by Rawipon Leemingsawat | Jul 4, 2021 | Articles บทความ, Featured ไทย, Translation, ทฤษฎี Theory, ไทย
ผู้เขียน Michael Hardt
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Editorial Team
แปลจาก The Procedures of Love
กระบวนการของความรัก
ณ ที่แห่งนี้คือปริศนาเกี่ยวกับความรัก ความรักคือเหตุการณ์หนึ่งที่ปรากฏขึ้นจากภายนอกและเข้ามาพังทลายเวลาออกเป็นสองส่วน มันทุบทำลายโครงสร้างของโลกที่คุณรู้จักเสียจนป่นปี้และสร้างโลกใหม่ขึ้นมา ในความรัก คุณสูญเสียตัวตนและได้รับการดำรงอยู่ใหม่ เรือนร่างใหม่ คุณถูกสร้างขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถ้าหากความรักคือเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวที่อยู่ภายนอกเวลา เราก็คงไม่อาจจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน เพราะแทบเป็นไม่ได้เลยที่เราจะสามารถอยู่ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
กระนั้นความรักก็มีอีกด้านหนึ่งซึ่งดูคล้ายกับว่าเป็นด้านตรงข้าม ความรักคือพันธะ เป็นพันธะที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถประสบได้ มันจะยึดเหนี่ยวคุณไว้ให้สัมพันธ์กับผู้อื่น ผูกมัดคุณในลักษณะที่ราวกับว่ามันจะคงอยู่ชั่วกาล ซึ่งนี่ก็เป็นโฉมหน้าของความรักที่ดูจะอยู่ภายนอกกาลเวลาเช่นกัน มันแสดงตนเฉกเช่นสิ่งที่เป็นนิรันดร์ และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถดำรงอยู่ร่วมกับมันได้ มันทำให้เราอึดอัดราวกับขาดอากาศหายใจ จากพันธะที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงของการโอบรับอันแสนอบอุ่น กลับกลายเป็นดั่งคุกที่ไร้อากาศอันน่าเหลือทนอย่างรวดเร็ว
คุณอาจจะบอกว่า นั่นคือความแตกต่างระหว่าง การตกหลุมรัก (falling in love) กับ การดำรงอยู่ในความรัก (being in love) อย่างไรก็ตามการแบ่งแยกเช่นนี้ก็มิได้ช่วยคลี่คลายปริศนาแห่งความรัก คุณถูกทิ้งไว้กับความคิดเรื่องความรักเพียงสองแบบที่เลวร้ายพอๆ กันทั้งคู่ อันหนึ่งอยู่นอกกาลเวลาในความหมายว่ามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่วนอีกอันอยู่นอกกาลเวลาเนื่องจากมันยอมรับว่าเวลาไม่มีอยู่จริง
กลับกันแล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการค้นพบคือความรักที่อยู่ในกาลเวลา ความรักที่มีทั้งอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ และมีความต่อเนื่องของพันธะ เป้าประสงค์สำคัญที่สุดของฉันคือการพัฒนากรอบคิดทางการเมืองของความรัก หรือพูดอีกอย่างคือการทำความเข้าใจว่าความรักจะกลายเป็นวิถีแห่งการสถาปนา วิถีแห่งศูนย์กลาง และฟันเฟืองของการเมืองได้อย่างไร บางคราในอดีต ความรักถูกเข้าใจในฐานะพลังทางการเมือง แต่ทุกวันนี้ ความรักถูกแยกขาดและจำกัดอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ของคนสนิท ในการสร้างกรอบคิดทางการเมืองและปฏิบัติการณ์ของความรักในทุกวันนี้ เราจำเป็นต้องขยายขอบเขตของความรักให้ไกลกว่าเรื่องของคู่รักหรือครอบครัว และทำให้มันออกไปสู่พื้นที่ทางสังคมทั้งหมด
