has lost its lustre or lost its humanity, replaced by a cold alienated mechanisation.
ชายเป็นใหญ่และทุนนิยมนั้นวิวัฒนาการมาอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่ต่างกันกับความสัมพันธ์ใกล้ชิดที่เรามีภายใต้ระบบนี้ เมื่อเทคโนโลยีรุกล้ำชีวิต ความคาดหวังเชิงโรแมนติกที่เรามีต่อความสัมพันธ์นั้นก็แปลกแยกขึ้นทุกวันด้วยสิ่งที่คล้ายเครื่องจักรนี้ หากได้เจอใครสักคนที่งานอีเว้นท์หรือคาเฟ่ใดก็ตาม เราก็อาจจะได้รู้จักมักจี่กันแบบซึ่งๆ หน้า สบตา อ่านท่วงท่าอันละเอียดอ่อน รู้สึกหรือรับรู้กระแสไฟฟ้าของการมีใครคนนั้นอยู่ต่อหน้า ตอนนี้บนหน้าจอ คุณเลือกได้ว่าจะปัดซ้ายหรือขวา คล้ายกันกับการซื้อหวยชุดใหญ่หรือลองเสื้อผ้าชุดแล้วชุดเล่าในห้องลองของแบรนด์ใหญ่ที่ผลิตจากโรงงานนรกในซีกโลกใต้ มันไม่มีความเย้ายวนหรือมิติความเป็นมนุษย์ในขั้นตอนการตามหารักต่อไป เพราะมันถูกแทนที่ด้วยกระบวนการราวกับเครื่องจักรอันเยือกเย็นและแปลกแยกเสียแล้ว
The rules of the dating game are changing as well, it’s still not clear whether newly popularised concepts like Ethical non-monogamy and polyamory can be progressive or oppressive developments under the capitalist patriarchal system. The question becomes, how can there ever be justice in any endeavour of love under that oppressive system?
กฎของการออกเดทนั้นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ยังไม่ค่อยแน่ชัดว่าแนวคิดความไม่มีคู่ครองคนเดียวอย่างมีจริยธรรมและการรักกันหลายคนที่เพิ่งจะนิยมกันนั้นเป็นพัฒนาการที่ก้าวหน้าขึ้นหรือกดขี่มากขึ้นกันแน่ ภายใต้ระบบทุนนิยมชายเป็นใหญ่นี้ คำถามมันเลยมีอยู่ว่า แล้วมันจะมีความยุติธรรมในความพยายามที่จะรักภายใต้ระบบอันกดขี่นี้ได้อย่างไร?
Commodification
Intimacy is becoming a commodity. This commodification stretches across the spectrum of deep feelings, interactions, sexual desires and even our own gender identities. Today, a resume for a job application and a resume for love are not so different. In dating apps, it’s now typical to put in your academic qualifications, skills, professions, height, etc. Your profile becomes fungible to potential dates or potential partners somewhere out there on the internet. Of course, one could rightly argue that dating has been tied to marketing since the time of our grandparents.
แล้วเราก็กลายเป็นสินค้า
ความใกล้ชิดนั้นได้กลายเป็นอีกสินค้าหนึ่ง ทั้งความรู้สึกลึกๆ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ความปรารถนาทางเพศ แม้กระทั่งอัตลักษณ์ทางเพศของเราก็ถูกทำให้เป็นอีกหนึ่งสินค้าไปแล้ว ทุกวันนี้เรซูเม่สมัครงานกับเรซูเม่ตามหารักนั้นแทบจะไม่ต่างกัน แอพหาคู่ตอนนี้ก็ปกติแล้วที่จะใส่แบ็คกราวน์ทางวิชาการ ความสามารถ อาชีพ ส่วนสูง และอื่นๆ ประวัติของคุณนั้นกลายเป็นของแลกเปลี่ยนได้ให้คู่เดทหรือคู่ครองที่อยู่ข้างนอกนั้นตรงไหนสักแห่งในโลกอินเทอร์เน็ต แน่นอนว่า อาจจะพูดได้ว่าการหาคู่นั้นก็ผูกโยงอยู่กับตลาดตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายแล้ว
However, with the encroachment of capitalism into every faucet of our lives intimacy has become more of an economic value, causing our love life to be a calculatable part of our existence, just like our work. We need to make sure that our dates have stable jobs and that he/she/they can pay the bills if we go to fancy restaurants, whether they have properties or are part of an aspirational social class. You have to put yourself out in the open market or the supposed free market, where you have to compete with one another in order to attract the potential date.
แต่กระนั้น ความละลาบละล้วงที่ทุนนิยมมีในทุกมิติของชีวิตเราทำให้มันกลายเป็นคุณค่าทางเศรษฐกิจมากขึ้น และชีวิตรักของเราเป็นแค่การคิดคำนวณอีกอย่างในชีวิตเรา ไม่ต่างกับงาน เราต้องแน่ใจว่าคู่เดทของเรามีการงานที่มั่นคง และเธอหรือเขาจ่ายบิลค่าข้าวได้ตอนไปกินร้านแพงๆ หรือไม่ก็ พวกเขามีทรัพย์สินอะไรไหนหรือเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นที่น่าจะประสบความสำเร็จอะไรสักอย่างรึเปล่า คุณต้องเอาตัวเองออกไปในตลาดอันเปิดกว้างหรือที่ๆ ดูเหมือนจะเป็นตลาดเสรี ที่ที่คุณต้องแข่งขันกันเพื่อดึงดูดคู่เดท
Your “self” presentation on the internet is a version of you that has been carefully curated, objectifying yourself in the best way possible. Today, regressive beauty standards have come back hugely in dating apps, you don’t want to post your pictures where your belly is out or your arms look big. In recent years, we have been sold body positivity, feminist advocacy on body image and the debunking the beauty myths and standards. But it seems like in the end patriarchy wins, since beauty standards play a big role in online dating sites, and hence the commodification of our bodies has returned. On these online dating apps, you need to have the utmost skills to present your best self including not only your physicality but also your personality. Your entire identity becomes a commodity. You need to convince others why you’re different or unique. High-profile feminist dating coach Evan Marc Katz wrote:
“Whether you’re a man or a woman, if you sound like everyone else, it will be really hard for someone to come up with a way to write to you. How do you initiate conversation with a man when all he writes is that he wants a woman who’s “kind, smart, funny, considerate, romantic, sexy, and athletic”? Well, I guess you could say “Hi, I’m kind, smart, funny, considerate, romantic, sexy, and athletic. I think we’d be a perfect match.” I don’t think so.”
ภาพแทนของ “เราเอง” ในอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นตัวตนอีกฉบับของเราที่เราคัดสรรมาเป็นอย่างดี เลือกแล้วว่า เราจะเป็นวัตถุนี้อย่างดีที่สุด ทุกวันนี้ มาตรฐานความงามอันล้าหลังนั้นกลับมาอีกครั้งในแอพหาคู่ คุณไม่อยากโพสต์รูปพุงยื่นๆ หรือรูปแขนใหญ่ๆ ของคุณ ในไม่กี่ปีมานี้ เราซื้อความคิดบวกต่อร่างกายของเราแล้ว เฟมินิสต์ก็ออกมาเรียกร้องเรื่องรูปร่าง รื้อสร้างมาตรฐานและความเชื่อต่างๆ เรื่องความสวยงาม แต่ดูเหมือนว่าชายเป็นใหญ่ก็ยังชนะไปในที่สุดอยู่ดี เพราะมาตรฐานความงามก็ยังเป็นเรื่องใหญ่ในแอพหาคู่ แล้วเราก็กลับมาทำให้ร่างกายเราเป็นสินค้ากันอีกครั้ง ในแอพหาคู่ออนไลน์พวกนี้ คุณต้องมีความสามารถสูงมากเพื่อนำเสนอตัวเองอย่างดีที่สุด ไม่ใช่แค่ทางกายเท่านั้น รวมถึงบุคลิกภาพด้วย ตัวตนทั้งหมดของเรานั้นกลายเป็นสินค้า คุณจำเป็นที่จะต้องโน้มน้าวให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองแตกต่างหรือโดดเด่นกว่าคนอื่นยังไง Evan Marc Katz กูรูการเดทเฟมินิสต์ชื่อดังเขียนว่า
“ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ถ้าคุณดูไม่ต่างจากคนอื่นเลย ก็อาจจะยากหน่อยที่จะให้ใครสักคนเริ่มส่งข้อความหาคุณ คุณจะเริ่มคุยกับผู้ชายที่เขียนว่ากำลังมองหาผู้หญิงที่ “ใจดี ฉลาด ตลก เห็นอกเห็นใจคนอื่น โรแมนติก เซ็กซี่ และชอบเล่นกีฬา”? ได้ยังไง อย่างไรก็ตาม คุณก็อาจจะพูดได้ว่า “หวัดดี เราใจดี ฉลาดเห็นอกเห็นใจ คนอื่น โรแมนติก เซ็กซี่ และชอบเล่นกีฬา คิดว่าเราน่าจะเข้ากันได้ดี” และเขาอาจจะตอบ “แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น”
The presentation of self, which Eva Ullouz describes in her book “Cold Intimacies”, is the disembodied self where people use those standardized written languages to actually dissociate themselves from the actual self, but rather create this uniformity, standardized and reified version which they created through their established conventional desirable person in their mind.
Eva Ullouz อธิบายการนำเสนอตัวเอง ไว้ในหนังสือ “ความใกล้ชิดอันเยือกเย็น” (Cold Intimacies) ของเธอ ว่าเป็นตัวตนที่ไม่ปะติดปะต่อกันของคนใช้ภาษาเขียนแบบมาตรฐานเพื่อแยกตัวเองออกจากตัวจริงของตน และสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ขึ้นมา มันดูเป็นมาตรฐานและดูเหมือนจริง และสร้างขึ้นจากรูปแบบคนที่น่าปรารถนาตามขนบในความคิดของตัวเอง
Alienation of yourself
There are a lot of cliché around love. Some of them involve gender roles and expectations, of gendered behaviours in love. How one is supposed to behave if they are a specific gender. If you’re a woman you have to wait for a proposal, you have to be protected, you shouldn’t pay the bills, etc. Even today, among supposedly progressive people, these generalisations still reflect the realities on the ground. Even if the dowry is considered a thing of the past, the reality on the ground in Thailand is that it still commodifies women as a possession of parents.
แปลกแยกจากตัวเอง
ความรักเองก็มีหลายประเด็นคลิเช่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบทบาท ความคาดหวังทางเพศ และพฤติกรรมทางเพศต่างๆ ในความรัก ถ้าเรามีเจนเดอร์หรือเพศสภาพแบบใดแบบหนึ่ง เราจะต้องทำตัวยังไง ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องรอให้อีกฝ่ายเริ่มก่อน ต้องมีคนมาเคยปกป้อง ไม่ควรจ่ายบิล และอื่นๆ แม้กระทั่งทุกวันนี้ ในกลุ่มคนที่เหมือนจะก้าวหน้า คำกล่าวง่ายๆ แบบนี้ก็ยังมีเค้าของความจริงอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าสินสอดทองหมั้นจะดูเหมือนเป็นเรื่องตกยุคไปแล้ว แต่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในไทย มันก็ยังมาใช้ทำให้ผู้หญิงเป็นสินค้าในฐานะข้าวของของพ่อแม่ได้อยู่
The higher capitalist status a woman possesses, be it in education, level of income, profession, or language skills, the higher the dowry rate will be. Social relationships and parents have groomed their children to obtain capitalistic values, so when their fruits are ready to be harvested, they can be certain they will get the highest yield. This commodity system is not disadvantageous for only women, it also pressures men to be the perfect “breadwinner”, for a family to be a suitable mate for their partner. It puzzles queer or LGBTQ people’s parents as this dowry system works so well in the binarism culture and destroys what they expected to gain from their children.
ยิ่งผู้หญิงคนนั้นมีสถานะทางทุนนิยมสูงเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา รายได้ อาชีพ หรือทักษะทางภาษาก็ตาม ค่าสินสอดของพวกเธอก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ความสัมพันธ์ต่างๆ ในสังคมและครอบครัวต่างก็ปูทางให้เด็กๆ ได้มีคุณค่าแบบทุนนิยม เมื่อผลพร้อมให้เก็บเกี่ยว พวกเขาก็จะได้มั่นใจว่าจะได้ผลลัพธ์มากที่สุด ระบบสินค้าแบบนี้ไม่ได้แย่ต่อผู้หญิงเท่านั้น มันยังกดดันให้ผู้ชายต้องเป็นคน “หาเลี้ยง” เพื่อครอบครัวจะได้เป็นคู่ครองที่เหมาะสมที่สุด เรื่องนี้นั้นยังถือว่าน่างุนงงสำหรับบ้านที่มีสมาชิกเพศทางเลือกอยู่มาก เพราะระบบสินสอดนั้นเข้ากันได้ดีกับวัฒนธรรมสองขั้ว และทำลายสิ่งที่พวกเขาคาดหวังว่าจะได้จากลูกไป
Violence
Together with the expectations, modern-day love also normalises violence in all sorts of forms that are emotional, economic, physical and cultural. In 2024, we even see a popularisation of tradwives with little mention of traditional families/marriages/husbands. Whereas in our experiences we see gaslighting, love-bombing, and non-formalised relationships…
ความรุนแรง
ความคาดหวัง ความรักในยุคใหม่นี้ทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติไปซะแล้ว มันเป็นความรุนแรงในหลายๆ รูปแบบ ทั้งทางอารมณ์ เศรษฐกิจ ทางกาย หรือทางวัฒนธรรม ในปี 2024 เรายังเห็นคำว่า tradwifves (แม่บ้านตามขนบ) กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง แต่แทบไม่เห็นคำว่า ครอบครัว/การแต่งงาน/สามีตามขนบเลย ในขณะที่ประสบการณ์ของเรานั้นเห็นแต่แก๊สไลท์ (ปั่นหัว) เลิฟบอมป์ (ทุ่มความรัก) และความสัมพันธ์แบบไม่เป็นทางการต่างๆ มากมาย…
Emotional unavailability becomes abundant under capitalism whereby most of us are trying to make ends meet at the end of the month– lives are lived in a constant state of precarity. Quality of life has reduced tremendously in the last few decades and our generation are losing a grip on the essence of living your life to the fullest, like we are born into precarity with inherited depression and anxiety.
การไม่สามารถเข้าถึงหรือรับรู้อารมณ์ได้นั้นพบได้ทั่วไปในระบบทุนนิยมที่เราส่วนใหญ่พยายามชักหน้าให้ถึงหลังในแต่ละเดือน – เราต้องใช้ชีวิตอยู่ในภาวะอดอยากขาดแคลนอยู่ตลอดเวลา คุณภาพชีวิตเองก็ตกต่ำลงอย่างน่าใจหายในไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา คนรุ่นเราก็ไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้เต็มที่ที่สุด เหมือนกับว่า เราเกิดมาท่ามกลางความขาดแคลนและได้รับมรดกเป็นโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า
This might have been with us since our parents’ time, perhaps back then they just didn’t know what to call panic attacks or anxiety attacks or PTSD etc. Looking for love, looking for “the one” has been a constant quest for most of us while living under these precarious conditions, with serious loneliness in our lives. But how do we find “the one” when our emotions and feelings are commodified and tailored to fit into the capitalist lifestyle?
ประเด็นนี้อาจจะอยู่กับเรามาตั้งแต่ยุคพ่อแม่ แต่ในตอนนั้น เราอาจจะไม่รู้หรือเรียกมันว่าอาการแพนิก อาการวิตกกังวล หรือ PTSD การตามหารัก การตามหา “คนที่ใช่” เป็นภารกิจต่อเนื่องของเราส่วนใหญ่ ในขณะที่ยังคงต้องใช้ชีวิตอยู่กับความขาดแคลนและความโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างแสนสาหัสในชีวิตของเรา แต่เราจะหา “คนที่ใช่” อย่างไร ในเมื่ออารมณ์และความรู้สึกถูกทำให้เป็นสินค้าและดัดแปลงให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ทุนนิยม?
How can anyone really love a commodity? Especially if you are a woman or from a marginalized gender, living with the constant fear of being sexually exploited while looking for “the one” or even going on casual dates. So too managing the discrepancy of power between the global north and south that people might favour you for their fetishism of your culture or perceived subservience.
แล้วใครกันล่ะ จะสามารถรักสินค้าได้อย่างจริงแท้? โดยเฉพาะถ้าคุณเป็นผู้หญิงหรือเพศชายขอบ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวว่าจะโดนหาเศษหาเลยอยู่ตลอดเวลา ระหว่างที่ต้องตามหา “คนที่ใช่” ต้องออกไปเดทแบบชิลๆ หรือบริหารอำนาจที่ไม่เท่ากันระหว่างซีกโลกเหนือและโลกใต้ ที่คนอาจจะมาชอบเรา เพราะความใคร่ในวัฒนธรรมบางอย่าง หรือคิดไปแล้วว่าอีกฝ่ายนั้นยอมคน
bell hooks said that patriarchy teaches that “masculinity has to be proved by the willingness to conquer fear through aggression”. We can fear that we will lose what/whom we love but most of the time, these fears are tragically expressed in violent forms. Sexual violence is the oldest crime, a crime that is still permitted at large today.
bell hooks บอกว่าชายเป็นใหญ่นั้นสอนให้ “ต้องพิสูจน์ความเป็นชายด้วยการยินดีที่จะใช้ความก้าวร้าวเพื่อเอาชนะความกลัว” เรากลัวได้ ว่าเราจะสูญเสียสิ่ง/คนที่เรารัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่คือความกลัวพวกนี้มันถูกแสดงออกมาในรูปแบบที่รุนแรง ความรุนแรงทางเพศนั้นเป็นอาชญากรรมที่มีอายุยืนยาวที่สุด และยังคงได้รับอนุญาตให้เกิดขึ้นในทุกวันนี้
Patriarchy and Male Domination
Patriarchy is something we don’t talk about in our intimate relationships or in our modern day love endeavors. It’s always around the corner. It is something we put under the rug. Patriarchy as bell hooks said, “it’s a social disease of our society”. It affects every organ, not only in our intimate relationships but also in our political systems, economic and socio-cultural systems. Male domination is the underlying turmoil that always happens to be overlooked before we try to change anything.