แต่มิได้หมายความว่าความรักแบบที่สัมพันธ์กับคนใกล้ชิดนั้นไม่มีความสำคัญและไม่เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นในทางการเมือง ความจริงแล้วสมมติฐานและข้อเสนอของฉันก็คือ ความรักทำงานในหลายมิติคู่ขนาน ทั้งในพื้นที่ทางสังคมและคนใกล้ชิดผ่านกระบวนการและการเชื่อมต่อที่เหมือนกัน อุปสรรคและความโหดร้ายที่ความรักเผชิญอยู่นั้นมันปรากฏในพื้นที่หนึ่งและจะปรากฏในอีกพื้นที่หนึ่งด้วย ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในความอันตรายที่สุดคือความรักถูกเข้าใจในฐานะกระบวนการกลายเป็นหนึ่งเดียวที่ความแตกต่างถูกลบเลือนหรือขับออก ไม่ว่ามันจะทำงานในระดับของคู่รักหรือเรือนร่างทางสังคม ความรักแบบนี้นำมาซึ่งภัยพิบัติ เช่นเดียวกัน จากข้อเสนอเรื่องการทำงานในหลากมิติของฉัน กลยุทธ์ในการระบุถึงปัญหาดังกล่าวที่พวกเราค้นพบในพื้นที่หนึ่งนั้นสามารถช่วยและนำทางพวกเราในพื้นที่อื่นได้เช่นกัน ดังนั้น วิธีการของฉันจึงเป็นการสืบย้อนกลับไปกลับมาระหว่างพื้นที่ทางสังคมและความสัมพันธ์กับคนที่ใกล้ชิดเพื่อจะได้เข้าใจว่าพลังของความรักสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง
ปริศนาว่าด้วยโฉมหน้าทั้งสองด้านของความรักซึ่งถูกอธิบายไปข้างบน (ซึ่งทั้งสองอยู่นอกกาลเวลา) แสดงให้เห็นถึงปมปัญหาสำคัญเมื่อพิจารณาในแง่ของกรอบคิดทางการเมือง ในด้านหนึ่ง ความรักในฐานะทางการเมืองมันจำเป็นต้องมอบพลังแห่งการปฏิวัติที่สร้างการแตกหักอย่างถึงรากต่อโครงสร้างของชีวิตทางสังคมอย่างที่พวกเราเข้าใจกัน พังทำลายสถาบันและบรรทัดฐานเหล่านั้นทิ้งไป ส่วนอีกด้าน มันจำเป็นต้องจัดหากลไกเพื่อธำรงให้เกิดกระบวนการร่วมมือกันต่อไปและสร้างพันธะทางสังคมที่เสถียร ดังนั้นมันจึงต้องสร้างสถาบันที่มั่นคงขึ้นมา ในแง่นี้ ความรักจึงเป็นทั้งกระบวนการที่ต่อต้านสถาบันและมุ่งสร้างสถาบันไปพร้อมๆ กัน นี่คือปริศนาซึ่งนำพาพวกเรากลับมาสู่ปัญหาเก่าแก่ว่าด้วยอำนาจแห่งการสถาปนา อำนาจที่จำเป็นต้องแสดงออกทั้งกระบวนการเปลี่ยนแปลงเชิงปฏิวัติอย่างต่อเนื่องและสร้างการก่อรูปทางสังคมที่คงทน
Gilles Deleuze และ Felix Guattari ได้ค้นพบกระบวนการของความรักเชิงสถาปนา (และเชิงการประกอบสร้าง) ในงาน À la recherche du temps perdu (In Search of Lost Time) ของ Marcel Proust ซึ่งนักคิดทั้งสองได้เสนอว่า มันคือกลยุทธ์ที่จะช่วยแก้ปริศนาของความรักได้ ความรักมิใช่กระบวนการที่ปัจเจกสองคนผสานเข้าหากันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว อันที่จริงปัจเจกมิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความรักเลย ความรักทำงานเฉพาะแค่ในลักษณะที่หลากหลาย (multiplicities) “กลุ่มกระที่ปรากฏบนใบหน้า กลุ่มของเด็กผู้ชายที่กำลังพูดคุยกันสองคนซึ่งภายหลังจะส่งผลให้เกิดการรวมตัวของจำนวนเรือนร่างที่มากขึ้นเมื่อส่วนต่างๆ ซึ่งมีอำนาจสถาปนาเห็นพ้องต้องกันและเข้าร่วมในความสัมพันธ์นั้น” แม้ในยามที่ความหลายหลากดังกล่าวนั้นปรากฏออกมาในส่วนที่เล็กน้อยที่สุดของน้ำเสียงหรือใบหน้า มันก็ยังสื่อถึงโครงสร้างทางสังคมที่ใหญ่ไปกว่านั้น เช่นเพศ เชื้อชาติ ความผูกติดกับพื้นที่ และอื่นๆ การรักใครสักคนนั้นมีลักษณะเชิงกลไก กล่าวคือความหลากหลายของคุณและความหลากหลายของฉันนั้นสามารถรวมตัวกันเพื่อสร้างองค์ประกอบที่บางครั้งก็อยู่เหนือหรือต่ำกว่าระดับของความเป็นปัจเจก ความเหมือนไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เกิดการตกลงปลงใจ แต่ก็ไม่ใช่ต้านตรงข้ามของความดึงดูดไปเสียทีเดียว เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้หรอกว่าความหลากหลายแบบใดที่จะทำให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ยืนยาวและสวยงามขึ้นมาได้ กระบวนการของความรักคือการสำรวจและทดลองความเป็นไปได้ในการประกอบสร้างจากความหลากหลายระหว่างเรา