ชายเป็นใหญ่และอำนาจครอบงำของเพศชาย
ชายเป็นใหญ่นั้นเป็นอะไรที่เรามักไม่ค่อยพูดคุยกันในความสัมพันธ์ใกล้ชิดของเราหรือในความรักสมัยใหม่ ประเด็นนี้มักจะคอยซ่อนอยู่ในหลืบเสมอ และถูกปัดไปซุกไว้ใต้พรม ชายเป็นใหญ่นั้นก็เหมือนกับที่ bell hooks กล่าวไว้ว่าเป็น “โรคร้ายในสังคมของเรา” มันส่งผลกับอวัยวะทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่ยังส่งผลกับระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม-วัฒนธรรม การครอบงำของเพศชายนั้นเป็นความวุ่นวายที่ซ่อนอยู่ภายใต้ระบบพวกนี้ มันมีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ถูกมองข้ามไปเสมอ ก่อนที่เราจะพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง
Male privilege is also something we are reluctant to talk about, as it always brings along with it masculine resentment and patriarchal grievances. A lot of our male friends are not comfortable if we want to talk about fairness and justice in our gendered world. Most of them will still insist upon the physical differences we have, the large number of female labour forces in the factory or girls going out at night, making their way to the bars and being able to move relatively freely.
อภิสิทธิ์ของเพศชายนั้นก็เป็นอีกสิ่งที่เราไม่ค่อยพูดถึงกัน เพราะเมื่อไรก็ตามที่พูดเรื่องนี้เรื่องความขุ่นเคืองของเพศชายและความเจ็บใจของชายเป็นใหญ่ เพื่อนผู้ชายหลายคนนั้นคงไม่สบายใจถ้าเราต้องการพูดคุยเรื่องความเป็นธรรมและความยุติธรรมในโลกที่แบ่งเพศของเรา หลายคนก็ยังคงยืนยันว่าเรานั้นแตกต่างกันด้วยร่างกาย และก็มีผู้หญิงส่วนใหญ่อยู่ในตลาดแรงงานในโรงงาน หรือก็มีผู้หญิงที่ยังออกไปเที่ยวกลางคืน ไปบาร์นั้นบาร์นี้ได้อย่างอิสระ
Society is centred around men, and the standardisation is to look up to them. The “cool detached” masculinity, removed from emotional intimacy, is the epitome of what everyone should be in this dating culture; anyone who exhibits this coolness then has the upper hand in the relationships. Men are usually seen as providers or protectors whereas women are seen as receivers or carers. The power imbalance in intimate relations is obvious not only in sexual relationships but also in the other aspects of the relationships..
สังคมนั้นให้ผู้ชายเป็นศูนย์กลาง แล้วก็สร้างมาตรฐานให้เราต้องคอยมองผู้ชายเป็นแบบอย่าง ความเป็นชายที่ “คูลและไม่ค่อยแคร์” ไม่โยงอยู่กับความใกล้ชิดกับอารมณ์ นั้นเป็นจุดสูงสุดที่ทุกคนควรจะเป็นในวัฒนธรรมหาคู่นี้ ฝ่ายที่แสดงออกแบบคูลๆ นี้ก็จะถือไพ่เหนือกว่าในความสัมพันธ์ไปโดยปริยาย เพศชายนั้นมักถูกมองว่าเป็นคนที่คอยหาอะไรมาให้และเป็นผู้ปกป้อง ในขณะที่เพศหญิงนั้นถูกว่ามองเป็นผู้รับและผู้ดูแล ความสัมพันธ์ทางอำนาจที่ไม่เท่ากันในความสัมพันธ์ใกล้ชิดนั้นชัดเจนมาก ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางเพศ แต่ก็ยังเป็นในมุมอื่นๆ ของความสัมพันธ์ด้วย…
The gendered power relations can be understood through how decisions are made within our families, in public spaces, and in government offices– in all aspects of the society. As women or marginalized genders, we normally aren’t allowed to have opinions or even to speak up about our thoughts and feelings. Women are supposed to be passive, and submissive and to always be ready to give up dreams and their wants in society. The expectations we have in society of men and women are based on these gendered power relations.
ความสัมพันธ์ทางอำนาจในมิติทางเพศนั้นสามารถทำความเข้าใจผ่านการตัดสินใจในครอบครัว ในพื้นที่สาธารณะ ในสำนักงานราชการ— ในทุกมิติของสังคม ว่าตัดสินใจอย่างไร ในฐานะของผู้หญิงหรือเพศชายขอบ เรามักจะไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้มีความเห็นหรือพูดเรื่องความคิดและความรู้สึกของเรา ผู้หญิงนั้นควรไม่กระโตกกระตาก ยอมคน และพร้อมทิ้งความฝันและความต้องการในสังคมเสมอ ความคาดหวังต่างๆ ที่เรามีในสังคมต่อผู้ชายและผู้หญิงนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในมิติทางเพศต่างๆ นี้
Love Under Patriarchy Is Never An Emancipated Love
No one really knows what came first, capitalism or patriarchy. But what we know for sure is they both operate so well together that we let it unconsciously slide into our lives. It prioritises the man as the centre and the foremost achievable sex in every aspect, while “the rest”, women, queer, lesbian, gay, and others get just minor roles in the stage of life. The masculine exists in “public” spheres while the feminine should remain the host in “private” spheres.
ความรักภายใต้ชายเป็นใหญ่นั้นไม่ใช่ความรักที่ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
ไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วอะไรมาก่อน ทุนนิยมหรือชายเป็นใหญ่ แต่สิ่งที่เรารู้แน่ๆ คือทั้งสองอย่างทำงานไปด้วยกันอย่างดี และเราให้มันมีอิทธิพลต่อชีวิตโดยไม่ได้รับรู้เท่าไรนัก ระบบนี้ให้อภิสิทธิ์กับผู้ชายราวกับเป็นตัวเอกและเป็นเพศที่ประสบความสำเร็จก่อนเพศอื่นในทุกด้าน ในขณะที่ “คนที่เหลือ” ผู้หญิง เควียร์ เลสเบี้ยน เกย์ และคนอื่นนั้นได้รับแค่บทรองๆ ในเวทีชีวิตเท่านั้น ความเป็นชายนั้นอยู่ในที่ “สาธารณะ” ในขณะที่ผู้หญิงควรเป็นคนที่เป็นคนดูแลในพื้นที่ “ส่วนตัว”
Forms of capitalist patriarchal love can be subtle or explicitly violent, they are always with us in our daily lives. Norms around love, marriage, sex and intimacy may have changed, but the power struggle between genders is present. We have seen too many cases of “solo poly” men surrounded by tremendous amounts of emotional labour from their female partners. In fact, the patriarchy seems even stronger than before with the help of social media. Social media personnel such as Andrew Tate has had such a big influence on Gen Z that a recent survey showed that most young people have a positive opinion about this misogynist social media influencer.
รูปแบบความรักทุนนิยมชายเป็นใหญ่นั้นสามารถเห็นได้ชัดว่ารุนแรงหรือจะเป็นไปแบบแอบๆ ก็ได้ มันอยู่กับเราตลอดในชีวิตประจำวัน บรรทัดฐานของความรัก การแต่งงาน เพศ และความใกล้ชิดนั้นอาจจะเปลี่ยนไป แต่การต่อสู้ของอำนาจระหว่างเพศนั้นยังมีอยู่ เราเห็นผู้ชาย “โซโล โพลี่” หลายต่อหลายคนถูกห้อมล้อมไปด้วยแรงงานทางอารมณ์จากพาร์ทเนอร์ผู้หญิงทั้งหลาย ที่จริงแล้ว ชายเป็นใหญ่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำจากโซเชียลมีเดีย คนสำคัญในโซเชียล เช่น Andrew Tate นั้นมีอิทธิพลสูงมากต่อเจนซี แม้กระทั่งเซอร์เวย์ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าคนอายุน้อยนั้นมีความเห็นเป็นไปในเชิงบวกต่ออินฟลูเอนเซอร์ที่เหยียดเพศหญิง
Alongside these dangerous social media influences, liberal feminism’s contribution to the patriarchy shouldn’t be forgotten as well. A strong advocate of individual empowerment and “women can do it” attitude. Liberal feminism creates a double standard on women’s roles in both private and public spheres. Expecting women to be champions in households who are portrayed as strong women with kids and happy families meanwhile they are in the boardrooms of companies. That portrayal totally ignores the class dimension of the feminist struggle which intersects on race, class and gender. Today’s patriarchy is at the trajectory of capitalism and sexism holds deep intertwined roots on which the foundation of our society is grounded.
นอกจากอิทธิพลจากโซเชียลมีเดียที่อันตรายอย่างนี้แล้ว เราก็จะลืมสิ่งที่ลิเบอรัลเฟมินิสต์มีส่วนต่อชายเป็นใหญ่ การรณรงค์เรื่องการให้อำนาจส่วนตัวและทัศนคติแบบ “ผู้หญิงก็ทำได้” ลิเบอรัลเฟมินิสต์นั้นสร้างสองมาตรฐานของบทบาทของเพศหญิงทั้งในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่สาธารณะ คาดหวังว่าผู้หญิงจะต้องเก่งในบ้าน มีภาพว่าเป็นผู้หญิงแกร่งที่มีลูกและครอบครัวสุขสันต์ ในขณะที่ยังต้องอยู่ในคณะผู้บริหารของบริษัท การเสนอภาพแบบนี้นั้นหลงลืมมิติของชนชั้นในการต่อสู้ของเฟมินิสต์ที่เกี่ยวโยงอยู่กับเชื้อชาติ ชนชั้น และเพศ ชายเป็นใหญ่ในทุกวันนี้นั้นอยู่ในกระแสของทุนนิยมและการเหยียดเพศนั้นมีรากที่เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งอยู่ที่ซึ่งฐานของสังคมเรานั้นตั้งอยู่
In the end, what do we want?
There is a quote from Beautiful World: Where Are you? By Sally Rooney, “Because when we should have been reorganizing the distribution of the world’s resources and transitioning collectively to a sustainable economic model, we were worrying about sex and friendship instead. Because we loved each other too much and found each other too interesting. And I love that about humanity, and in fact it’s the very reason I root for us to survive – because we are so stupid about each other.” This ability to love fully should be the most humanizing act possible in capitalism. We want a love that is free from manipulation, guilt, and lies for power… In and for love — we want the “life-affirming” / care actions to prove that we are still humans who are capable of connecting with one another and that love is action after action, not just feelings removed of any agency. To love, we must be conscious and make choices to be loving again and again.
ในที่สุดแล้ว เราต้องการอะไร?
โควทจากหนังสือเรื่อง ขอแค่โลกรักเพียงพักเดียว (Beautiful World: Where Are You?) โดย Sally Rooney “เพราะในขณะที่เราควรไปยุ่งอยู่กับการแบ่งทรัพยากรโลกเสียใหม่และเปลี่ยนผ่านไปสู่รูปแบบเศรษฐกิจยั่งยืนร่วมกัน เรากลับกังวลเรื่องเซ็กส์และมิตรภาพแทน เพราะเรารักกันมากเกินไปและเห็นว่าแต่ละคนน่าสนใจเกินไป ฉันชอบสิ่งนั้นของมนุษย์ และเหตุผลนี้นี่เองที่ฉันอยากให้เรารอดชีวิต – เพราะว่าเราลุ่มหลงกันและกันอะไรอย่างนี้” ความสามารถที่จะรักจนเต็มอกนี้ควรเป็นการกระทำที่มีมนุษยธรรมที่เป็นไปได้อย่างที่สุดแล้วในทุนนิยม เราต้องการความรักที่ปราศจากการควบคุม ความรู้สึกผิด และการโกหกเพื่ออำนาจ… ด้วยรักและเพื่อรัก – เราต้องการการกระทำที่ “ให้คุณค่าของชีวิต” / เอาใจใส่ เพื่อพิสูจน์ว่าเรายังเป็นมนุษย์ที่สามารถเชื่อมโยงกับอีกคนหนึ่งได้ และความรักคือการกระทำแล้วการกระทำเล่า ไม่ใช่แค่ความรู้สึกที่ปราศจากอำนาจที่กำหนดใดๆ หากจะรัก เราต้องรู้ตัวและตัดสินใจว่าจะรัก อีกครั้งและอีกครั้ง
Further Readings
อ่านเพิ่มเติม
all about love, bell hooks
The Radicality of Love, Srećko Horvat
https://www.theguardian.com/news/2024/feb/01/gen-z-boys-and-men-more-likely-than-baby-boomers-to-believe-feminism-harmful-says-poll
https://www.versobooks.com/en-gb/blogs/news/2499-love-s-labour-s-cost-the-political-economy-of-intimacy?_pos=1&_psq=inti&_ss=e&_v=1.0
by sometimes.DinDeng | Jan 6, 2024 | Articles บทความ, การประท้วง Protest, สิ่งแวดล้อม Environment, ไทย
“แล้วต้องอพยพไหมเนี่ยน้า มันเค็มขนาดนี้”
“เราจะไม่หนีนะ เราจะอยู่บ้านเรา” น้าผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านหนองไทรพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงสดใส
ชีวิตคนในอีสาน ณ หมู่บ้านหนองไทรต้องทนทุกข์มานานหลายสิบปีจากผลกระทบการทำอุตสาหกรรมเกลือ ถึงแม้ว่านี่จะไม่ใช่วิบากกรรมจากเกลืออีสานครั้งแรก แต่รากเหง้าของปัญหายังคงไม่ได้รับการแก้ไข ความเสียหายนานาประการไม่ได้เกิดเพียงเพราะการมีผู้ประกอบการเหมืองจอมละโมบเห็นแก่ตัว ที่ละเลยมาตราการป้องกันสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่หากพิจารณาดูดีๆ ภายใต้ระบบเศรษฐกิจปัจจุบัน การทำให้ทรัพยากรกลายเป็นสินค้าเพื่อตอบสนองทุนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด การยึดโยงกันอย่างเหนียวแน่นระหว่างนายทุนและชนชั้นนำ โดยมีนโยบายกับกฎหมายเป็นเครื่องมือ แล้วเมื่อสิทธิชุมชนอ่อนแอ ไร้ซึ่งอำนาจต่อรอง ไร้ซึ่งอำนาจในการตัดสินใจจัดการทรัพยากรในพื้นที่ เมื่อนั้นจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของหายนะที่กำลังเกิดขึ้นในอนาคต
จากเกลือพื้นบ้านสู่เหมืองแร่โปแตช
ภาคอีสานเคยเป็นทะเลในยุคดึกดำบรรพ์มาก่อน จึงมีเกลือมากมายอายุหลายล้านปีฝังอยู๋ในชั้นดิน เดิมคนอีสานผลิตเกลือโดยใช้วิธีต้มเกลือแบบพื้นบ้าน ตากเกลือที่ลานปูนซีเมนต์ ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่สร้างผลเสียหายต่อธรรมชาติ แล้วนำไปแลกเปลี่ยนค้าขายกัน ต่อมาขยายออกไปถึงเพื่อนบ้าน พี่น้องลาวและเขมรด้วย เกิดเป็น ‘เส้นทางสายเกลือหรือวัฒนธรรมปลาแดก’ ซึ่งถือเป็นรายได้เสริมแก่ครัวเรือนอีกทางหนึ่งและทำให้ชุมชนมีรายได้ดี ต่อมา การทำโรงงานอุตสาหกรรมได้แพร่ขยายขึ้นพร้อมกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ นายทุนเงินโตจากพื้นที่ต่างๆ จึงได้เข้ามาประกอบการเหมืองเกลือแข่งกับชุมชน ให้ได้ผลผลิตทีละมากๆ ทำโรงงานสูบน้ำเกลือขึ้นมา ทำเหมืองละลาย ที่ดินของชาวบ้านก็เริ่มแปรเปลี่ยนไปอยู่ในมือนายทุนมากขึ้น จนกระทั่งเกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างรุนแรงในบริเวณลำน้ำเสียว การขยายตัวของอุสาหกรรมเกลือในอีสานช่วงปี 2532 จึงหยุดชะงักลง
แม้หายนะจากความเค็มในครั้งนั้นจะทำลายไร่นาของเกษตรกร วัวควาย นกปลาไปมากมาย แต่แอ่งขุมทรัพย์เกลือยังคงอยู่ตรงนั้น แอ่งที่พบเกลือมากที่สุดในอีสานอย่าง แอ่งโคราชและแอ่งสกลนคร ยังคงเป็นที่หมายปองของบริษัททุนยักษ์ใหญ่เสมอมา พวกเขาเล็งเห็นผลเม็ดเงินมหาศาลจากการทำเหมืองเกลือ ซึ่งมีต้นทุนราคาถูก และได้ผลประโยชน์ที่ทบทวีค่าขึ้นอีกเมื่อสกัดออกมาขายเป็นปุ๋ยโพแทสเซียม จึงมีการผลักดันภาครัฐให้ทำโครงการเหมืองแร่โปแตชอย่างต่อเนื่องตั้งแต่โครงการสำรวจโปแตชของกรมทรัพยากรปี 2500 ทำการแก้ไขพรบ.แร่ปี 2510 เอื้อการลุงทุนของผู้ประกอบการข้ามชาติ ในรัฐบาลเผด็จการปี 2558 ประยุทธ์ ได้ออกประทานบัตรแก่กลุ่มทุนมากมาย อาทิ เหมืองแร่ทองคำ เหมืองแร่โปแตช เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันรัฐบาลเศรษฐา มีการเร่งมอบใบประทานบัตร ด้วยเหตุผลที่ภาครัฐต่างเห็นดีเห็นชอบว่า เพื่อช่วยยกระดับเศรษฐกิจการส่งออกปุ๋ยและช่วยเหลือเกษตรกรจากการนำเข้าปุ๋ยราคาแพง
ดังพาดข่าว mgronline เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2566 “เศรษฐา” สั่งเร่งเหมืองโปแทสฯ ชี้ต่างประเทศต้องการสูง หากผู้รับสัมปทาน 3 รายเดิมทำไม่ได้ให้ประมูลหาใหม่”
การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่จากต่างประเทศเข้ามา เพื่อสกัดผลผลิตให้ได้ทีละมหาศาล อย่างเหมืองโปแตชนั้นจะได้เกลือและปุ๋ยที่เกินความต้องในประเทศหลายเท่า เพราะมีกำลังผลิตหลายล้านตัน โดยวิธีการทำเหมืองแร่โปแตช ต้องขุดเจาะดินลึกหลายร้อยเมตร กลายเป็นอุโมงค์หรือห้อง เพื่อสกัดเอาแร่โปแตชออกมาจากชั้นเกลือหิน ซึ่งโพรงด้านล่างนี้อาจกระทำโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของที่ดินข้างบนได้ หากมีการขุดลึกเกิน 100 เมตร (อ้างอิงตามพ.ร.บ.แร่ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ปี 2545 มาตรา 88/3) ต่อมาพ.ร.บ.แร่ ปี 2560 มาตรา 92 ระบุให้บริษัทต้องจ่ายค่าชดเชย หากมีการขุดทำเหมืองใต้ดินลึกเกิน 100 เมตรให้แก่เจ้าของที่ดินด้านบน กระนั้นการนำไปปฎิบัติกลับไม่เป็นดังเช่นที่เขียนไว้อย่างสวยหรู ดังเช่นกรณีชาวบ้านบริเวณเหมืองแร่โปแตชอุดรธานี ได้มีการฟ้องร้องในชั้นศาล เพราะการจ่ายค่าเงินทดแทนหรือค่าลอดใต้ถุนของบริษัทเหมืองเป็นไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบและไม่เป็นธรรม
ในปัจจุบัน ประเทศไทย มีเหมืองแร่โปแตชที่กำลังเร่งประทานบัตร 3 แห่ง ซึ่งเป็นบริษัททุนข้ามชาติที่มีงบลงทุนหลายหมื่นล้าน หลายแสนล้านบาท บริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ดำเนินโครงการที่จังหวัดอุดรธานี บริษัท อาเซียนโปแตชชัยภูมิ จำกัด (มหาชน) ดำเนินโครงการที่จังหวัดชัยภูมิ บริษัท ไทยคาลิ จำกัด ดำเนินโครงการที่ จ.นครราชสีมา การสัมปทานของรัฐทำให้ทรัพยากรธรรมชาติและแหล่งแร่ในประเทศถูกผูกขาดแก่กลุ่มทุนเป็นเวลาหลายสิบปี กลุ่มทุนเพียงหยิบมือได้ความเจริญรุ่งเรืองทางการเงิน ผลพลอยที่รัฐมองว่าได้พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ แล้วประชาชนในพื้นที่กับธรรมชาติได้สิ่งใด หากเราเป็นเจ้าของร่วมกันจริงๆ
*ข้อเขียนนี้จะลงรายละเอียดเพียงเหมืองแร่โปแตช จ.นครราชสีมา ซึ่งผู้เขียนได้มีโอกาสลงพื้นที่เหมืองแร่ครั้งแรก ซึ่งจัดโดยกลุ่มโคราชมูฟเมนต์ (KoratMovement) เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2566
การเข้ามาของเหมือง
ในปี 2558 ยุครัฐบาลเผด็จการ นายประยุทธ์ จันท์โอชาได้มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) มอบใบประทานบัตรการทำเหมืองแร่โปแตชแก่บริษัทไทยคาลิ จำกัด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ตำบลหนองไทร ตำบลหนองบัวตะเกียด ตำบลโนนเมืองพัฒนา ในอำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาท ท่ามกลางการทำประชามติและการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่ไม่ชอบมาพากล เพราะการทำเหมืองแร่ดังกล่าวอยู่ใกล้เขตชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรมอย่างมาก ประชาคมหมู่บ้านเมื่อปี 56 ระบุเพียงว่า จะสร้างเหมืองกับโรงแต่งแร่เท่านั้น ต่อมามีการสร้างโรงต้มเกลือขึ้น
“ชาวบ้านเขาก็อยู่ในพื้นที่แบบนี้แหล่ะ สร้างมานานแล้วสิบกว่าปี เขาเข้ามาสำรวจบอกว่าจะสร้างเป็นแหล่งท่องเที่ยวอะไรสักอย่าง” เสียงจากชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านหนองไทรกับความไม่ชัดเจนในการเข้ามาของเหมือง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการทำประชาคม
ปัจจุบัน หากเรามองดูบริเวณรอบๆ พื้นที่ของเหมือง เราจะเห็นเสาปูนหลายต้นถูกกัดกร่อนจนผิดรูป ต้นสนทนเค็มที่เรียงรายกั้นแบ่งเขตระหว่างชาวบ้านกับเหมือง ต่างพากันล้มเอียงใกล้โค่น ดินแดงอมส้มที่ผู้เขียนเหยียบอยู่ มีลักษณะแฉะคล้ายชุ่มน้ำ ทั้งๆ ที่ไม่มีฝนตกมาหลายวัน
“ถ้ามันชุ่มแบบนี้ มันก็ไม่เคยแห้งเลย”
“ถ้าเรามาช่วงหน้าแล้งนะ จะเห็นเกลือหนาเป็นนิ้วๆ เลย”
“เสาล้อมรั้วใกล้ต้นสนของเหมือง คนของเหมืองก็มักจะมาเปลี่ยนเสา เพราะดินเค็มมันกัด นักข่าวก็มากันทุกสำนัก แต่ก็ไม่เห็นเขาทำอะไรได้” กลุ่มชาวบ้านที่พาเดินไปดูผลกระทบกล่าวเสริม
พอเรากวาดตาไปเรื่อยๆ จะเห็นแผ่นเกลือสีขาวมากมายกระจายอยู่รอบบ่อน้ำพักเกลือของเหมือง ซึ่งมีสีเขียวมรกตและไร้ตะกอน ไม่มีเงาของต้นไม้ใหญ่เหลือแล้ว หลายต้นเหลือแต่โครงแห้งๆ ไหม้เป็นสีดำเหมือนถูกเผา บางพุ่มไม้เล็กๆ ยังมีใบสีเขียวสดอยู่ (นี่เป็นสิ่งทำให้ผู้ว่าโคราชและหลายคนเข้าใจผิดว่า การที่ยังมีพืชสีเขียวให้เห็นเป็นหย่อมๆ แสดงว่า พื้นที่เหล่านี้ยังใช้ได้ ไม่ได้เค็มรุนแรงอะไร)
หลังการเข้ามาของเหมืองแร่เพียงปีเดียว แผ่นดินมาตุภูมิของชาวบ้านหนองไทรได้แปรสภาพเป็นสถานที่เสื่อมโทรมและเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เพราะพิษความเค็มจากการทำเหมืองแร่โปแตช ในอ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
(ภาพเดือน มิ.ย. 2566)
”ชาวบ้านเขาน่าสงสารนะ เมื่อก่อนเขาอยู่หลังวัด ตอนแรกมันก็อุดมสมบูรณ์ มีปลา มีน้ำกิน มีไร่มีนา ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว มีแต่น้ำเค็มใสๆ น้ำประปาก็เค็ม” ชาวบ้านคนหนึ่งจากบ้านดอนป่าโอปกล่าวถึงความหลังอย่างเจ็บปวด
เมื่อถามถึงประโยชน์ของเหมืองที่บริษัทป่าวประกาศต่อชาวบ้านและภาครัฐว่า ต้องการช่วยเหลือเกษตรกรในประเทศให้ได้ปุ๋ยในราคาถูก ไม่ต้องนำเข้าปุ๋ยที่มีราคาแพงอีก ชาวบ้านจากหนองไทรคนหนึ่งตอบว่า “ถ้าปุ๋ยราคาถูกลงได้จริง เขาคงไม่มาประท้วงกันหรอก ถ้าปุ๋ยกระสอบล่ะ 200 บาท ตอนนี้จากเดิม 600 ขึ้นมา 1200 แน่ะ ปุ๋ยใส่ข้าวอ่ะนะ ไหนว่าจะลดให้ไง กลับขายแพงขึ้น ไม่มีตังค์ซื้อปุ๋ยแล้ว ล่ะชาวนานี่ก็จ๊นจน ขายข้าวเปลือกได้แค่โลล่ะ 12 บาท”
ชีวิตเกษตรกรผู้ผลิตที่นี่ ก็เป็นเช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในโลก ไร้ความมั่นคงทางรายได้ ไม่มีอำนาจต่อรองกับนายทุนผูกขาดค้าข้าวเปลือก
เหล่าพี่น้องนักต่อสู้ในหมู่บ้านหนองไทร ซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่โปแตช
เมื่อเกิดการปนเปื้อนรั่วไหลเข้าพื้นที่ทำกินชาวบ้าน
เดิมที ที่แห่งนี้สามารถทำการผลิตได้อย่างปกติ ปลูกพืชได้ทุกปี ชาวบ้านต่างเลี้ยงชีพด้วยการทำพืชไร่ อาทิ ข้าว ข้าวโพด มัน อ้อย บ้างก็ปลูกพืชผักสวนครัว มีการใช้บ่อน้ำสาธารณะร่วมกันหลายที่ (ในหนองมะค่านอกกับหนองมะค่าใน) บ่อน้ำของวัดก็สามารถนำมาใช้ได้ พวกต้นธูปฤาษียังสามารถเติบโตเต็มบริเวณหนอง นก ปลา ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อเกิดผลกระทบต่อไร่นาและบ่อน้ำใกล้เคียง นานวันเข้าชาวบ้านก็ไม่สามารถทำมาหากินได้เหมือนเดิมอีก เพราะดินเสื่อมสภาพจากการเป็นดินเค็ม นอกจากนี้ยังได้รับมลภาวะฝุ่นควันไฟจากโรงต้มเกลืออีกด้วย
หลังจากบริษัทเริ่มทำการขุดแร่ในช่วงปี 2559 พี่หญิง ซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่อธิบายให้ฟังว่า บริษัทมีการทำอุโมงค์ลาดเอียง เพื่อลงไปขุดเจาะแร่ ระยะทางประมาณ 1,600 เมตร แต่ทำได้เพียง 900 เมตรถึงชั้นเกลือแล้ว ปรากฎว่า ลงไปเจอตาน้ำขนาดใหญ่ ทำให้ความเค็มจากเกลือใต้ดินรั่วไหลสู่ที่ดินสาธารณะและพื้นที่ทำกินของชาวบ้านบริเวณโดยรอบ เกิดผลกระทบอย่างรุนแรง อาทิ ไม่สามารถปลูกพืชและใช้พื้นที่ทำการเกษตรใดๆ ได้เช่นเดิม แหล่งน้ำสาธารณะเกิดการปนเปื้อน น้ำประปาไม่สามารถอุปโภคบริโภคได้ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น บ้านเรือน ป้อมยามของเหมือง เสาปูน และวัดบ้านหนองไทรถูกเกลือกัดกร่อนจนผุพรุน ถึงแม้ว่าจะมีการแก้ไขปัญหาด้วยตัวชาวบ้านเอง เช่น ถมดินยกบ้านให้สูงขึ้น เอาปูนมาฉาบใหม่ แต่ผ่านไปไม่นาน ความเค็มก็กัดปูนจนผุเสียหายเหมือนเดิม
นอกจากนี้ ชาวบ้านและพี่หญิงได้ระบุถึงข้อกังวลในอนาคตด้วยว่า หากบริษัทเหมืองและภาครัฐยังคงเพิกเฉย ไม่มีการแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้น ความเค็มในแหล่งน้ำที่นี่ อาจซึมสู่คลองลำมะหลอดและไหลลงลำเชียงไกร ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของโคราช จึงเกรงว่า แม่น้ำทั้งสายอาจปนเปื้อนด้วยน้ำเค็ม สร้างผลกระทบต่อคนมากมายและทำลายล้างระบบนิเวศในโคราช ซึ่งหากบริษัทยังคงมองเห็นเพียงประโยชน์จากธุรกิจทางการเงิน การพัฒนาที่สร้างความเจริญในระยะสั้น ข้อกังวลของชาวบ้านและพี่หญิงคงไม่ไกลเกินไปที่จะเกิดในอนาคต
ในแง่ภูมิศาสตร์ พื้นที่แห้งแล้ง ที่ราบไม่มีภูเขา เช่น ภาคกลาง ภาคอีสาน ส่วนใหญ่พึ่งพาน้ำบาดาลจากใต้ดิน ซึ่งแตกต่างจากภาคเหนือ แหล่งน้ำที่สำคัญมาจากบนภูเขา เกษตรในที่ราบจึงต้องเจาะน้ำบาดาลมาทำการเกษตร ทำให้แหล่งน้ำใต้ดินสำคัญมากในการใช้หาเลี้ยงปากท้อง หากเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงกระทบต่ออาหารและรายได้ของคนในพื้นที่ ดังเช่นการปนเปื้อนความเค็มรุนแรงของน้ำในหมู่บ้านหนองไทร ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถใช้น้ำสาธารณะ หรือแม้แต่น้ำประปาในพื้นที่ได้
“เราไม่สามารถเอาน้ำปนเปื้อนมาใช้อะไรได้เลย เพราะมันจะเป็นคราบสนิม มีคราบน้ำมันปนเปื้อนมาหมดเลย น้ำที่ไหลซึมออกมาก็เป็นน้ำสีแดงกับสีดำปนกันมาหมด ทำให้ต้นไม้ยืนต้นตาย” ชาวบ้านคนหนึ่งจากบ้านดอนป่าโอปเล่าให้เราฟัง ขณะพาเดินไปดูผลกระทบ พลางบ่นว่า ถ้าผู้มีอำนาจลงพื้นที่มาตรวจสอบ เหมืองก็มักจะจ้างคนมาถมดิน ทาสี เปลี่ยนเสาปูนอยู่เสมอ หนักที่สุดคือช่วงแรกๆ ที่มีการทะลักรั่วไหลของน้ำเค็ม ที่นี่อยู่ในสภาพเลวร้ายและส่งกลิ่นเหม็นกว่าตอนที่ผู้เขียนไปลงพื้นที่มากนัก
ขณะที่เรานั่งรถมอไซค์พ่วงข้างของชาวบ้าน เราผ่านบ้านป้าคนหนึ่งในหนองไทร เขามองดูต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านตัวเองด้วยความอาลัย พลางเล่าว่า “มันอยู่ตั้งแต่ก่อนเขาเกิด จนลูกเขาเรียนจบมันก็ยังอยู่ เสียดายมากๆ ตอนนี้มันกำลังยืนต้นตายแล้ว”
(ภาพเดือน มิ.ย. 2566)
เค็มเรื้อรัง ผลกระทบที่ไร้การเยียวยา
“เขารวยแล้วเขาจะมาเดือดร้อนทำไม ชาวบ้านฝั่งหมู่ 4 ฝั่งนี้สิที่เดือดร้อน คนที่อยู่หมู่ 9 ฝั่งตรงกันข้ามก็ไม่เดือดร้อน พวกผู้ใหญ่บ้าน อบต. ก็เข้าข้างเขา เพราะเขามีเงิน” ชาวบ้านคนหนึ่งข้างศาลาวัดบ้านหนองไทรกล่าว
หลังชาวบ้านร้องเรียนเรื่องผลกระทบมาเป็นเวลา 4 ปี เมื่อปี 2563 บริษัทเเจ้งว่า ได้หยุดดำเนินการต่างๆชั่วคราวจากอุบัติเหตุน้ำท่วมในอุโมงค์เหมืองเเร่ใต้ดิน กระนั้น ยังคงไร้วี่แววการฟื้นฟูและการเยียวยาที่ดินของชาวบ้าน เพราะบริษัทไม่ยอมรับว่า ผลกระทบต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจากเหมือง โดยระบุว่า มาจากบ่อขยะของชุมชนเอง (ชาวบ้านได้ฟังคำพูดจากเจ้าของบริษัทเหมืองแร่ด้วยตนเอง) และเกิดจากค่าความเค็มดั้งเดิมในพื้นที่ของชาวบ้าน ไม่ใช่ผลกระทบจากเหมือง
ชาวบ้านจึงตอบโต้บริษัทกลับว่า “ความเค็มดั้งเดิมนั้น เรายังสามารถทำมาหากินได้ ไม่ใช่ทำกินไม่ได้เลย แต่บริษัทก็ยังไม่ยอมรับ เขาจะตอบเสมอเลยว่า มันมาจากบ่อขยะของชาวบ้าน ตอบเหมือนเดิมตั้งแต่ปี 62 ถึงปัจจุบัน ก็ยังไม่ยอมรับ”
“มันไม่มีบ่อขยะจริงๆ หรอก มันเป็นคำอ้างอิงของบริษัท เพราะแถวหนองมะค่าตรงนั้น มันเป็นสระน้ำ มันใช้ได้ ชาวบ้านเลยไปเอามาใช้กัน เขา(บริษัท)ก็บอกว่า มีชาวบ้านเอาขยะไปทิ้ง แค่ 2-3 ชิ้น เขาเลยว่า มันเป็นบ่อขยะ ทั้งที่จริงๆ มันไม่เคยมีบ่อขยะเลย เกิดมาตั้งแต่น้อย ยังไม่เคยเห็นบ่อขยะเลย” ชาวบ้านอธิบาย ส่วนฝั่งบริษัทเหมือง ได้รับการยืนยันจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) ว่า บ่อน้ำสาธารณะเป็นบ่อขยะ
เมื่อบริษัทคิดว่าตนไม่ใช่ผู้สร้างผลกระทบ และไร้ซึ่งการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างชัดเจนจากทั้งภาครัฐและตัวบริษัทเอง ทำให้การชดเชยค่าเสียหายเป็นไปด้วยความสงสาร ถ้าใครอยากได้ก็เข้ามาขอเอา ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าว่า ถ้าชาวบ้านคนไหนที่ได้รับผลกระทบเดือดร้อน เช่น บ้านผุพัง ที่ดินทำกินไม่ได้ บริษัทก็จะมาจ่ายค่าเสียหายเยียวยาให้ไร่ล่ะ 1,000-5,000 ต่อปี” จนกระทั่งเมื่อปี 2564 บริษัทเเจ้งว่า เขาไม่มีเงินจ่ายค่าชดเชยให้กับชาวบ้านแล้ว แต่ยังคงมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะให้ชาวบ้านมาเซ็นยินยอมเรื่องต่างๆ อยู่จนถึงปัจจุบัน
“อยากให้เท่าไหร่ เขาก็ให้ บางคนมีพื้นที่เสียหาย 10 ไร่ แต่เขาจ่ายแค่ 5 ไร่ก็มี แล้วก็ไม่ได้ให้ค่าเยียวยาทุกปีนะ เขาบอกว่าจ่ายแค่นี้ เพราะพวกเรายังทำกินกันได้อยู่” ชาวบ้านกล่าว พร้อมเสริมว่า การจ่ายค่าเยียวยาไม่มีมาตรฐานใดๆ และยังขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ใกล้ชิดมากน้อยเท่าไหร่กับคนที่เอาเงินมาจ่ายอีกด้วย
ส่วนหน่วยงานภาครัฐ ชาวบ้านได้ร้องเรียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาเป็นคนกลางในการตรวจสอบหลายครั้ง ชาวบ้านระบุว่า ส่วนมากเมื่อแจ้งแล้ว หน่วยงานมักจะเงียบหายไป เช่น ในเดือนมกราคม ภาครัฐได้ยกเลิกการตรวจสอบ โดยไม่ทราบเหตุผล บางครั้งก็เดินทางมาเก็บตัวอย่าง แต่ไม่นำไปตรวจสอบต่อ โดยให้เหตุผลว่าบริษัทเหมืองไม่เซ็นยินยอม
แต่เมื่อปี 2565 มีสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 11 (นครราชสีมา) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอย่างแท้จริง ถือเป็นเป็นหน่วยงานรัฐแรกๆ ที่เข้ามาในพื้นที่ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า จุดบ่อน้ำสาธารณะของวัดหนองไทรที่ติดกับเหมืองมีค่าความเค็มเกินมาตรฐานการทำน้ำประปากว่า 58 เท่า จุดที่มีน้ำรั่วซึมออกมาติดกับขอบบ่อพักน้ำเหมือง พบค่าความเค็มสูงกว่ามาตรฐาน 97 เท่า โดยพบปลาหลายชนิดลอยตาย ต้นไม้ต่างๆ ในบริเวณนั้นก็ยืนต้นตายเช่นกัน
จุดบ่อน้ำนอกโครงการโรงต้มเกลือเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ น้ำมีสีเขียวมรกต ขอบบ่อด้านในปรากฏคราบเกลือสีขาว อีกทั้งยังพบว่ามีการซึมของเกลือออกมานอกบ่ออีกด้วยเพราะไม่มีการปูผ้ายาง
ความหวัง และการต่อสู้ต่อไปของพี่น้อง
“ชาวบ้านสู้กันมา 15 ปีแล้ว เขาก็พยายามดึงคนในหมู่บ้านเข้าทำงานในโรงงานเขาหมด ประมาณสามสี่ร้อยคน ทำให้เราไม่มีปากไม่มีเสียง”
บริษัทเหมืองมุ่งมั่นกอบโกยทรัพยากรธรรมชาติที่ตนได้สัมปทานมาจากรัฐอย่างเต็มที่ และเนื่องจากต้องการกดราคาต้นทุนให้ถูกที่สุด มาตรการป้องกันจึงเป็นเพียงสิ่งที่สิ้นเปลืองงบการลงทุน ประกอบกับกระบวนการติดตามตรวจสอบของภาครัฐที่ไร้ประสิทธิภาพ แม้จะมีการกำหนดมาตรการควบคุมจากรัฐ การทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) อย่างรัดกุม แต่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบข้างต้นได้เลย
ชาวบ้านหนองไทรที่ได้รับความเดือดร้อนได้รวมกลุ่มกันเป็น ‘กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดด่านขุนทด’ เพื่อต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเอง เรียนรู้การพัฒนาเครือข่ายและแลกเปลี่ยนบทเรียนการต่อสู้กับเหมืองในพื้นที่อื่นๆ เพื่อป้องกันการผูกขาดอำนาจของชุมชนในท้องถิ่น ไม่ให้ชุมชนถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้มีอำนาจได้มากขึ้น
หลายครั้งที่เหมืองทำการเจาะสำรวจโดยไม่ขออนุญาติชาวบ้าน เมื่อช่วงที่ข้าพเจ้าไปลงพื้นที่ ชาวบ้านช่วยกันเป็นหูเป็นตา แล้วลงขันรวบรวมเงินกันจากหมู่บ้านต่างๆ เพื่อจ้างคนขับแมคโครให้มาถมดินบริเวณที่เหมืองแอบมาสำรวจ เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นการทวงคืนอำนาจในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ชุมชนของตนเอง
“ถ้าวันนั้น ชาวบ้านไม่เรียกร้องให้มีการแก้ไข ไม่ชี้บอกหน่วยงานของรัฐว่า บริษัทเหมืองกำลังทำผิด หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งหมดก็จะปล่อยปละละเลยให้เหมืองทำแบบนี้ต่อไป แล้วถ้าชาวบ้านไม่ลุกขึ้นสู้ ไม่รวมกลุ่มกัน มันก็จะไม่เกิดการแก้ปัญหาอะไรเลย” พี่หญิง จากสมาชิกเครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่กล่าวสะท้อนความสำคัญของการรวมกลุ่มและสิทธิของชุมชนในท้องถิ่น โดยตอนนี้ ข้อเรียกร้องเดียวของชาวบ้านหนองไทร คือ ‘ปิดเหมืองแร่โปแตชอย่างถาวร’ เพื่อร่วมกันหาทางฟื้นฟูธรรมชาติและระบบนิเวศให้กลับมาดังเดิม
ในประเทศไทย การที่รัฐออกสัมปทานโครงการใหญ่ๆ หลายแห่งให้เอกชน อาทิ การทำเหมืองแร่ สร้างเขื่อน ป่าไม้ ทำประมง และการใช้แหล่งน้ำ ถือเป็นกระบวนการแปลงธรรมชาติให้เป็นทุน (capitalisation of nature) ทำให้ธรรมชาติกลายเป็นสินค้าในกระบวนการทำให้กลายเป็นทุน แหล่งทรัพยากรธรรมชาติกลายเป็นพื้นที่ในการสกัดหรือขูดรีดทรัพยากรเพื่อทำการผลิตป้อนตลาด และเป็นแหล่งสะสมทุน ภายใต้กรอบนโยบายตามแต่รัฐบาลนั้นๆ จะนำมาอ้าง อาทิ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาของประเทศ หรือเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยขึ้นกับอำนาจการจัดการของนายทุนทั้งในประเทศหรือข้ามชาติก็ได้ และในท้ายที่สุด กระบวนการสะสมทุนดังกล่าวจะนำไปสู่การสะสมทุนเพื่อการสะสมทุนไปเรื่อยๆ โดยที่จำกัดอยู่ภายใต้เงื้อมมือของผู้คนเพียงจำนวนหยิบมือเท่านั้น ซึ่งการยึดพรากที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติจะทำลายความเป็นสิทธิส่วนร่วม (ณภัค เสรีรักษ์, 2566, น. 64-66, น. 86) ทำให้คนในชุมชนท้องถิ่นนั้นจะเหลือแต่เพียงความเสื่อมโทรมและความถดถอยของสิ่งแวดล้อม เช่น ในช่วงปีพ.ศ.2512-2532 เกิดผลกระทบเป็นวงกว้างจากการทำอุตสาหกรรมเกลือในลุ่มน้ำเสียว เขตหนองบ่อ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อที่ดินหลายแสนไร่และลำน้ำที่สำคัญหมดสภาพเกือบถาวร ชาวบ้านในพื้นที่จึงได้เดินขบวนประท้วงต่อต้านการทำเหมืองในพื้นที่ จนรัฐบาลมีคำสั่งห้ามทำเกลือในบริเวณดังกล่าว และออกมาตราการควบคุมทั่วประเทศ
หากสังคมเราไม่คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและสิ่งมีชีวิตอื่นในธรรมชาติ ครอบงำธรรมชาติดังเช่นสินค้าชนิดหนึ่งโดยมีตนเองเป็นศูนย์กลาง เสพติดการสะสมทุนและความมั่งคั่งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จัดสรรทรัพยากรตามระดับอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจจากบนลงล่าง เหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนชนชั้นล่างในสังคมและสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ทั้งหมดทั้งปวง ภายใต้ระบบซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ดังที่เราได้ประสบผ่านปรากฏการณ์โลกร้อน โลกรวน และโลกเดือดที่เรากำลังเผชิญในปัจจุบันเป็นแน่ เราต้องกระจายแหล่งที่มาของการสร้างความมั่งคั่งให้แก่คนทุกชนชั้นทางสังคม มองสิ่งมีชีวิตอื่นให้อยู่ในสถานะเดียวกันกับเรา นั่นทำให้การต่อสู้ต่อไปจากนี้ไม่จบแค่เพียงการปิดเหมือง ปิดโรงไฟฟ้า และทุบเขื่อนเท่านั้น แต่เราจะต่อสู้เพื่อเปลี่ยนระบบที่ล้มเหลวในยุคสมัยของเราด้วย ที่ซึ่งคุณค่าของสิ่งต่างๆ ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินของมัน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมและกระจายประโยชน์แก่ทุกคน ทุกชีวิตในระยะยาว
ชาวบ้านพาเดินไปดูผลกระทบ ช่วงผู้ว่าโคราชลงพื้นที่ตรวจสอบ เมื่อเดือนกค. 2566
ชวนมาฟังกลอนลำ ‘ประวัตินาเกลือ’ ที่พูดถึงความเจ็บปวดของคนอีสาน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการเข้ามาทำอุตสาหกรรมเกลือของนายทุนในพื้นที่ลุ่มน้ำเสียว อ.บรบือ จ.มหาสารคาม สามารถฟังได้ผ่านลิงก์ด้านล่าง:
https://www.youtube.com/watch?v=xtvOJsj03eo
เอกสารอ้างอิง
ณภัค เสรีรักษ์. (2566). ธรรมชาติสถาปนา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในสมัยของทุน
นัฐวุฒิ สิงหกุล. (2550). เกลือและโพแทช ภาษา ความรู้และอำนาจในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติใต้พื้นดินอีสาน กรณีศึกษาโครงการเหมืองแร่โพแทช จังหวัดอุดรธานี
พิทักษ์ รัตนจารุรักษ์. (2542). ผลกระทบที่เกิดจากการผลิตเกลือ ด้วยการสูบน้ำเกลือใต้ดินที่บ้านโนนสะแบง ตำบลหนองกวั่ง อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร
by sometimes.DinDeng | May 18, 2023 | Articles บทความ, ความคิดเห็น Opinion, ไทย
บทความความคิดเห็น (Opinion Article) ต้นฉบับภาษาอังกฤษโดย ขอบฟ้าดำ (Kobfah Dum) Original English version
แปลเป็นไทยโดย กุลณัฐ จิระวงศ์อร่าม และ ทัชชภร ศุภรัตน์ภิญโญ
เมื่อพรรคก้าวไกลได้คะแนนโหวตเยอะที่สุดในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มันถือเป็นหายนะทางการเมืองของชนชั้น (class-based) ในประเทศไทย การเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้สิ่งที่นายทุนอีลีตทั้งหลายฝันเป็นจริงขึ้นมา มันผลักประเทศไทยออกจากการเมืองของชนชั้นที่มีมาตลอด 20-30 ปีให้ไกลกว่าเดิม แล้วเดินหน้าไปสู่การเมืองแบบสุนทรียภาพ (aesthetics) จนได้
ในที่สุด ประเทศไทยก็มีพรรคการเมืองที่มีเกียรติ มากพอสำหรับคนชั้นกลาง และเป็นพรรคที่สามารถเอาชนะเสื้อแดงลงได้
การแบ่งระหว่าง “บ้านนอก” กับเมืองนั้นยังคงเป็นความขัดแย้งหลักๆ ของไทย ถึงแม้มันจะดูน่าเหนื่อยหน่ายที่จะโต้แย้งสิ่งนี้ต่อไป ปัญหาขั้นแรกสุดในประเด็นนี้คือ คนที่ก่อนหน้านี้เคยเป็นคนบ้านนอกได้ย้ายเข้าเมืองเพื่อทำงาน หลายคนทำงานในเมืองเป็นสิบปีโดยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับมันอย่างแท้จริง หลายคนในนั้นยังคงฝันว่าจะได้กลับบ้านเกิดและจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติ ด้วยแกนหลักของมัน ประเด็นนี้จึงเป็น (และควรเป็น) ปัญหาทางชนชั้น ที่ว่าใครจะสามารถขายแรงงานอะไรได้ที่ไหน? ภายใต้เงื่อนไขอะไร?