Proust’s À la recherche du temps perdu
กระบวนการของความรักที่ Deleuze และ Guattari ค้นพบในงานของ Proust นั้นสะท้อนให้เห็นถึงการประกอบสร้างเรือนร่างที่ถูกอธิบายโดย Spinoza โดย Spinoza อธิบายว่าทุกๆ ร่างกายนั้นถูกประกอบขึ้นมาจากส่วนเล็กๆ จำนวนมากที่เห็นพ้องต้องกัน ความเห็นพ้องต้องกัน (agreement) สำหรับ Spinoza นั้นไม่ได้หมายถึงความเหมือน (sameness or similarity) แต่เป็นศักยภาพที่ความหลากหลายทั้งสองจะมาเกี่ยวดองกันในความสัมพันธ์และสร้างร่างกายใหม่ขึ้นมา การเผชิญหน้าระหว่างสองเรือนร่างนั้นนำไปสู่การสร้างเรือนร่างที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ตราบเท่าที่ทั้งสองเรือนร่างนั้นตกลงปลงใจว่าจะเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์ อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าก็สามารถทำให้เกิดกระบวนการของการสลายตัวได้เช่นกัน ดังที่ Spinoza อธิบายไว้ว่าพิษซึ่งแล่นเข้าสู่กระแสเลือดจะเข้าไปสลายความสัมพันธ์ที่ถูกสถาปนาขึ้นก่อนหน้านั้น เลือดจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่เลือดอีกต่อไป เลือดจะฆ่าล้างเรือนร่าง การประกอบกันเข้าของเรือนร่างแบบ Spinoza และความรักของ Proust เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การเผชิญหน้าครั้งใหม่ก่อให้เกิดการประกอบตัวกันที่ใหญ่ขึ้นหรือไม่ก็กลายเป็นกระบวนการสลายตัว
ความรักของ Proust เฉกเช่นเดียวกับปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพของเรือนร่างในความคิดของ Spinoza กำเนิดขึ้นในฐานะเหตุการณ์ อยู่ภายนอกการเคลื่อนที่ของกาลเวลา เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้แต่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีการเผชิญหน้า เมื่อความหลากหลายเข้ามามีความสัมพันธ์กับสิ่งอื่นและประกอบตัวขึ้นมาใหม่ การเผชิญหน้าดังกล่าวมิได้ปฏิเสธอำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ กลับกันแล้ว มันบังคับให้พวกเขาต้องทำงานในกาลเวลา การเข้าใจความรักในแง่ที่ว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวของความหลากหลายและกระบวนการประกอบตัวจึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะนอกจากเป็นการทำลายความคิดเรื่องปัจเจกที่หลอมรวมเป็นหนึ่งในความรักแล้ว มันยังแสดงให้เห็นว่าความรักเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลง เป็นทั้งการแตกหักและการประกอบสร้าง
ตรรกะดังกล่าวชี้ชวนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจบางประการเกี่ยวกับการสถาปนาทางการเมือง ซึ่งเคยถูกเข้าใจกันมาแต่เดิมว่า ไม่มีพวกเรา “ประชาชน” หรือแม้แต่อัตลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้นที่จะสามารถเป็นองค์ประธานแห่งการสถาปนา และอีกทางหนึ่งมันก็ไม่ใช่การมุ่งไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์ที่มันก่อกำเนิดขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมากำหนดความเปลี่ยนแปลงในอนาคตของมันแต่อย่างใด ในทางกลับกัน การสถาปนาสามารถถูกสร้างขึ้นได้เฉพาะแค่ในเวลาหนึ่งๆ ผ่านกระบวนการที่เชื่อมต่อความหลากหลายทางสังคมซึ่งแตกต่างกัน ทำให้พวกมันต้องเข้ามาเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน และสร้างความสัมพันธ์อันหลากหลายแบบใหม่ เป็นความสัมพันธ์ที่อ่อนไหวต่อการสลายตัวและแยกออกเป็นส่วนเล็กๆ ของความหลากหลายก่อนที่จะเข้าร่วมการเผชิญหน้าครั้งใหม่ มันคงเป็นเรื่องที่มีประโยชน์หากคิดถึงกระบวนการสถาปนาทางการเมืองและสังคมเหล่านี้ว่าเปรียบเสมือนการประกอบตัวขึ้นของตัวโน๊ตและเสียงดนตรีตามนัยของนักดนตรี ซึ่งนำพาวัตถุและแบบแผนบางประการที่แตกต่างเข้ามาประกอบไว้ด้วยกันในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ อันเป็นกระบวนการทำงานที่มีพลวัต
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าพวกเราจะสามารถเข้าไปในกระบวนการสถาปนาและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นโครงการที่ถูกชี้นำโดยความปรารถนาของพวกเราได้อย่างไร ดูเหมือนว่าพวกเราคือพวกเฉยชา เป็นผู้ถูกกระทำโดยประสบการณ์ของตนเองที่เกี่ยวกับความสุขและทุกข์ซึ่งความรักสร้างขึ้น รวมทั้งกระบวนการประกอบตัวและการสลายตัวก็ด้วยเช่นกัน เพื่อทำให้ความรักสามารถทำงานในฐานะกรอบคิดทางการเมือง พวกเราต้องสามารถระบุหรือชี้ถึงกระบวนการของการสถาปนาผ่านปฏิบัติการทางการเมืองให้ได้
ตัวอย่างวรรณกรรมอีกชิ้นหนึ่งที่ที่มีประโยชน์ต่อการขบคิดถึงคำถามดังกล่าวก็คืองานของ Jean Genet เช่นเดียวกับ Proust ที่ Genet ได้จัดวางเหตุการณ์ของความรักในการเผชิญหน้า แต่เขานำพากระบวนการดังกล่าวก้าวไปสู่กระบวนการสถาปนา โดยฉพาะอย่างยิ่งในนิยายเกี่ยวกับคุกของ Genet ความรักเกิดขึ้นในฐานะเหตุการณ์ที่ทุบทำลายกาลเวลาและป่นทำลายกำแพงคุก แต่ละเหตุการณ์ก็นำมาซึ่งการเผชิญหน้าซึ่งนำไปสู่ความก้าวหน้าและการพัฒนาซึ่งเกิดขึ้นในกาลเวลา แม้ว่าเหตุการณ์จะถูกจัดวางไว้นอกกาลเวลา แต่การเผชิญหน้ากลับอยู่ในกาลเวลา แต่พวกเราไม่ควรอนุมานแค่ว่าการเผชิญหน้าในแบบที่ Genet เข้าใจเป็นแค่เพียงการแสดงออกของเหตุการณ์หรือเป็นผลลัพธ์ของมัน กลับกันแล้ว การเผชิญหน้านำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ ที่ทำให้มันเกิดการพัฒนาและขยายตัวออกไป ยิ่งไปกว่านั้น Genet กล่าวบ่อยครั้งว่าเขาประสงค์ที่จะควบคุมกระบวนการดังกล่าวผ่านการเขียนหนังสือ เพื่อตระเตรียมพื้นที่สำหรับเหตุการณ์และจัดการให้เกิดการเผชิญหน้าดังที่เขาต้องการ เขาสร้างการเผชิญหน้าแห่งความรักขึ้นในทุกๆ ที่ที่เขาสามารถทำได้ ไม่เว้นแม้แต่ในคุก และสร้างชีวิตของเขาร่วมกับพวกมัน

Genet’s Prisoner of Love
อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่อยู่กับการเผชิญหน้าของความรักอย่างต่อเนื่องก็ยังไม่เพียงพอ สำหรับ Genet การเผชิญหน้าจำเป็นต้องถูกเชื่อมโยงเข้าหากันในกระบวนการสถาปนาที่เขาเรียกมันว่า พิธีกรรม (Ceremonial) พิธีกรรมสำหรับ Genet คือกลไกสำหรับการยืดขยายและทำซ้ำกระบวนการเผชิญหน้า ความชั่วคราวของพิธีกรรมคือกุญแจสำคัญ พิธีกรรมเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ผ่านการเผชิญหน้าและดำเนินการให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบในช่วงเวลานั้นๆ มันจัดวางจังหวะต่างๆ ลงบนห้วงของเวลา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเขาพูดถึงช่วงเวลาในคุก Genet คงจะลดจังหวะของการเผชิญหน้าของความรักให้กลายเป็นสิ่งที่เชื่องช้ายาวนานไม่สิ้นสุดและเกินความจำเป็น แต่ในห้วงเวลาอื่น เขาก็อาจจะเร่งความเร็วของมันจนเวียนศีรษะ พิธีกรรมยังคงเป็นกรอบคิดและการปฏิบัติที่สำคัญสำหรับ Genet ในนิยายและบทละครของเขา มันเป็นสิ่งวิเศษในความหมายที่ว่ามันสร้างห้วงเวลาของการสถาปนาให้เกิดขึ้น