แม้จะมีข้อบกพร่องทั้งหลายของพรรค เพื่อไทยยังคงเสนอทางเลือกอื่นให้ได้ นอกจากความจริงที่เผชิญกันอยู่ตอนนี้ จริงๆ แล้วพรรครอยัลลิสต์ที่มีทหารสนับสนุนเองก็ยังรู้แกวการแบ่งเมือง/บ้านนอกเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะพลังประชารัฐหรือพรรคภูมิใจไทย หลายๆ นโยบายของพรรคแนวนี้ก็เห็นชัดว่าพวกเขาเข้าใจการแบ่งนี้ ถึงแม้ว่า — จะไม่ได้ลงมือทำอะไรเพื่อจัดการมันจริงๆ ก็ตาม แต่พรรคก้าวไกลกลับวินิจฉัยความขัดแย้งหลักในประเทศแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง สำหรับก้าวไกลแล้ว พวกไดโนเสาร์ที่คอยควบคุมกองทัพ รัฐบาล และการผูกขาดต่างหากที่เป็นประเด็น แม้จะเป็นเช่นนั้น ประเด็นนี้ก็ลึกซึ้งได้เท่าที่การวิพากษ์วิจารณ์จะพาเราไปเท่านั้น
สำหรับพรรคก้าวไกล ประเด็นเรื่องบ้านนอกกับเมือง คนจนกับคนรวยไม่ใช่ประเด็นการต่อสู้เดี่ยวๆ ประเด็นเชิงโครงสร้างที่กัดกินและเป็นฐานของการแบ่งชนชั้น ถูกมองว่าเป็นแค่เพราะ ความโลภ การโกงกิน และการบริหารแบบผิดที่ผิดทางเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการพากษ์วิจารณ์ที่ไม่มีสำนึกทางชนชั้นโดยสิ้นเชิง
ไม่ต่างกับพรรคอื่นๆ คนพรรคก้าวไกลมีกลุ่มประชากรสองแบบ คนที่ลงคะแนนให้พรรคและคนที่สนับสนุนพรรคทางการเงิน สำหรับคนกลุ่มแรก เราจะเห็นได้ว่ามีจำนวนคนชั้นกลางที่มีความเป็นเมือง (urbanized) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองในทางเศรษฐกิจและสังคมก็แทบจะไม่ต่างกับคนที่เป็นกลุ่มคะแนนเสียงให้ประชาธิปัตย์* ในยุค 2000 (พ.ศ. 2533-2543) หากมองตามบริบทเวลาแล้ว พรรคนี้แค่ขาดรอยัลลิสม์ไปก็เท่านั้น
คนที่ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลเห็นตัวเองเป็นประชากรกลุ่มใหม่ ได้รับการศึกษา ตื่นรู้ตาสว่าง รู้ดีมากพอที่จะ ไม่หลงกล พรรคอื่นๆ ซึ่งดูเป็นมุมมองที่คล้ายๆ กันกับพรรคประชาธิปัตย์ หากใครอยู่ทันสมัยพรรคยังโดดเด่น
แน่นอนว่า โหวตเตอร์พรรคก้าวไกลก็จะค้านหัวชนฝาว่า พวกเขาไม่มีอะไรเหมือนประชาธิปัตย์เลยสักนิดเดียว แต่ศิลปะการพูด/วาทศิลป์พื้นฐานของคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างต่างนานาที่พรรคใช้ก็คล้ายคลึงกันกับสมัยเสื้อเหลืองยุคแรกมาก พวกเขาเกลียดการโกงกิน การบริหารแบบผิดที่ผิดทาง แล้วยังเกลียดการที่นักการเมืองโกหก “หลอกลวง” คนจนให้ลงคะแนนเสียงให้พวกเขา ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือพรรคที่มีทหารสนับสนุน ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคประชาธิปัตย์เก่าต่างก็เกลียดทักษิณและดูถูกฐานเสียงซื่อๆ พูดจาในท่าทีที่เหนือกว่า ว่าฐานเสียงพวกนี้ “ถูกหลอกใช้”
[*ประชาธิปัตย์ — พรรคประชาธิปัตย์ — พรรคเสื้อเหลืองที่เป็นผู้มีส่วนในการสังหารหมู่คนเสื้อแดง]
พรรคก้าวไกลได้คะแนนเสียงจากทั้งซ้ายและขวา* (ทั้งคนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคทหาร) พรรคก้าวไกลเสนอทางเลือกใสสะอาดและหน้าตาของคนรุ่นใหม่ให้ประเทศไทย รวมถึงหนทางแก้แค้น เสนอว่าคุณคือคนลงคะแนนเสียงที่มีการศึกษา มีความรู้ และเป็นปัญญาชนหรือรู้มากพอ คุณเบื่อหน่ายกองทัพ นักการเมืองยุคเก่า และอีลีตส่วนใหญ่เต็มที
(ผู้แปล: ซ้ายขวาตรงนี้สำหรับบริบทการเมืองไทย ซึ่งมีแค่ซ้ายกว่าและขวากว่าเท่านั้น)
สมาชิกพรรคก้าวไกลไม่ใช่ชนชั้นแรงงานที่ยากจน ถึงแม้ว่าคุณภาพชีวิตของคนชั้นกลางจะค่อยๆ ตกต่ำลงเรื่อยๆ หลังยุคทักษิณ ความเป็นจริงก็คือ มันยังมีการแบ่งแยกระหว่างเมือง/บ้านนอกอยู่ แยกคนจน/คนรวยอยู่ คนที่เข้ามหาวิทยาลัยและคนที่ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัยอยู่ คนที่มีอันจะกินและคนที่ไม่มีอันจะกินอยู่ ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์คอยรับใช้คนชั้นกลางในเมือง ในพื้นที่กึ่งเมือง หรือรับใช้คนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นเจ้าของโหวตที่มีความรู้และเป็นปัญญาชนอยู่
แต่ถึงกระนั้น ความคดโกงของประชาธิปัตย์และการที่พรรคยึดติดอยู่กับรอยัลลิสม์ทำให้ฐานเสียงของพรรคหายไปจนหมด พรรคล้มเหลว ไม่สามารถปราบเสื้อแดงและทักษิณลงได้ในสนามการเลือกตั้ง กลับต้องขอให้ชายชาติทหารผู้กล้าแกร่งจากกองทัพเข้ามา ตั้งพรรคที่โอบรับคำพูดคำจารุนแรงแบบชาตินิยม แม้ว่าพรรคพวกนี้จะไม่ได้ดู มีอารยะ มากพอที่จะตอบโจทย์รสนิยมพิถีพิถันของคนเมืองก็ตาม
คนชั้นกลางและคนที่มีความหวังอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนี้จึงต้องการพรรคใหม่ รอยัลลิสม์ผู้อุทิศตนได้ย้ายไปพรรคที่มีทหารสนับสนุนเสียแล้ว นักวิชาการปัญญาชนที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยตะวันตกเหนื่อยหน่ายกับบรรยากาศน่าอึดอัดของการศึกษาไทยภายใต้เผด็จการทหาร พวกเขาร่วมกับเอ็นจีโอทุนตะวันตกและองค์กรแรงงานอภิสิทธิ์ชน (labour-aristocratic organisations) ร่วมกันสร้างบ้านใหม่ในรูปแบบเสรีนิยมแบบยุโรป (European-style liberalism)
ก้าวไกลและพันธมิตรอ้าแขนต้อนรับคนชั้นกลางที่มีความเป็นชาตินิยมน้อยกว่า เสนอแนวคิดทุนนิยมแบบสะอาดสะอ้านขึ้น แนวคิดที่ให้สัญญาว่าการเมืองจะมีเกียรติมากขึ้น แนวคิดที่ในที่สุดแล้วก็ไม่ได้ท้าทายการกระจายความมั่งคั่งในประเทศนี้ แค่ทำให้โหวตเตอร์รู้สึกดีกับมันมากขึ้นเท่านั้น
ในความเป็นจริงแล้ว พรรคก้าวไกลไม่ได้เสนออะไรไปมากกว่าสุนทรียภาพของพรรคเล็กน้อย หากจะเข้าใจประเด็นนี้ เราต้องดูอีกหนึ่งกลุ่มประชากรของพรรคคือผู้สนับสนุนทางการเงิน หัวหน้าพรรคก่อนหน้านี้ทั้งสองคนต่างก็เป็นนายทุนกึ่งอีลีต นายทุนที่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่ ล้มสหภาพ เอาเปรียบคนเป็นพันๆ คน แต่ก็ไม่ใช่อีลีตชั้นสูงขนาดนั้น การที่พรรคต่อว่าทุนผูกขาดแทบไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าการวางตัวเพื่อให้ได้เสียงโหวตและสร้างพื้นที่ให้ชนชั้นย่อยของตัวเองในตลาด
นายทุนพวกนี้หนุ่มกว่า หิวกระหายกว่า มีเสน่ห์กว่า บริสุทธิ์กว่า และมีเกียรติมากกว่า ดูภายนอกไม่เหมือนพวกไดโนเสาร์อีลีตรุ่นก่อน แต่นายทุนพวกนี้ก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่กับคนชั้นเดียวกัน ถือผลประโยชน์ในคนชั้นเดียวกันกับบรรพบุรุษพรรคประชาธิปัตย์ การเดินทางครั้งแรกของพรรคก้าวไกลคือ “พรรคอนาคตใหม่” ซึ่งถูกยุบพรรคในปี 2562 สาเหตุที่โดนยุบไม่ใช่เพราะพรรคเป็นภัยคุกคามต่อโครงสร้างของสังคมไทย แต่การยุบนี้ถือเป็นคำขู่ไม่ให้อีลีตกลุ่มนี้ขึ้นมาแทนที่ชนชั้นนำเดิมในขณะนั้น
ไม่แปลกที่คำวิจารณ์ส่วนใหญ่ของพรรคก้าวไกลด้านบนจะสาดไปทางพรรคเพื่อไทย และเสียงเหล่านั้นก็อาจจะพูดถูก เพราะพรรคเพื่อไทยก็บริหารโดยชนชั้นนายทุน หรือแม้กระทั่งในการเลือกตั้งครั้งนี้เอง พรรคเพื่อไทยก็ไม่สามารถสลัดตัวเองจากพรรคทหารได้
อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่สำคัญระหว่างทั้งสองพรรคคือ สมาชิกระดับล่างของพรรคเพื่อไทย รวมถึงโหวตเตอร์ที่ภักดีต่อพรรคล้วนมีสำนึกทางชนชั้นไม่มากก็น้อยและได้เปลี่ยนพลวัตของผู้นำของพรรคไปอย่างมีนัยสำคัญ อัจฉริยภาพของทักษิณคือการจุดประกายคนจนในชนบท แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ ทักษิณตอบโจทย์คนจนในชนบท การเมืองที่กินได้เป็นสิ่งที่ชนะใจคนจน คนเสื้อแดงเข้าใจเรื่องชนชั้นและการเมืองที่กินได้ ทั้งยังพร้อมเอาผิดกับผู้แทนถ้าทำตามที่บอกไว้ไม่ได้ ข้อตกลงที่มีมาอย่างยาวนานของพรรคเพื่อไทยและพรรคก่อนหน้า (ที่ถูกยุบไป) ต่อชาวบ้านสามารถกล่าวโดยสรุปตามที่ทักษิณพูดได้ว่า: “ใช่ ผมเป็นอีลีต ผมรู้ว่าระบบทำงานอย่างไร เลือกผมแล้วผมจะทำงานให้คุณ” และสำหรับหลายล้านคน แม้ทักษิณจะผิดพลาด ติดคดี และมีปัญหาคอรัปชั่น ทักษิณก็ทำตามที่รับปากไว้ได้ คนเสื้อแดงไม่ใช่ควายแดงโง่เขลาอย่างที่คนชั้นกลางสร้างภาพให้เป็น คนเสื้อแดงรู้ว่าพรรคโกง รู้ว่าพรรคนี้รับใช้อีลีต แต่ก็รู้ว่าพรรคนี้รับใช้คนเสื้อแดงเช่นกัน
ทั้งสองพรรคแสวงหาสภาพสังคมที่ดีขึ้น พรรคก้าวไกลมองภาพว่าเป็นรัฐสวัสดิการรวมศูนย์แบบยุโรป และก็ต้องให้เครดิตพรรคที่ได้จัดตั้งสหภาพแรงงานขึ้น (แม้สหภาพจะมีอำนาจเพียงน้อยนิดก็ตาม) สหภาพแรงงานนี้ถือเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดที่พรรคเคยพูดถึงเกี่ยวกับนโยบายชนชั้น พรรคก้าวไกลพูดราวกับว่าพรรคเพื่อไทย (และพรรคก่อนหน้าที่ถูกยุบไป) ยังไม่ได้สร้างรัฐสวัสดิการขึ้น ทั้งที่ในช่วงปี 40 พรรคเพื่อไทยได้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมที่ตอบสนองต่อท้องถิ่น ตัวอย่างที่ดีที่สุดของความสำเร็จคือ ระบบสาธารณสุขโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท อย่างไรก็ตามในยุครัฐบาลทหารที่ผ่านมา ระบบสาธารณสุขได้รับทุนไม่เพียงพอจนถึงจุดที่คนชั้นกลางยอมไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนมากกว่าที่จะทนรับสภาพความไม่ศิวิไลซ์ของโรงพยาบาลรัฐ โหวตเตอร์ของพรรคก้าวไกลไม่น่าจะเคยมีประสบการณ์ต้องใช้สวัสดิการสังคมในลักษณะนี้ อาจเป็นเพราะโหวตเตอร์กลุ่มนี้กระจุกอยุ่ในเมืองและเกิดไม่ทันระบบสาธารณสุขในสมัยที่มีทุนเกื้อหนุนเพียงพอ หรือไม่โหวตเตอร์พรรคก้าวไกลก็มีฐานะ (ดี) จนไม่ต้องใช้สวัสดิการดังกล่าว
โหวตเตอร์พรรคเพื่อไทยสนับสนุนพรรคไม่ใช่เพราะเป็นชาวนาที่โง่เขลาและถูกทักษิณจูงจมูก แต่เพราะโหวตเตอร์พรรคเพื่อไทยรู้ว่าพรรคจะตอบโจทย์ปัญหาชนชั้นของพวกเขาอย่างที่เคยทำสำเร็จมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน นโยบายการกระจายอำนาจของพรรคเพื่อไทยเอื้อให้มีเงินทุนไปถึงองค์กรท้องถิ่น สาธารณสุข ภาคศึกษา ภาคการจ้างงาน และโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งยังสร้างความเป็นปึกแผ่นของแต่ละชนชั้นในพื้นที่จริง ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอนั้นห่างไกลจากคำว่าสังคมนิยม แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงการวางแนวเศรษฐกิจ รูปแบบของการกระจายความมั่งคั่งและอำนาจ และการกระจายอำนาจจากกรุงเทพฯ รวมถึงเขตเมืองอื่น ๆ ทั้งในด้านอำนาจและแหล่งทุนสู่จังหวัดรอบนอก พรรคก้าวไกลวาดฝันถึงรูปแบบทุนนิยมยุโรปสมัยใหม่ที่ “บริสุทธิ์ขึ้น” โดยพื้นฐานแล้วแนวการกระจายความมั่งคั่งยังคงเดิม แต่จะเปลี่ยนไปอย่าง “น่ามอง” ขึ้นเท่านั้น จากซีอีโอแก่หน้าตาอัปลักษณ์จอมโกงสู่ชายหนุ่มรูปงามที่ “เล่นตามกฎ”– เป็นเรื่องปกติที่มหาเศรษฐีจะเอารัดเอาเปรียบผู้คนตราบใดที่เขาเล่นตามกฎ ดังเช่น ผู้นำพรรคก้าวไกล บทความนี้มิได้เขียนขึ้นเพื่อยกยอพรรคเพื่อไทยและทักษิณอย่างสุดหัวใจ ที่จริงผู้เขียนมองนโยบายของทักษิณอย่างมีวิจารณญาณแล้ว อย่างไรก็ตาม สภาพเปลือกสังคมและการเมืองประเทศไทยในตอนนี้เป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจนัก
ในที่สุด พรรคก้าวไกล พรรคการเมืองรุ่นใหม่ของคนชั้นกลางทำสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ใฝ่ฝันแต่ไม่เคยเป็นจริงได้สำเร็จ คือ เอาชนะพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้ง ตอนนี้พรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เพื่อไทยมีสองทางเลือกคือ ต้องปฏิรูปและแซงหน้าพรรคก้าวไกลโดยเบนไปทางสังคมนิยมเพื่อสลัดผีชื่อทักษิณและต้องปรับปรุงนโยบายสังคมให้ตรงกับคุณค่าที่คนรุ่นใหม่ยึดถือ หรือต้องสูญพันธุ์ไปเหมือนคู่แข่งเก่าอย่างประชาธิปัตย์ ในวงจรการเลือกตั้งสลับรัฐประหารซึ่งฉุดรั้งประเทศไทยมาเกือบศตวรรษนี้ พรรคก้าวไกลชนะการเลือกตั้งและได้รับความไว้วางใจมาให้บริหารประเทศแทนพรรคเพื่อไทย แม้ว่าในชัยชนะครั้งนี้จะไม่มีลุงป้าเสื้อแดงจากต่างจังหวัดที่ต่อสู้และสละชีวิตอย่างกล้าหาญมานับหลายต่อหลายปีก็ตาม
สิ่งที่เราได้เห็นในชัยชนะของพรรคก้าวไกลคือการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งปฏิเสธถึงความสำคัญของชนชั้นในสังคม ในขณะที่พรรคเพื่อไทยเสนอนโยบายปากท้องย่อยยากซึ่งคนชั้นกลางเลือกจะมองข้าม ส่วนพรรคก้าวไกลเสนอนโยบายที่ไม่มีสาระอะไรมากไปกว่าอุดมการณ์อันโอหังฉบับย่อยง่ายให้ประชาชน
by sometimes.DinDeng | Apr 27, 2023 | Articles บทความ, Translation, ประวัติศาสตร์ History, ไทย
แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ “Je ne suis pas marxiste” – Michael Heinrich
ผู้แปล: สหายคำผาน
ไมเคิล ไฮน์ริช กล่าวว่า มาร์กซ์ไม่ได้พยายามสร้าง “ลัทธิมาร์กซ์” ขึ้นมาในฐานะสิ่งที่มุ่งนิยามตัวเองว่าเป็น “ความจริง” แต่มาร์กซ์ปรารถนาจะทำลายความจริงทั้งปวงลงต่างหาก
คนที่ไปเยี่ยมหลุมศพของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ณ สุสานไฮเกท (Highgate Cemetery) ในลอนดอน (London) จะเห็นแท่นอันใหญ่ซึ่งมีรูปปั้นครึ่งตัวขนาดมหึมาของมาร์กซ์อยู่ข้างบน คนที่ไปยืนอยู่ตรงนั้นก็จะต้องเงยหน้าขึ้นมามองเขา ใต้รูปปั้นสลักเป็นอักษรสีทองว่า “คนงานจากทุกหนแห่งจงรวมตัวกัน” (“Workers of all lands unite”) และด้านล่างสลักว่า “Karl Marx” ซึ่งเป็นตัวอักษรสีทองเช่นกัน ด้านล่างเป็นศิลาฤกษ์ขนาดเล็กอยู่ในแท่น สลักเป็นชื่อของคนที่ถูกฝังไว้ที่นี่โดยเป็นอักษรเรียบง่ายที่ไม่ใช่สีทอง ข้าง ๆ คาร์ล มาร์กซ์ ก็คือ เจนนี่ (Jenny) ภรรยาของเขา แฮร์รี ลองเกต (Harry Longuet) หลานชาย และ เอลานอร์ (Eleanor) ลูกสาว รวมไปถึง เฮลีน ดีมุธ (Helene Demuth) ซึ่งเป็นผู้นำครอบครัวของมาร์กซ์มาหลายทศวรรษ
มาร์กซ์เลือกแผ่นศิลาฤกษ์รูปทรงเรียบง่ายด้วยตัวเองหลังจากที่ภรรยาของเขาถึงแก่กรรม เขาไม่ใช่คนประเจิดประเจ้อ เขาพูดออกมาเลยว่าอยากให้จัดงานศพเขาแบบเงียบ ๆ โดยให้มีคนเข้าร่วมนิดเดียวพอ มีคนมางานศพเขาแค่สิบเอ็ดคนเท่านั้น ฟรีดริช เองเกลส์ (Friedrich Engels) สามารถเข้าไปขัดขวางแผนการของพรรคสังคมประชาธิปไตยเยอรมันที่พยายามจะสร้างอนุสาวรีย์ให้กับมาร์กซ์ตรงสุสาน เขาเขียนจดหมายถึง ออกุส บีเบิล (August Bebel) ว่า ครอบครัวของมาร์กซ์ไม่เห็นด้วยกับการสร้างอนุสาวรีย์ให้เขา เพราะสำหรับครอบครัวของมาร์กซ์แล้ว ศิลาฤกษ์ขนาดเล็ก “จะถูกลดทอน/ดูหมิ่น/ไม่ให้เกียรติ หากถูกแทนที่ด้วยอนุสาวรีย์” (MECW 47, p. 17)
ประมาณ 70 ปีต่อมา ทุกคนก็จากไปและไม่เหลือใครที่จะมาปกป้องหลุมศพของมาร์กซ์อีก อนุสาวรีย์ปัจจุบันถูกสั่งให้สร้างขึ้นโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งบริเตนใหญ่และเปิดโชว์ในปี ค.ศ. 1956 อนุสาวรีย์คงจะมีขนาดใหญ่กว่านี้ถ้าไม่มีกฎเข้ามาจำกัด เหล่านักมาร์กซิสต์แสดงตัวว่าต่อต้านเจตจำนงของมาร์กซ์อย่างชัดเจน
“ข้าพเจ้าไม่ใช่มาร์กซิสต์” (“Je ne suis pas marxiste”) มาร์กซ์กล่าวกับ พอล ลาฟาร์ก (Paul Lafargue) ลูกเขยของเขาด้วยท่าทีหนหวยเมื่อลูกเขยเล่าถึงการเคลื่อนไหวของเหล่า “มาร์กซิสต์ฝรั่งเศส” เองเกลส์เองได้เผยแพร่ข้อความนี้ออกไปหลายครั้ง รวมทั้งในจดหมายที่ส่งถึงหนังสือพิมพ์ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อให้สาธารณชนได้อ่านกัน ระยะห่างระหว่างมาร์กซ์กับมาร์กซิสต์ยังปรากฏอยู่ในข้อคิดเห็นอื่น ๆ อีกด้วย ตอนมาร์กซ์อาศัยอยู่ในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1882 เขาเขียนถึงเองเกลส์ว่า “พวก ‘มาร์กซิสต์’ และ พวก ‘ต่อต้านมาร์กซิสต์’ […] ในสภาสังคมนิยมของพวกเขาที่โรอาน (Roanne) และแซงต์เอเตียน (St-Étienne) ได้กระทำความฉิบหายวายป่วงเพื่อให้ข้าพเจ้าอยู่ในฝรั่งเศสอย่างไม่เป็นสุข.” (MECW 46, p. 339)
มาร์กซ์ไม่ได้ปรารถนาที่จะสร้าง “ลัทธิมาร์กซ์” ขึ้นมาไม่ว่าจะกรณีใด ๆ และไม่ใช่แค่นั้นด้วย ในตอนที่ อดอร์ฟ แวกเนอร์ (Adolph Wagner) นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันคนแรกที่วิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีของมาร์กซ์ในงานของเขา เขียนเกี่ยวกับ “ระบบสังคมนิยม” ของมาร์กซ์ลงไปในงานของเขา มาร์กซ์ได้อ่านและตะขิดตะขวงใจเป็นอย่างมากจึงบันทึกลงสมุดโน้ตสั้น ๆ ว่า เขา “ไม่เคยสร้างระบบสังคมนิยม” (MECW 24, p. 533) ขึ้นมาแต่อย่างใด มาร์กซ์ไม่เคยคิดที่จะสถาปนา “ระบบ” หรือ “ลัทธิ” อะไรเลย ไม่มีถ้อยแถลงอันไหนของมาร์กซ์ที่บ่งบอกเลยว่า เขาพยายามสถาปนาตัวเองเป็นบิดา “ลัทธิ” มาร์กซ์ถือว่าตัวเองเป็นบุรุษของ “พรรค” (ซึ่งเขาไม่ได้หมายถึงองค์กรใดเป็นการเฉพาะ แต่หมายถึงกลุ่มพลังทั้งหมดที่กำลังต่อสู้กับระบบทุนนิยมและต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยทางสังคม) และมาร์กซ์ถือว่าตัวเองเป็นบุรุษแห่งวิทยาศาสตร์ เขาถือว่างานเขียนเรื่อง “ทุน” (‘capital’) เป็น “ขีปนาวุธมหันตภัยร้ายแรงที่สุดที่ยังไม่เคยถูกขว้างใส่หัวกระฎุมพี (รวมไปถึงเจ้าที่ดินด้วย)” (MECW 42, p. 358) เขาถือว่างานชิ้นนี้เป็นหนึ่งใน “ความพยายามที่จะปฏิวัติวิทยาศาสตร์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์” (MECW 41, p. 436) มาร์กซ์เป็นคนเน้นความสำคัญของ “วิทยาศาสตร์” เอง ในคำนำของ ‘ทุน’ เล่มแรกเขาเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้ายินดีรับฟังทุกความคิดเห็นที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์” (MECW 35, p. 11) สิ่งที่มาร์กซ์เขียนเอาไว้ไม่ได้เป็นแค่วาทศิลป์ปากเปล่า มาร์กซ์รู้ดีว่า การยืนยันทางวิทยาศาสตร์ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงและผิดพลาดได้ “De omnibus dubitandum” – “ทุกอย่างต้องถูกตั้งคำถาม” เขาเขียนข้อความดังกล่าวเป็นคำตอบต่อคำถามเรื่องคติประจำชีวิตในแบบสอบถามที่ลูกสาวเอามาให้เขา งานต้นฉบับของเขาจำนวนมากที่ไม่ได้ถูกตีพิมพ์ออกมา และงานฉบับปรับปรุงแก้ไขที่ตีพิมพ์ไปบ้างแล้วส่วนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ยืนยันว่า เขาไม่ได้ยกงานของเขาให้อยู่ในสถานะที่ตั้งคำถามไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์ของลัทธิมาร์กซ์ การทำเช่นนี้กลับเป็นไปอีกแบบหนึ่ง
ตามประวัติศาสตร์แล้ว การที่ผลงานของเองเกลส์ในช่วงหลัง ๆ ได้รับความนิยมขึ้นมา โดยเฉพาะงานเขียนเกี่ยวกับ ‘การต่อต้านดูริง’ (Anti-Dühring) เป็นจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่การสร้าง “ลัทธิมาร์กซ์” ขึ้นมา แต่การทำให้เองเกลส์กลายเป็น “ผู้ประดิษฐ์คิดค้น” ลัทธิมาร์กซ์ก็เหมือนเป็นการมองด้านเดียว เหมือนที่สำนักพิมพ์ Propyläen ทำตอนพวกเขาแปลชื่อชีวประวัติของเองเกลส์ ซึ่งเขียนขึ้นโดยทริสแทรม ฮันต์ (Tristram Hunt) เป็นภาษาเยอรมันว่า “บุรุษผู้คิดค้นมาร์กซิสม์” (“The Man who Invented Marxism”) ซึ่งต้นฉบับภาษาอังกฤษมีชื่อที่ตรงกว่านั้น นั่นก็คือ “คอมมิวนิสต์ในเสื้อฟร็อกโค้ท” (“The Frock-Coated Communist”) และในทศวรรษที่ 1870 นี่เองที่แรงกดดันทั้งจากบีเบิล กับลีคเนค (Liebknecht) ผลักให้เองเกลส์ต้องเผชิญกับแนวคิดของอาจารย์มหาวิทยาลัยชาวเยอรมัน อาเกน ดูริง (Eugen Dühring) ซึ่งนับวันเขาผู้นี้ยิ่งมีผู้สนับสนุนแนวคิดสังคมประชาธิปไตยเยอรมันของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อดูริงอ้างว่าได้รวบรวม “ระบบ” ใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีทั้งความละเอียดและครอบคลุมไม่ว่าจะเป็น ปรัชญา ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เองเกลส์จึงต้องติดตามเขาในทุก ๆ ด้านที่ว่ามา ในขณะเดียวกัน เองเกลส์ก็เน้นย้ำในอารภัมบท (preface) ว่า งานเขียนของเขา “ไม่ว่าจะด้วยวิธีหรือด้วยการตีความแบบใดก็ตาม ไม่สามารถมุ่งเสนอระบบอื่นแทน “ระบบ” ของดูริงได้ (MECW 25, p. 6) ทว่าคำใบ้นี้ก็ไม่ได้มีผลอะไรเลย เมื่อพิจารณาตามประวัติศาสตร์แล้ว การต่อต้านดูริงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ก่อให้เกิด “ระบบ” ขึ้นมา ซึ่งระบบที่ว่านี้ได้กลายมามีชื่อเสียงภายใต้ชื่อ “มาร์กซิสม์” ตัวแทนสำคัญคนแรกคือ คาร์ล เคาท์สกี้ (Karl Kautsky) ส่วนเลนิน (Lenin) เองก็ตามรอยระบบที่ว่านี้โดยไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเลยจวบจนสงครามโลกครั้งที่ 1
เองเกลส์ยังคงล้อเลียน “ความจริงสุดท้ายและสูงสุด” (MECW 25 p. 28) ที่ดูริงอ้างถึง ตอนนี้คำกล่าวอ้างดังกล่าว รวมไปถึงการมโนถึงอำนาจอันไร้ขีดจำกัดทั้งหลายแหล่ที่มีรากฐานมาจากคำกล่าวอ้างนี้ ต่างถูกบรรดานักมาร์กซิสต์สร้างขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า : “หลักคำสอนของมาร์กซิสม์มีอำนาจควบคุมทุกอย่างเพราะมันคือความจริง” ความแข็งทื่อทางความคิดเช่นนี้ถูกใส่ลงไปในแนวคิดมาร์กซิสม์สังคมประชาธิปไตยก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และยังดำเนินต่อไปในลัทธิมาร์กซิสม์-เลนินนิสม์ ซึ่งกลายมาเป็นหลักคำสอนที่ได้รับการยอมรับในสหภาพโซเวียตหลังจากที่เลนินถึงแก่กรรม
ข้าพเจ้าอยากกล่าวให้ชัดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้มุ่งหวังที่จะลดทอนความสำเร็จด้านการวิเคราะห์และด้านการเมืองของเคาท์สกี้ เลนิน หรือนักมาร์กซิสต์คนอื่น ๆ ถ้าเราอยากประเมินความสำเร็จเหล่านี้ เราก็ต้องประเมินเป็นกรณี ๆ ไป ข้าพเจ้ากำลังพูดถึงการลดทอนความคิดเชิงปรัชญาจำนวนมากที่ถูกยกว่าเป็น “ลัทธิมาร์กซ์” การยำรวมแนวคิดวัตถุนิยมพื้น ๆ เข้ากับแนวคิดความก้าวหน้าแบบกระฎุมพีและแนวคิดเฮเกลเลียนแบบหยาบ ๆ ออกมาเป็น “วัตถุนิยมวิภาษวิธี” กับ “วัตถุนิยมประวัติศาสตร์” ซึ่งเป็นศัพท์ที่หายังไงก็ไม่เจอในงานของมาร์กซ์
ตอนนี้ เหล่านักมาร์กซิสต์แห่งยุคสมัยใหม่ผู้รู้แจ้งและไม่ยึดติดกับคัมภีร์ จะรีบออกตัวปฏิเสธทันทีว่า พวกเขาไม่ใช่ลัทธิบูชาตัวบุคคลและไม่ได้บูชามาร์กซิสต์แบบเก่าที่ยึดติดกับคัมภีร์ด้วย มีเพียงจุดยืนอันรู้แจ้งของพวกเขาเท่านั้นที่ควรถือว่าเป็น “มาร์กซิสม์” สิ่งไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นบรรดาแนวคิดประวัติศาสตร์แบบกำหนดนิยม (determinist conceptions of history) ไปจนถึงการลดความสำคัญของความสัมพันธ์ทางเพศให้เป็น “ความขัดแย้งที่สำคัญรองลงมาเป็นอันดับสอง” ไปจนถึงกูลัก (Gulag) ของสตาลิน ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับมาร์กซิสม์ที่แท้จริง แต่ถึงกระนั้น ถ้าเราถามว่า แล้วอะไรคือมาร์กซิสม์ที่แท้จริง? ก็จะไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และถ้าเราพยายามสร้าง “มาร์กซิสม์ที่แท้จริง” เราก็จะเจอกับความยุ่งยากลำบากใจ นั่นคือ ถ้าเราสอดแทรกเนื้อหาเข้าไปเยอะเกิน มันก็จะแข็งทื่อเกินไปและสุดท้ายก็จะขัดกับหลักการที่จะตามมา “Lysenkoism” เป็นตัวอย่างที่รู้จักกันดีของกรณีดังกล่าว แต่ถ้าเราปล่อยให้มันคลุมเครือหรืออยู่ในสถานะกว้าง ๆ เอาไว้ก่อน มันก็จะมีปัญหาตรงที่มาร์กซิสม์จะอยู่ในสถานะซ้ำซากจำเจ/เดิม ๆ/แข็งทื่อ เช่น การบอกว่า วัตถุเท่านั้นที่เป็นของจริง (everything real is material) ประวัติศาสตร์ขับเคลื่อนด้วยความขัดแย้ง ฯลฯ
นักมาร์กซิสต์บางคนมองว่า จอร์จ ลูคัส (Georg Lukács) เป็นคนที่หาทางลงให้กับปัญหาเหล่านี้ได้ ตามคำกล่าวของลูคัส แม้ว่าผลลัพธ์บางประการของทฤษฎีของมาร์กซ์จะถูกพิสูจน์ว่าผิด แต่ “วิธีการ” ของมาร์กซ์ก็ยังคงอยู่ นั่นก็คือ การยึดมั่นในวิธีการค้นคว้าแบบ “วิภาษวิธีวัตถุนิยม” (materialist dialectic) ควรเป็นแกนหลักของ “ลัทธิมาร์กซ์แบบออร์โธดอกซ์” (orthodox marxism) แม้แต่ในหมู่นักมาร์กซิสต์เองก็ยังเห็นไม่ตรงกันว่าแนวทางแบบวิภาษวิธีที่คนพูดถึงกันเยอะ ๆ คืออะไรกันแน่ และจริง ๆ มันไม่ได้ให้เราต้องยึดติดกับวิธีการถ้ามันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ถูกต้อง ข้าพเจ้าไม่ได้พยายามจะเสนอว่า มีแนวคิดวัตถุนิยมและวิภาษวิธีที่สมเหตุสมผลอยู่ ข้าพเจ้าแค่คลางใจว่า คนอาจจะยำรวมฐานคิดต่าง ๆ ของภววิทยาอันใดอันหนึ่งหรือวิธีการที่กว้างจนครอบคลุมทุกอย่างซึ่งมีที่มาจากแนวคิดเหล่านี้
ถ้าเราไม่สามารถกำหนดได้ว่าจริง ๆ แล้วอะไรคือลัทธิมาร์กซ์ เรายังคงใช้คำ ๆ นี้ในเชิงพรรณนา/บรรยาย อย่างเดียวก็ได้ (descriptive way) ดังนั้น นิยามของคำว่า “ลัทธิมาร์กซ์” ก็คือ “ลัทธิมาร์กซ์หมายรวมถึงปฏิบัติการในช่วง 150 ปีที่ผ่านที่อ้างอิงงานเขียนของคาร์ล มาร์กซ์ รวมไปถึงนักเขียนและนักเคลื่อนไหวที่อ้างอิงถึงมาร์กซ์ในเวลาต่อมา ทั้งในแง่ของภาพรวมและความต่อเนื่อง” เมื่อคุยไปคุยมาก็จะมีการพูดถึง “การปู้ยี่ปู้ยำลัทธิมาร์กซ์ด้วยน้ำมือของลัทธิสตาลิน (Stalinism) และลัทธิฟาสซิสต์” เท่าที่เห็นคือ ลัทธิสตาลินไม่ได้ถูกนับให้เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิมาร์กซ์แม้จะมีการอ้างอิงถึง “งานเขียนของคาร์ล มาร์กซ์” อยู่ก็ตาม และนักมาร์กซิสต์ร่วมสมัยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ติดใจเรื่องที่ลัทธิสตาลินเป็นส่วนหนึ่งของลัทธิมาร์กซ์ ซึ่งในหมู่คนเหล่านี้เองก็เป็นนักมาร์กซิสต์ที่เฉียบแหลม อย่างเช่น แอร์นส์ บล็อค (Ernst Bloch) ถ้าเราลบลัทธิสตาลินออกไปจากประวัติศาสตร์ลัทธิมาร์กซ์ เราจะก็ไม่ต่างอะไรจากสตาลิน ตรงที่เขาเองก็พยายามขีดฆ่าคนที่เขาเห็นว่าไม่ใช่ ‘มาร์กซิสต์’ ออกไปจากบันทึกประวัติศาสตร์และภาพถ่ายเก่า ๆ เช่นกัน