แนวคิดเรื่องความรักแบบพิธีกรรมของ Genet ชี้ให้เห็นถึงความคิดเกี่ยวกับสถาบันที่น่าสนใจ ความรักคือพิธีกรรมแบบหนึ่งซึ่งพวกเราหวนคืนกลับสู่ผู้คนและสิ่งต่างๆ อย่างต่อเนื่องไปพร้อมๆ กับคนที่เราเห็นพ้องต้องกันในความหมายแบบ Spinoza นั่นคือผู้คนที่มาพร้อมความหลากหลาย ที่จะทำให้เราก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ในเชิงการผลิตสิ่งต่างๆ ขึ้นมาได้ แต่การหวนคืนไม่ใช่แค่การทำซ้ำ ลองคิดถึงการที่พวกเรามีเซ็กส์กับคนรัก ฉันสัมผัสตรงนั้นของคุณ แล้วคุณก็จับตรงนี้ของฉัน หลังจากพวกเราทำสิ่งนี้และทำไปเรื่อยๆ จนพวกเราเสร็จ มันก็คือพิธีกรรม (rituals) ซึ่งเป็นชุดของความเคยชิน แต่หากมันเป็นเพียงการทำซ้ำล่ะก็ มันก็คงเป็นแค่กิจกรรมที่ปราศจากเวทมนต์ การหวนคืนและการเผชิญหน้าแต่ละครั้งในพิธีกรรมจะนำไปสู่อำนาจและความลึกลับของเหตุการณ์ นั่นคือสิ่งที่ทำให้มันมีชีวิต ดังนั้นการเข้าใจความรักในฐานะพิธีกรรมจึงหมายถึงสถาบันในนัยที่ว่ามันอนุญาตให้คุณสามารถหวนกลับไปหา ยืดเวลา และเชื่อมต่อซึ่งกันและกันในการเผชิญหน้าที่ต่อเนื่องตามที่คุณปรารถนา
คุณอาจจะปฏิเสธการทำให้ความรักเป็นสถาบันเพราะว่ามันจะมอบความตายให้แก่ความรัก แต่ในความเป็นจริง ความรักจะมีชีวิตได้ก็ต่อเมื่อมันเป็นสถาบัน เป็นความต่อเนื่องของการหวนคืนแบบพิธีกรรม
กรอบคิดทางการเมืองว่าด้วยความรักจำเป็นต้องทำงานผ่านรูปแบบคู่ขนานของสถาบันที่อำนวยและจัดการการหวนคืนของการเผชิญหน้าทางสังคมที่เปี่ยมด้วยความหรรษาและก่อให้เกิดประโยชน์ แน่นอนว่ารอยแตกและความวุ่นวายของเหตุการณ์ในการปฏิวัติก็เป็นโฉมหน้าหนึ่งของความรักอย่างไม่ต้องสงสัย โฉมหน้าที่บางครั้งก็เปลี่ยนแปลงพวกเราอย่างอัศจรรย์และแสดงให้พวกเราเห็นถึงความหวังต่อความเป็นมนุษย์แบบใหม่ แต่เหตุการณ์ปฏิวัติก็เฉกเช่นเดียวกับความรัก มันคือสิ่งที่ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ในตัวของมันเอง แต่นั่นไม่ได้นำไปสู่การที่พวกเราต้องทำให้กระบวนการปฏิวัติอยู่ภายในโครงสร้างที่แน่นอนของอำนาจสถาปนา แม้จะด้วยความมุ่งมาดปรารถนาจะให้เกิด “ความสุขแก่สาธารณะ” เฉกเช่นที่ Condorcet และสหายปฏิวัติของเขาต้องการก็ตาม กลับกันแล้ว พลังทางการเมืองของความรักจำเป็นต้องสร้างสถาบันอันหลากหลายในรูปแบบของพิธีกรรมของ Genet ในทางหนึ่ง สถาบันทางการเมืองและสังคมเหล่านั้นจะทำให้เกิดสถานที่ที่ซึ่งไม่เฉพาะแต่คุณเท่านั้น หากแต่สำหรับใครก็ตามที่อยากหวนคืนเพื่อขยาย เพิ่มความเข้มข้น และเชื่อมต่อกับการเผชิญหน้า และในอีกด้านหนึ่ง พวกมันก็จะถูกสถาปนาขึ้นโดยกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงซึ่งแสดงออกหรือแปรเปลี่ยนพลังของเหตุการณ์ในห้วงเวลาหนึ่ง ๆ ออกมา
ทั้งการประกอบตัวกันขึ้นและพิธีกรรมต่างก็เป็นกลยุทธ์สองประการสำหรับพวกเราในการค้นหาความรัก รูปแบบทางการเมืองของความรักในห้วงเวลาหนึ่งๆ และทำให้เราใช้ชีวิตร่วมกับมันได้
by Rawipon Leemingsawat | Apr 10, 2021 | Articles บทความ, Translation, ทฤษฎี Theory, ไทย