สำหรับนักมาร์กซิสต์ มันไม่ง่ายเลยที่จะบอกว่าจริง ๆ แล้ว “ลัทธิมาร์กซ์” คืออะไรกันแน่ ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของมาร์กซ์ด้วย เราต้องยอมรับก่อนว่า ตัวมาร์กซ์เองไม่ได้ทำให้มันง่ายสำหรับพวกเขาเท่าไรนัก งานของมาร์กซ์ไม่ได้มีแค่งานเขียนที่เขาตีพิมพ์ออกมาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงต้นฉบับอีกจำนวนมากที่ไม่ถูกตีพิมพ์ออกมาในช่วงชีวิตของเขา งานเขียนเกี่ยวกับพื้นฐานทฤษฎีทั้งหมดที่มาร์กซ์พยายามสร้างสรรค์ออกมาก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ต้นฉบับที่ไม่ได้ตีพิมพ์ออกมา เช่น “ต้นฉบับเศรษฐกิจและปรัชญา” (“Economic and Philosophical Manuscripts”) ของปี ค.ศ. 1844 หรือ the omnibus ของปี ค.ศ. 1845/46 ซึ่งกลายมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “อุดมการเยอรมัน” (“The German Ideology”) ก็ยังไม่เสร็จและยังกระจัดกระจายอยู่ งานเขียนที่ตีพิมพ์ออกมาหลายชิ้นก็มีทั้งบทสรุปของช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น “แถลงการณ์คอมมิวนิสต์” ในปี ค.ศ. 1848 และมีทั้งที่เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ยังเขียนไม่เสร็จ เช่น “ส่วนหนึ่งของการวิพากษ์เศรษฐกิจการเมือง” (“Contribution to the Critique of Political Economy”) (1859) เล่มแรก หรือ “ทุน” (“Capital.”) (1867/1872) เล่มแรก ในบทวิเคราะห์ทางการเมือง เช่น บรูแมร์ที่ 18 (“the 18th Brumaire”) (1852) หรือ “สงครามกลางเมืองในฝรั่งเศส” (“The Civil War in France”) (1871) มีการลงรายละเอียดเนื้อหาของแต่ละหัวข้ออย่างครอบคลุม แต่ทฤษฎีรัฐและการเมืองที่มาร์กซ์อยากเขียน กลับถูกเขียนออกมาแบบอ้อม ๆ ไม่ชัดเจนและไม่สมบูรณ์ มาร์กซ์จากไปทั้ง ๆ ที่ยังเขียนงานไม่เสร็จ ซึ่งไม่ใช่แค่ชิ้นเดียวแต่หลายชิ้นเลย จึงไม่แปลกที่การอภิปรายถึงงานเขียนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความลึกตื้นหนาบาง ความแตกต่าง รวมไปถึงความเกี่ยวข้องระหว่างงานแต่ละชิ้น ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นดีที่ทำให้เกิดการถกเถียงมากมายมาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ หลังจากที่มาร์กซ์เสียชีวิตลง มีการตีพิมพ์งานของเขาออกมาทีละนิดทีละหน่อยเท่านั้น (และยังคงถูกตีพิมพ์ออกมาอยู่จนทุกวันนี้) นักอ่านทุกรุ่นต้องเผชิญกับผลงานของมาร์กซ์ที่แตกต่างกันออกไป และในศตวรรษที่ 20 หลาย ๆ คนก็ได้ประกาศออกมาว่าจะได้รู้จักมาร์กซ์ตัวจริงแล้ว อย่างไรก็ตาม ผลงานที่ถูกตีพิมพ์ออกมาหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงมักจะถูกแก้ไข/ปรับปรุง อย่างละเอียดโดยบรรณาธิการที่มีส่วนเกี่ยวข้องก่อนจะตีพิมพ์ โดยเฉพาะ ทุน เล่ม 2 และ 3 ที่เองเกลส์เป็นคนตีพิมพ์ รวมไปถึง “ต้นฉบับเศรษฐกิจและปรัชญา” และ “อุดมการเยอรมัน” ซึ่งตีพิมพ์ในทศวรรษที่ 1920 และ 1930 ส่วนงานเขียนของมาร์กซ์และเองเกลส์ได้รับการตีพิมพ์อย่างสมบูรณ์โดยปราศจากการแก้ไขใด ๆ เป็นครั้งแรกในเล่มที่สองของชุดงานเขียนที่มีชื่อว่า “Marx Engels Gesamtausgabe” (MEGA) ซึ่งตีพิมพ์ออกมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 และตอนนี้ก็มีอยู่เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในสายธารแนวคิดมาร์กซิสม์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ตำราของมาร์กซ์และเองเกลส์ก็ไม่ได้มีบทบาทอะไรขนาดนั้นอยู่ดี ตอนแรก ผู้คนชื่นชอบแนวคิดโดน ๆ ไม่กี่อย่าง เช่น “ประวัติศาสตร์ทั้งปวงคือประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ทางชนชั้น” (history always being a “history of class struggle”) หรือ “คอมมิวนิสม์คือการเคลื่อนไหวที่มุ่งทำลายสรรพสิ่งในปัจจุบันกาลลงอย่างจริงจัง” (communism as “the real movement that abolishes the present state of things”) ไม่ค่อยมีคนสนใจบริบทในตอนที่มาร์กซ์เขียนถ้อยแถลงเหล่านี้ขึ้นมา และถ้อยแถลงเหล่านี้อาจถูกนำมาดัดแปลงเพื่อพัฒนาทฤษฎีของเขาอย่างไรบ้างก็เป็นเรื่องที่ถูกมองข้าม ในสายตาของมาร์กซิสม์ มาร์กซ์ไม่ใช่คนที่น่าสนใจในฐานะ ‘นักคิดผู้หมั่นเรียนรู้และพัฒนาแนวคิดของตัวเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย’ แต่เขาเป็นบุคคลที่น่าสนใจในฐานะ ‘ผู้สถาปนาความจริงสูงสุด’ นั่นก็คือ “ลัทธิมาร์กซ์”
ในทำนองเดียวกัน นักมาร์กซิสต์สมัยใหม่ผู้รู้แจ้งหลายคนยังเว้นระยะห่างที่แน่นอนในการที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับงานของมาร์กซ์ พวกเขาย้ำอยู่บ่อย ๆ ว่า ไม่ได้ต้องการที่จะ “ศึกษาภาษา (ของมาร์กซ์?-ผู้แปล) ในแง่ของบริบททางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม” (philology–ภาษาศาสตร์**) แต่ต้องการศึกษามาร์กซ์ในแง่มุมทางการเมือง/อย่างเป็นการเมือง อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งการเว้นระยะห่างจากภาษาศาสตร์ หลัก ๆ ก็เพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะคงไว้ซึ่งทฤษฎีของมาร์กซ์และลัทธิมาร์กซ์ในแบบฉบับของพวกเขาเอง ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครอ้างถึงแนวคิด praxis (ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นแก่นหลักของทฤษฎีของมาร์กซ์) ในงานเขียน Theses on Feuerbach โดยเชื่อมโยงและอ้างอิงต่อไปยังบริบทของการถกเถียงระหว่างฟอยเออร์บัค (Feuerbach) กับยุวเฮเกเลียน ซึ่งการอ้างอิงกลับไปยังต้นทาง (ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่-ผู้แปล) เช่นนี้ทำให้ Theses on Feuerbach สูญเสียความสำคัญ/ความมั่นคงลงในฐานะเอกสารต้นทาง/พื้นฐาน หรือถ้าใครขยายความว่า จริง ๆ แล้วมาร์กซ์เริ่มวิเคราะห์ทุนนิยมหลังจากที่เขียนงาน “แถลงการณ์คอมมิวนิสต์” ออกมา หรือถ้าใครถึงขั้นปฏิเสธข้อความในแถลงการณ์ดังกล่าว ก็จะไม่มีใครอยากคุยต่อ เช่นเดียวกัน ถ้ามีคนบอกว่า ไม่ใช่ทุกข้อความใน “ทุน” ที่จะอยู่ในสถานะแน่นอนตายตัวจนเอามาถกเถียงแลกเปลี่ยนกันไม่ได้ หรือถ้ามีคนบอกแนว ๆ ว่า มีข้อบ่งชี้ว่า ในปี ค.ศ. 1870 มาร์กซ์อาจวิเคราะห์ลงลึกมากขึ้นในเรื่องของ “กฎแนวโน้มของอัตรากำไรที่จะลดลง” (law of the tendency of the rate of profit to fall) ซึ่งเขาร่างขึ้นในต้นฉบับของทุนเล่มที่สามในปี ค.ศ. 1864/65 คนที่บอกแนว ๆ นี้จะโดนตอกกลับมาว่า “ให้ความสำคัญกับมิติทางภาษามากไป”
ขอย้ำชัด ๆ อีกครั้ง การบอกว่า “การวิพากษ์ทุนนิยมจะไม่หายไปพร้อม ๆ กับการศึกษามิติด้านภาษา” เป็นอะไรที่ได้ยินจนเบื่อ ในทางกลับกันเอง การบอกว่า “ถ้าใครอยากศึกษาแนวคิดของมาร์กซ์ ต้องใช้ทฤษฎีเหล่านั้นด้วยสายตาวิพากษ์และไม่ศึกษาตำราแค่เพียงเผิน ๆ ” ก็ซ้ำซากจำเจไม่แพ้กัน แต่ก็ใช่ การใช้ทฤษฎีของเขาโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเลยนี่แหละที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ
ประเด็นสุดท้าย ในหมู่นักสังคมศาสตร์สายวิพากษ์ โดยเฉพาะในสมาคมวิจัยสังคมเชิงวิพากษ์ (Assoziation für kritische Gesellschaftsforschung/AkG) [สมาคมวิจัยสังคมเชิงวิพากษ์ – บันทึกของผู้แปล (ต้นฉบับ)] มีบุคคลนามว่า มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง มีการอ้างอิงถึงการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจกับความรู้ของเขาอย่างล้นหลาม อย่างไรก็ตาม ภายในหมู่มาร์กซิสต์เอง แม้แต่คนที่มีความเป็นสมัยใหม่ไม่ยึดติดคัมภีร์ ก็ยังตะขิดตะขวงใจที่จะมองว่าลัทธิมาร์กซ์เป็นแค่ปมปัญหาความรู้-อำนาจ (power-knowledge complex) และในงานประชุมที่จัดขึ้นโดย AkG ไม่มีการถกเถียงหารือเกี่ยวกับลัทธิมาร์กซ์ในฐานะเครื่องมือที่ใช้ในการครอบงำเลย
มีการอภิปรายถกเถียงเกี่ยวกับลัทธิมาร์กซ์ใน GDR อยู่บ้าง แต่ไม่ได้มีเพียงแค่ลัทธิสตาลินกับประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์อำนาจนิยมเท่านั้นที่เข้าข่ายหัวเรื่องนี้ ซึ่งประวัติศาสตร์ของลัทธิมาร์กซ์เป็นประวัติศาสตร์ของการกีดกันและการครอบงำเสมอมา นอกจากนั้นเอง ในกลุ่มฝ่ายซ้ายและงานสัมมนาของมหาวิทยาลัยในฝั่งตะวันตก สิ่งที่หลาย ๆ คนยึดถือว่าเป็น “ลัทธิมาร์กซ์ที่แท้จริง” ยังทำให้เกิดการแบ่งแยกมากมายระหว่างสิ่งที่ถือว่า “ยังเป็นมาร์กซิสต์อยู่” กับสิ่งที่ “ไม่เป็นมาร์กซิสต์อีกต่อไป” และทำให้เกิดการแบ่งแยกว่าจะนับรวมหรือกีดกันสิ่งใดออกไปจากวาทกรรม (discourses) และปฏิบัติการทางสังคม (social practices)
ถึงแม้บางคนอยากจะคิดแบบนั้น อำนาจระดับย่อยมันก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่จุดกำเนิดของลัทธิมาร์กซ์ (ตะวันตก) บางคนหวนนึกถึง “ฤดูร้อนแสนสั้นของมาร์กซิสม์เชิงวิชาการ” (Elmar Altvater) ที่ปรากฏอยู่ในมหาวิทยาลัยเยอรมันตะวันตกช่วงทศวรรษที่ 1970 ผลผลิตในช่วงดังกล่าวส่วนมากเป็นสิ่งที่มโนกันขึ้นมาเอง ซึ่งก็มีรากฐานมาจากผลพวงทางวาทกรรมของอำนาจ การที่ใครสักคนหนึ่งจะสาธิตว่าเขาล้ำก็คือ ไม่ว่าเขาจะพูดในหัวเรื่องอะไรอยู่ อย่างน้อยต้องพูดถึง “ความขัดแย้งระหว่างมูลค่าการใช้กับมูลค่าการแลกเปลี่ยน” แบบผ่าน ๆ อย่างไรก็ดี บทวิเคราะห์ทฤษฎีของมาร์กซ์และผลงานอื่น ๆ ที่ต่อยอดมาจากทฤษฎีของมาร์กซ์ในยุคนั้น มีหลายชิ้นที่ควรค่าแก่การอ่าน แต่ก็มีหลายชิ้นที่ไม่เม้คเซ้นส์เช่นกัน
จะอย่างไรก็ตามที มาร์กซ์ไม่เคยแสวงหาความจริงสูงสุด (final certainties) เขาอยากจะทำลายความจริงทั้งปวง (certainties) ลงมากกว่า และเขาแสวงหาวิธีการที่ว่านี้ผ่านการวิพากษ์อย่างขุดรากถอนโคน ทั้งนี้ก็เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับการคิดและการกระทำใหม่ ๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ถูกต้องจะเป็นอย่างไรนั้นก็ไม่ได้ชัดเจนสมบูรณ์
ตรงกันข้ามกับ “ลัทธิมาร์กซ์” ที่มุ่งหาความแน่นอนตายตัว มุ่งหาความจริงสูงสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่มาร์กซ์ปฏิเสธมาโดยตลอด มาร์กซ์ผู้เฉียบแหลมและยังไม่เสร็จภารกิจผู้นี้นี่เองที่มุ่งวิพากษ์วิจารณ์สรรพสิ่งที่ดำรงอยู่และจุดประกายให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แนวคิดหรือการวิเคราะห์ของเขามีอะไรบ้างที่เป็นประโยชน์ มีอะไรบ้างที่จะใช้เปลี่ยนแปลงโลกได้ มีอะไรบ้างที่ใช้ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ตายตัวหรือเป็นจริงในทุกเวลา เราจะต้องถกเถียงหารือและประเมินสถานการณ์ใหม่อยู่เสมอ : “De omnibus dubitandum” – “ทุกอย่างต้องถูกตั้งคำถาม”
- โครงการทางการเมืองที่ริเริ่มโดยนักชีววิทยาโซเวียตนามว่า โทรฟิม ลีเซนโก (Trofim Lysenko) เป็นโครงการที่ปฏิเสธพันธุศาสตร์ (genetics) และเกษตรกรรมแบบวิทยาศาสตร์ในกลางศตวรรษที่ 20 เป็นแนวคิดที่ปฏิเสธการคัดสรรโดยธรรมชาติ (natural selection) และมุ่งไปในแนวทฤษฎีของลามาร์ค (Lamarckism) ที่เชื่อว่า สิ่งมีชิวิตสามารถ ส่งต่อ/ถ่ายทอด ลักษณะทางกายภาพไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลานได้ —- และมุ่งขยายเทคนิคการกระตุ้นให้พืชออกดอกโดยใช้ความเย็น (vernalization) รวมไปถึงการทาบกิ่ง/ต่อกิ่งพืช (grafting)
- GDR ย่อมาจาก “German Democratic Republic” หรือ “เยอรมนีตะวันออก” ซึ่งมีชื่ออย่างทางการว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี”
**หมายเหตุผู้แปล : ผู้แปล แปลคำว่า “marxism” เป็น “ลัทธิมาร์กซ์” และในบางจุดของบทความก็แปลเป็นคำทับศัพท์ไปเลยว่า “มาร์กซิสม์” ในส่วนของคำว่า “marxist” ผู้แปล แปลเป็นภาษาไทยว่า “มาร์กซิสต์” กับ “นักมาร์กซิสต์” //ดังนั้นในบทความจะมีทั้งคำว่า “ลัทธิมาร์กซ์” กับ “มาร์กซิสม์” ซึ่งแปลมาจากคำเดียวกัน นั่นก็คือคำว่า “marxism” และ “มาร์กซิสต์” กับ “นักมาร์กซิสต์” สลับกันไปมา โดยแปลมาจากคำเดียวกันนั่นก็คือ “marxist” **
by sometimes.DinDeng | Apr 25, 2023 | Articles บทความ, Understanding Thailand, ไทย
ผู้เขียน: สหายS!nk
บทความนี้ผู้เขียนตั้งใจว่าจะเขียนขึ้นมาเพื่อชวนคิดชวนคุยกับผู้อ่าน หรือ จะเรียกว่าเป็นแบบระดมไอเดียเท่าที่คิดได้และไม่มีการเรียบเรียงเป็นเส้นตรง บทความนี้จึงเป็นไปเพื่อการเอาเครื่องมือทางความคิดมาวางให้เลือกนำไปใช้ โดยไม่ได้มีประเด็นไหนสำคัญกว่าประเด็นอื่นๆ