เรื่อง The Cost of Knowledge
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Sarutanon Prabute
นี่คือความพยายามในการอธิบายเบื้องหลังบางส่วนที่นำไปสู่การคว่ำบาตรต่อ Elsevier จากนักคณิตศาสตร์จำนวนมาก (และนักวิชาการสาขาอื่น ๆ) ที่ปรากฏใน http://thecostofknowledge.com และเสนอประเด็นบางประเด็นที่ขบวนการคว่ำบาตรดังกล่าวเผชิญหน้าอยู่ พวกเราเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราชี้ในที่นี้จะสะท้อนสิ่งที่บรรดาผู้ลงชื่อในขบวนการนี้คำนึงถึง
บทบาทของวารสาร (1): เผยแพร่การวิจัย
บทบาทของวารสารในแวดวงคณิตศาสตร์ได้ถูกถกเถียงกันมาระยะเวลาหนึ่งแล้วและล่วงเลยจนถึงปัจจุบัน
ตามแบบแผนโดยทั่วไปแล้ว ในขณะที่วารสารมีหลายเป้าหมาย แต่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของวารสารคือการเผยแพร่บทความวิจัย สำนักพิมพ์ผู้จัดพิมพ์วารสารได้เรียกเก็บเงินสำหรับค่าใช้จ่ายในการเรียงพิมพ์ (ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โตมากก่อนการมาถึงของความก้าวหน้าในการเรียงพิมพ์แบบอิเล็กทรอนิกส์) ค่าใช้จ่ายสำหรับการตีพิมพ์วารสารฉบับเล่มจริง และค่าใช้จ่ายในการกระจายวารสารให้กับบรรดาผู้ที่สมัครรับวารสาร (โดยหลัก ๆ แล้วก็คือหอสมุดในสถาบันการศึกษา)
บอร์ดบรรณาธิการของวารสารหนึ่ง ๆ คือกลุ่มของนักคณิตศาสตร์มืออาชีพที่มารวมตัวกัน หน้าที่ในงานบรรณาธิการถูกนับรวมเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ทางวิชาการที่พวกเขาต้องทำและถูกจ่ายค่าตอบแทนโดยนายจ้างของพวกเขาซึ่งโดยพื้นฐานแล้วก็คือมหาวิทยาลัย ดังนั้น จากมุมมองของสำนักพิมพ์ บรรณาธิการจึงเป็นงานของอาสาสมัคร เมื่อบทความถูกส่งเข้าสู่วารสารโดยผู้เขียนซึ่งปกติจะเป็นนักคณิตศาสตร์ที่ถูกจ้างงานโดยมหาวิทยาลัย บรรณาธิการจะเลือกผู้ตัดสินหรือคณะผู้ตัดสินขึ้นมาสำหรับบทความดังกล่าว ประเมินรายงานของผู้ตัดสิน ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับบทความที่ถูกส่งมา และจัดการบทความต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นเล่ม สิ่งเหล่านี้จะถูกส่งให้กับสำนักพิมพ์ผู้ที่จะรับหน้าที่ในการพิมพ์สิ่งเหล่านี้ออกมาจริง ๆ สำนักพิมพ์จะช่วยเหลือในการจัดการกับบทความและการปรับแก้ต้นฉบับซึ่งบางครั้งก็มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป จากมุมของสำนักพิมพ์ ผู้ตัดสินก็เป็นอาสาสมัครอีกเช่นกัน เช่นเดียวกับงานบรรณาธิการ การตัดสินถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของหน้าที่ในงานทางวิชาการของนักคณิตศาสตร์ ผู้เขียนไม่ได้รับเงินตอบแทนจากสำนักพิมพ์สำหรับบทความของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกขอให้เซ็นชื่อมอบลิขสิทธิ์ให้กับสำนักพิมพ์ก็ตาม
ระบบดังกล่าวดูมีเหตุผลเมื่อการตีพิมพ์และการเผยแพร่บทความเป็นสิ่งที่ยากลำบากและมีความใช้จ่ายสูง สำนักพิมพ์จัดหาบริการที่มีคุณค่าในแง่นี้ พวกเขาได้รับการจ่ายค่าตอบแทนโดยผู้สมัครรับวารสารซึ่งโดยมากก็เป็นหอสมุด หากพูดกันอย่างกว้าง ๆ แล้ว บรรดาสถาบันทางวิชาการที่หอสมุดของพวกเขาสมัครรับวารสารทางคณิตศาสตร์ก็เป็นสถาบันเดียวกับที่จ้างนักคณิตศาสตร์ผู้ที่กำลังเขียน ตัดสิน บรรณาธิการให้กับวารสาร ดังนั้น ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของกระบวนการผลิตบทความวิจัยจึงถูกแบกรับโดยสถาบันเหล่านี้ (และบรรดาแหล่งเงินทุนที่ให้ทุนส่วนหนึ่งแก่สถาบันดังกล่าว เช่น มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา) พวกเขาจ่ายเพื่อให้ลูกจ้างนักคณิตศาสตร์ทำวิจัยและบริหารจัดการการตีพิมพ์ผลงานจากงานวิจัยในวารสาร และหลังจากนั้น (ผ่านหอสมุดของพวกเขา) พวกเขาก็จ่ายเงินให้กับสำนักพิมพ์เพื่อเผยแพร่ผลลัพธ์ดังกล่าวไปในโลกของนักคณิตศาสตร์ นับแต่สถาบันดังกล่าวจ้างงานบุคลากรเพื่อการวิจัยด้วยหวังให้พัฒนาการวิจัย มันก็ดูจะสมเหตุสมผลที่พวกเขาจะต้องจ่ายเงินเพื่อเผยแพร่งานวิจัยเช่นกัน ถึงที่สุดแล้ว การแบ่งปันความคิดเชิงวิทยาศาสตร์และผลงานวิจัยก็เป็นส่วนประกอบสำคัญต่อความจำเริญของศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ โลกได้เปลี่ยนไปในทิศทางที่มีนัยอันสำคัญยิ่ง ผู้เขียนต้องเรียงพิมพ์บทความของตัวเองโดยใช้การเรียงพิมพ์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์และการเผยแพร่ไม่ใช่สิ่งที่หนักหนาเท่ากับที่เคยเป็น และที่สำคัญที่สุด การเผยแพร่ความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ก็ไม่จำเป็นต้องทำในรูปแบบของการกระจายวารสารฉบับจริงอีกต่อไป กลับกัน มันอยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่วิถีการเผยแพร่ไม่ใช่เรื่องที่ปราศจากค่าใช้จ่าย แต่มันก็ถูกลงมหาศาล และเกิดขึ้นโดยแทบจะไม่ต้องพึ่งวารสารอีกต่อไป
กล่าวโดยสรุป ค่าใช้จ่ายสำหรับการตีพิมพ์วารสารได้ลดลงเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเรียงพิมพ์ได้ถูกย้ายจากสำนักพิมพ์ไปสู่ผู้เขียน และค่าใช้จ่ายสำหรับการตีพิมพ์รวมทั้งการกระจายต่างลดลงอย่างสำคัญเมื่อเทียบกับที่มันเคยเป็น กลับกัน จำนวนเงินที่ถูกใช้ไปโดยหอสมุดของมหาวิทยาลัยเพื่อซื้อนิตยสารดูเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เหตุใดบรรดานักคณิตศาสตร์ผู้มีส่วนร่วมในการใช้แรงงานโดยสมัครใจและนายจ้างของพวกเขาจึงยังต้องจ่ายเงินเพื่อการบริหารที่มูลค่าของมันไม่ทัดเทียมกับราคาที่ต้องจ่ายไป ?
บทบาทของวารสาร (2): กระบวนการ peer review และการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ
มีเหตุผลสำคัญบางประการที่ทำให้นักคณิตศาสตร์ไม่ละทิ้งการตีพิมพ์ผลงานในวารสาร peer review มีบทบาทสำคัญในการประกันให้แน่ใจถึงความถูกต้องและความสามารถในการที่จะเข้าใจบทความเชิงคณิตศาสตร์และการตีพิมพ์บทความในวารสารวิจัยก็ยังเป็นหนทางหลักต่อการได้รับการยอมรับถึงความเชี่ยวชาญ มากไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าทุกวารสารจะถูกนับว่าเหมือนกันในแง่ดังกล่าว วารสารถูกจัดกลุ่ม (อย่างหยาบๆ) ดังนั้น การตีพิมพ์ในวารสารระดับสูงบ่อยครั้งจึงได้รับการยอมรับมากกว่าการตีพิมพ์บทความในวารสารระดับต่ำ บรรดานักคณิตศาสตร์มืออาชีพมักจะรู้สึกได้ถึงเกียรติของวารสารที่แตกต่างกันในขอบเขตการศึกษาของพวกเขา และพวกเขาก็มักจะส่งบทความไปยังวารสารระดับสูงที่สุดที่พวกเขาประเมินว่าน่าจะรับและตีพิมพ์มัน