ข้อมูลจาก The Pew Research Center ระบุว่าสถิติของ ‘คนไม่มีศาสนา’ เพิ่มสูงขึ้นจาก 35 ล้านคน เมื่อปี 2008 มาเป็น 1,100 ล้านคน ในปี 2019 (1) เป็นที่แน่นอนว่าในปัจจุบันนี้ (ปี 2023) จำนวนประชากรโลกที่ไม่นับถือศาสนาก็จะยังเพิ่มขึ้นต่อไปอีก เรื่องนี้เคยถูกทำนายไว้เมื่อสองร้อยกว่าปีที่แล้ว โดยนักนักปรัชญาชาวเยอรมัน ฟรีดริช นีทเชอ (Friedrich nietzsche) ซึ่งนีทเชอเองไม่ได้มอง “การตายของพระเจ้า” (God is dead) ในมุมมองแง่บวกแบบชาวเอทีสต์หน้าใหม่ว่า “เย้ ในที่สุดวิทยาศาสตร์ก็ชนะ ผู้คนจะเลิกงมงายแล้ว!” แต่หากมองว่าศาสนามีฟังก์ชันมากกว่าเป็นแค่การ “ทำให้คนงมงาย” ซึ่งการหายไปของศาสนาโดยไม่มีอะไรมาแทนที่ จะนำไปสู่สภาวะสุญนิยม (Nihilism) หรือก็คือสภาวะที่เรารู้สึกว่าชีวิตกลวงเปล่าไร้ความหมาย, นำไปสู่ความโดดเดี่ยว, สิ้นหวัง และ ซึมเศร้า
แต่ถึงกระนั้นผู้เขียนเองในปัจจุบันก็ไม่ได้นับถือศาสนา แต่มองว่าการเลิกนับถือศาสนาเก่านั้นเป็น “จุดเริ่มต้น” ในการเดินทางของจิตวิญญาณและแนวคิด มากกว่าจะเป็นจุดสิ้นสุด (ไม่โดนศาสนาหลอกแล้ว ไม่งมงายแล้ว เย้)
ซึ่งในประเด็นข้อเสนอของนีทเชอนั้น จะมีการขยายความเพิ่มเติมในรายการ Analysand podcast ชื่อตอน “พระเจ้าตายแล้ว!” (God is dead) ที่กำลังจะออกในเร็วๆ นี้ สามารถติดตามได้ที่แชแนล Analysand ทั้งในยูทูปและสปอติฟาย
เราอาจมองได้ว่าความเสื่อมถอยของศาสนาก็เป็นส่วนนึงในการก่อให้เกิดความก้าวหน้าในโลกตะวันตก นั่นเพราะ เมื่อศาสนาที่เป็นเรื่องของความเชื่อได้ตายลงแล้ว ปรัชญาก็มีที่ทางในสังคมมากขึ้นเรียกได้ว่าเป็นยุคสมัยแห่งเหตุผล (Age of reason) หรือ ยุคสมัยแห่งการตื่นรู้ (Age of Enlightenment) ในขณะที่ยุคก่อนหน้านั้นที่ศาสนาเรืองอำนาจถูกเรียกว่า ยุคมืด (Dark age)
ซึ่งภาคปฏิบัติการของความเชื่อมั่นในเหตุผลก็ คือ “วิทยาศาสตร์” ซึ่งในเวลาต่อมาวิทยาศาสตร์ก็นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยี จนเกิดเป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรม นำมาสู่การปฏิวัติวิถีการผลิตครั้งใหญ่ มีการผลิตแบบ Mass production มีการสะสมทุนอย่างไม่เคยมีมาก่อน และ แน่นอนว่าเทคโนโลยีของอาวุธก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนในเวลาต่อมานำมาสู่มหาสงคราม อย่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2
ตั้งแต่นั้นมาชาวตะวันตกเลยให้ความสำคัญกับ วิทยาศาสตร์และเหตุผลเป็นอย่างมาก ได้มีการจัดวางว่าศาสนาเป็นขั้วตรงข้ามกับปรัชญา ตัวผู้เขียนเองก็เคยตั้งข้อสันนิษฐานว่าลำดับการพัฒนาของชาติแต่ละชาติก็ควรดูตัวอย่างพัฒนาการของโลกตะวันตก หรือ ถ้าพูดอย่างเจาะจง คือ โซนยุโรป และ ถ้าเราต้องการให้ประเทศไทยเราพัฒนาบ้าง ขั้นต้นก็ต้องล้มล้างศาสนาให้ได้ก่อน เพื่อให้ประเทศเราเข้าสู่ “ยุคสมัยแห่งเหตุผลและการตื่นรู้” ตามขั้นตอนของชาติยุโรปที่พัฒนาสำเร็จก่อนเรา
แต่ข้อสันนิษฐานี้วางอยู่บนคติแนวยึดยุโรปเป็นศูนย์กลาง (Eurocentrism) โดยไม่ได้พิจารณาบริบทความแตกต่างทางวัตถุ และ ประวัติศาสตร์ ระหว่างประเทศเรากับเขาซึ่งการตั้งโจทย์ผิด ก็นำไปสู่ความเข้าใจผิดๆ และ ข้อปฏิบัติผิดๆ เช่นกัน
ศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นขั้วตรงข้ามกันจริงหรือ ? อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน หากแต่ก็ไม่ได้แตกต่างอย่างแยกขาด ไอแซค นิวตัน ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็น “The last alchemist” (นักเล่นแร่แปรธาตุคนสุดท้าย) และ นักวิทยาศาสตร์คนแรก ก็เคยกล่าวไว้ว่าทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของเขาเป็นการยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้า, เกรเกอร์ เมลเดล นักพฤษศาสตร์ที่พวกเราเคยเรียนกันตอนมัธยมก็เป็นบาทหลวง แม้กระทั่งนักบวชที่เสนอทฤษฎีบิ๊กแบงคนแรกๆ ก็บอกว่าทฤษฎีดังกล่าวเป็นการยืนยันถึงพลานุภาพของพระเจ้าในการสร้างจักรวาล (แต่เหล่าเอทีสต์ยุคปัจจุบันกลับนำทฤษฎีนี้มาหักล้างการมีอยู่ของพระเจ้าซะอย่างนั้น) นอกจากนี้ในช่วงที่เป็น “ยุคมืด” ของชาวยุโรป ศิลปวิทยาการ, เทคโนโลยี, วิทยาศาสตร์, คณิตศาสตร์ ในโซนประเทศอาหรับที่ก็เป็นรัฐศาสนา กลับมีความเฟื่องฟูเหนือโซนยุโรป ประเทศจีนและอินเดียในสมัยนั้นก็เช่นกัน
ดังนั้นการมอง “ยุคสมัยแห่งเหตุผล” ว่าแยกขาดจากยุคมืดจึงเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน กลับกันเราจะเห็นร่องรอยของปรัชญาแนว Platonic ในข้อเขียนของนักบุญออกัสตีน, นักบุญโทมัน อไควนัส และ นักบุญคาทอลิกท่านอื่นๆ และในเวลาต่อมาก็สืบเนื่องไปยังศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ แต่เราจะไม่ค่อยเห็นร่องรอยทางปรัชญาแบบนี้ในคริสเตียนออร์ทออดอกซ์ ที่ไม่ได้มีจุดศูนย์กลางที่ยุโรปตะวันตก
ทีนี้เรากลับมาดูที่ประเทศไทยเราบ้าง น่าแปลกที่ข้อถกเถียงสุดคลาสิคในการโจมตีศาสนาพุทธ (แบบไทยๆ) ก็ คือ เรื่องเจ้าชายสิทธัตถะเดินได้ 7 ก้าวทันทีหลังคลอดออกจากท้องแม่ได้ยังไง ? เป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์! ซึ่งผมก็เห็นด้วยอยู่ครึ่งนึง แต่ถ้าด้วยตรรกะนี้แล้วผมว่าศาสนาอื่นๆก็ไม่ได้ต่างมากในแง่ของความเหนือจริง ความแฟนตาซี แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกันที่คนพูดประโยคดังกล่าวกลับไปเข้ารีตศาสนาแนวอับราฮามิค (ยิว, คริสต์, อิสลาม) ผมก็ไม่แน่ใจว่าตกลงในปัจจุบันเขาโอเคกับเรื่องเจ้าชายสิทธัตถะเดินได้ 7 ก้าวทันทีหลังคลอดหรือยัง หรือ พระเยซูเดินบนน้ำ, คืนชีพคนตาย (อันนี้พระพุทธเจ้าก็ทำไม่ได้), เสกน้ำเป็นไวน์, นบี มุฮัมหมัดผ่าดวงจันทร์ ฯลฯ อาจดูเมคเซ้นส์กว่าก็เป็นได้
นำมาสู่คำถามที่น่าสนใจ คือ “ไม่มีศาสนา = เลิกงมงาย” จริงหรือไม่ ? หากเราจะบอกว่าความงมงาย คือ “การเชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้” นั้นก็มีปัญหาดังนี้
- เรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็แปลได้ว่าอาจจะจริง หรือ ไม่จริง ก็ได้คนอย่างกับการ “พิสูจน์ว่าผิด” เช่น การมีอยู่ของพระเจ้าวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีอยู่ หรือ ไม่มีก็ไม่ได้ เพราะพลานุภาพของพระองค์เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจ การที่พระองค์ไม่ปรากฏตัว ไม่ยอมมาให้นักวิทยาศาสตร์ทดลองจนพบ ก็อาจเป็นแบบทดสอบอย่างนึงที่พระองค์มีต่อมนุษย์
- วิทยาศาสตร์เองก็มีการพัฒนาตลอดเวลาและสามารถผิดได้ เหมือนที่ครั้งนึงนักวิทยาศาสตร์รวมไปถึงบุคลากรทางการแพทย์ก็เชื่อว่าการมีรสนิยมรักร่วมเพศเป็น “ความผิดปกติที่ต้องได้รับการรักษา” หรือ การรักษาอาการทางจิตโดยเอาเหล็กแหลมแทงเข้าจมูกไปยังสมองส่วนหน้าเพื่อรักษาอาการทางจิต (Lobotomy) ซึ่งผู้ริเริ่มไอเดียดังกล่าวก็ได้รับรางวัลโนเบลด้วย
- สิ่งที่ถูกพิสูจน์ได้ล้วนแต่เป็นเรื่องในอดีต ส่วนเรื่องในอนาคตนับว่าเป็นเรื่องที่ “ยังพิสูจน์ไม่ได้” ไม่มีใครกล้ายืนยันว่าตัวเองจะตายตอนอายุเท่าไร หรือ แม้แต่จะไม่ “หัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน” ระหว่างการนอนในคืนนี้ คอมมิวนิสต์เองก็ไม่สามารถระบุได้ว่าการปฏิวัติจะเกิดขึ้นตอนไหน ส่วนคนที่มีความงมงายในระบบทุนนิยม แม้จะเชื่ออย่างหมดใจว่าตัวเองจะเป็นผู้ชนะ 1 ใน 1,000 คน (หากมีความพยายามมากพอ) ภายใต้ระบบตลาดที่ออกแบบให้คนส่วนใหญ่แพ้ แต่นั่นก็เป็นความงมงายรูปแบบนึงเพราะก็ มันยังไม่มาถึง/ยังไม่เกิดขึ้น และ ไม่มีอะไรการีนตีว่าตัวเองจะไม่ตกเป็นเหล่าผู้แพ้ 999 คน
จะเห็นได้ว่าแม้ประชากรคนรุ่นใหม่จะนับถือศาสนาน้อยลง แต่ทว่าก็มีกลุ่มคนที่เรียกว่า “สายมู” ซึ่งสะสมเครื่องรางของขลัง (ทั้งในรูปลักษณ์คลาสิค และ รูปลักษณ์ร่วมสมัย) ไปเข้าร่วมพิธีตามเทวาลัย หรือ สักการะศาลเจ้า เพื่อให้ได้โชคลาภ, ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน,โชคในเรื่องความรัก มีการดูดวงทำนายทายทัก พร้อมกับ “ไม่มีศาสนา” ไปด้วย
ผมจึงมีความเห็นว่า
- “การไม่มีศาสนา” ไม่เท่ากับการ “ไร้ความเชื่อ – ไม่งมงาย” โดยเราต้องมองว่า “ความรู้” นั้นเป็นอำนาจ (Power) ในตัวเองด้วย นั่นก็ คือ การได้มี “ความรู้” แบบชาติมหาอำนาจ (ยุโรป) ทำให้ผู้ที่มีความรู้ดังกล่าวรู้สึกมีอำนาจมากขึ้น (ดูมีการศึกษา, ฉลาด, หัวสมัยใหม่ ฯลฯ) และในทางกลับกันตัวความรู้เองก็เป็นอำนาจซึ่งครอบงำตัวผู้รู้ไปด้วยกัน
- ในเมื่อในตัวความรู้มันมีอำนาจครอบงำในตัวเองแล้ว การที่เราปฏิเสธแนวคิด ความเชื่อบางอย่าง จึงเป็นการต่อต้านต่ออำนาจและความเป็นสถาบันไปในตัว
- ไม่มีใครมีอุดมการณ์บริสุทธิ์ 100% ในตัวมนุษย์ทุกคนอาจมีลูกผสมของอุดมการณ์แบบศักดินา, เสรีนิยม, สังคมนิยม ฯลฯ ปะปนกันอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าบริบทใดอุดมการณ์ตัวไหนจะขึ้นมามีอำนาจนำเด่นชัดที่สุด ดังนั้นสภาวะของความย้อนแย้งในตัวเองเป็นเรื่องปกติ
หรือถ้าพูดให้ชัดไปกว่านั้น คือ จริงๆ แล้วคนไทยเราอาจไม่ได้มีปัญหากับตัวศาสนา (พุทธ) เท่ากับอำนาจครอบงำที่มาพร้อมกับศาสนา (พุทธ) เราชาวไทยที่เรียนโรงเรียนรัฐก็คงจะเคยประสบการการโดนยัดเยียดกิจกรรมทางศาสนาพุทธให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นการบังคับนั่งสมาธิคาบพระพุทธ, การบังคับไปค่ายปฏิบัติธรรม, การบังคับสวดมนตร์หน้าเสาธง, การบังคับให้ท่องจำ ซึ่งให้ความรู้สึกถูกกดทับและมีอำนาจน้อยลง ในขณะที่การใช้ความรู้แบบยุโรปๆ วิทยาศาสตร์ ๆ ทำให้เรามีอำนาจไปใช้ในการต่อต้าน, ถกเถียง, กบฏ ต่อผู้ที่ใช้อำนาจบังคับเรา (ทั้งจากสถาบันครอบครัว และ สถาบันการศึกษา” เหมือนที่ มิเชล ฟูโกต์ เคยกล่าวไว้ว่า “ที่ใดมีอำนาจ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้าน”
อยากขอแทรกประเด็นนอกเรื่องสักเล็กน้อย นั่นคือ การบังคับนักเรียนให้ทำพิธีกรรม และ เข้าร่วมการฝึกฝนทางจิตวิญญาณ นั้นไม่ได้เป็นผลดีต่อใครเลยนอกจากชนชั้นปกครอง กลายเป็นการว่านั่งสมาธิที่เอาเข้าจริงแล้วมีประโยชน์หลายอย่าง และ มีผลการวิจัยรองรับ กลับกลายเป็นแผลทางใจของการถูกบังคับ ผมเองเคยไปเข้าค่ายปฏิบัติธรรมที่โรงเรียนบังคับให้ไป ซึ่งต้องนั่งสมาธิและเดินจงกรมสลับกันไปมาตลอดทั้งวัน โดยจะมีคนเดินถือไม้เรียวคอยหวดเด็กๆ ที่เผลอหลับ ซึ่งค่ายดังกล่าวให้นักเรียนได้นอนแค่วันละ 4-5 ชั่วโมงเท่านั้น นัยของค่ายนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อสอนให้นักเรียนมีเครื่องมือทางจิตวิญญาณหรือได้ข้อคิดอะไรกลับไป แต่เป็นไปเพื่อตอกย้ำสถานะที่เหนือว่าของ “พระ-ครู-พี่เลี้ยง-ระบบ” ที่จะคอยลงโทษถ้าหากไม่ประพฤติตนตามระบบที่วางไว้ หลังจากจบค่ายที่ว่ามา นักเรียนก็ยิ่งแปลกแยกออกจากศาสนา ศาสนาก็ยิ่งถอยห่างจากประชาชนไปแนบแน่นกับชนชั้นปกครองมากขึ้น
ซึ่งการสอนศาสนาพุทธแบบอำนาจนิยมนี้เอง เลยเป็นหนึ่งในเหตุผลให้คนไทยรุ่นใหม่เลิกนับถือศาสนาพุทธ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเหตุมาจากความรู้ความเข้าใจ, ข้อถกเถียงในระดับปรัชญา หรือ การเชื่อในวิทยาศาสตร์ แต่ก็เป็นความรู้สึกของการต่อต้านการถูกกดทับด้วยอำนาจ จึงไม่แปลกที่คนๆ นึงสามารถจะมูไปด้วย ไม่มีศานาไปด้วย เชื่อในวิทยาศาสตร์ไปด้วยได้
ศาสนาพุทธเองต่างจากศาสนาแนวอับราฮามิคอยู่หลายเรื่อง แต่เรื่องที่น่าสนใจมาก คือ หลักกาลามสูตร ที่เน้นเรื่องของการ “ไม่เชื่อ” แต่ให้ทดลองเอง พิสูจน์เอง แต่นั่นก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเพราะโดยพฤตินัยสถาบันการศึกษาไทยก็เน้นเรื่องการเชื่อโดยไม่ตั้งคำถามมากกว่าเยอะมาก และ ชัดเจนว่าตัวผู้สอนเองก็สอนเรื่อง “กาลามสูตร” ไปโดนที่ตัวเองก็ไม่ได้เชื่อ หรือ ปฏิบัติตามหลักคิดนี้
ปัญหาอีกประการของศาสนาพุทธไทย คือ มันเป็นส่วนผสมของพุทธ-พราหมณ์-ผี โดยศาสนาพราหมณ์เมื่อก่อนเราจะเรียกว่าเป็น “ไสยศาสตร์” ซึ่งเอาไว้ใช้ในฟังก์ชันทางโลก หรือก็คือ ทางสายมู นั่นเอง เรื่องปลุกเสกเลขยันต์ เสริมดวง สะเดาะเคราะห์ เมตตามหานิยมต่างๆ ส่วนพุทธเอาไว้สำหรับฟังก์ชันทางโลกตระ (ทางธรรม) คือ การดับทุกข์ โดยมีธีมหลัก คือ ชีวิตแบบพระสงฆ์สละแล้วซึ่งทุกสิ่ง ในเวลาต่อมาเมื่อมีแนวคิดที่ต้องการ “ชำระพุทธให้บริสุทธิ์จากพราหมณ์-ผี” อย่างแนวคิดพุทธทาสภิกขุ, ลัทธิพุทธวจน หรือ สายธรรมยุติ ที่ส่วนนึงต้องการทำให้ศาสนาพุทธ “มีความเป็นวิทยาศาสตร์” กลับกลายเป็นทำให้ศาสนาพุทธไทยๆ ขาดฟังก์ชันทางสายมู ก่อเกิดเป็นเหล่าคนรุ่นใหม่ไร้ศาสนาแต่ทว่าก็มูขึ้นมา นั่นเอง
- ไม่มีศาสนาไม่ได้แปลว่าคนไม่งมงายเช่นสายมู
- ศาสนาไทยเป็นเรื่องอำนาจมากกว่าจิตวิญญาณ
- พุทธไม่ได้สอนให้เชื่อแต่สอนให้ตั้งคำถาม
- ความรู้ คือ อำนาจ ดังนั้นคนไม่มีศาสนามักจะมีแพคเกจแถมมาเป็นลิเบอทาเรี่ยน psuedo-materialism ไปด้วย