เนื่องด้วยแง่มุมของการประเมินการตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวนี้ ปัญหาของการเปลี่ยนไปสู่รูปแบบที่ต่างออกไปเป็นสิ่งที่ยากมากกว่าที่คิดในตอนแรก ยกตัวอย่างเช่น มันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลยหากจะเริ่มต้นวารสารใหม่ (แม่ว่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่ซึ่งหลีกเลี่ยงความยากลำบากของการตีพิมพ์และการเผยแพร่ก็ตาม) เนื่องจากนักคณิตศาสตร์ก็คงไม่ต้องการที่จะตีพิมพ์กับวารสารดังกล่าว การตัดสินใจที่จะส่งบทความขึ้นอยู่กับความมีชื่อเสียงอันเป็นที่รับรู้ ข้อสอง แม้ว่าชื่อเสียงของวารสารหลากหลายฉบับถูกสร้างผ่านความพยายามของผู้เขียน ผู้ตัดสิน และบรรณาธิการผู้ที่ทำงานให้วารสารมานานปี ในหลาย ๆ กรณีชื่อของสาร สารถูกถือครองโดยสำนักพิมพ์ สร้างความยากลำบากสำหรับชุมชนนักคณิตศาสตร์ในการแยกสิ่งอันทรงคุณค่าเหล่านี้ที่พวกเขาสร้างขึ้นมาออกจากสำนักพิมพ์
บทบาทของ Elsevier
Elsevier, Springer, และสำนักพิมพ์เชิงพาณิชย์อื่นจำนวนหนึ่ง (ส่วนมากเป็นบริษัทขนาดใหญ่แต่กลับมีความสำคัญต่อการตีพิมพ์ของพวกเรามาก เช่น Willey) พวกเขากำลังขูดรีดแรงงานสมัครใจของพวกเราเพื่อสกัดเอาผลกำไรขนาดใหญ่จากชุมชนทางวิชาการ พวกเขาจัดหามูลค่าบางประการให้แก่กระบวนการเหล่านี้ แต่ไม่มีสิ่งใดที่มากพอจะทำให้ราคาที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล
ท่ามกลางบรรดาสำนักพิมพ์เหล่านี้ Elsevier อาจจะไม่ใช่ส่วนที่แพงที่สุด แต่ด้วยปัจจัยอื่น ๆ เช่น เรื่องอื้อฉาว การฟ้องร้อง การวิ่งเต้น ฯลฯ (ซึ่งจะถูกถกเถียงต่อไปด้านล่าง) พวกเราพิจารณาว่า Elsevier เป็นจุดเน้นตั้งต้นที่ดีสำหรับความไม่พอใจของพวกเรา การคว่ำบาตรควรดำเนินเป็นไปอย่างหนักแน่นและมีเป้าหมายซึ่งก่อให้เกิดความหมาย แต่ก็ไม่ควรกระจายไปในวงกว้างจนทำให้เป้าหมายกลายเป็นสิ่งที่ต้องถกเถียงและทำให้การคว่ำบาตรกลายเป็นภาระที่ไม่อาจจัดการได้ การปฏิเสธการส่งบทความไปยังสำนักพิมพ์ที่มีราคาแพงเป็นขั้นตอนต่อไปอันสมเหตุสมผลซึ่งบางคนในกลุ่มของพวกเราก็ได้กระทำไปแล้ว แต่เป้าหมายในการคว่ำบาตรครั้งนี้คือ Elsevier เนื่องจากความรู้สึกอันกระจายอยู่โดยทั่วไปท่ามกลางเหล่านักคณิตศาสตร์ว่าพวกเขาคือผู้กระทำความคิดที่เลวร้ายที่สุด
เริ่มต้นที่ประเด็นว่าด้วยค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับวารสาร โชคร้ายอย่างยิ่งที่มันเป็นการยากลำบากที่จะจัดเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย วารสารหัวต่าง ๆ มีความแตกต่างกันในเรื่องคุณภาพ ปริมาณหน้าที่พิมพ์ และแม้แต่จำนวนตัวอักษรที่ปรากฎในแต่ละหน้ากระดาษ เมื่อวัดจากราคาแล้ว วารสารทางด้านคณิตศาสตร์ของ Elsevier เป็นหัวที่มีราคาสูงที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในการสำรวจราคาวารสารของ AMS 7 หัววารสารจากรายการวารสารที่แพงที่สุด 10 อันดับมาจากสนักพิมพ์ Elsevier อย่างไรก็ตาม ที่สำคัญคือ Elsevier เป็นผู้ตีพิมพ์วารสารจำนวนมากที่สุด ราคาต่อจำนวนหน้าเป็นเครื่องวัดที่มีความหมายมากกว่าซึ่งมันสามารถถูกคำนวณออกมาได้ง่าย แต่ด้วยมาตรฐานดังกล่าว Elsevier ไม่ใช่สำนักพิมพ์ที่แย่ที่สุด แต่ราคาของมันก็ดูสูงมากอยู่ดี Annals of Mathematics ซึ่งถูกตีพิมพ์โดย Princeton University Press คือหนึ่งในวารสารชั้นนำและมีราคาที่ค่อนข้างแพง $0.3 ต่อหนึ่งหน้าในปีค.ศ. 2007 ในทางตรงกันข้าม วารสารของ Elsevier มีราคาอยู่ที่ $1.30 ต่อหน้า หรือมากกว่านั้น พวกมันมีราคาต่อหน้าแพงกว่าวารสารที่ถูกจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยหรือสมาคมใด ๆ เพื่อการเปรียบเทียบ Acta Mathematica ตีพิมพ์โดย the Institut Mittag Leffler $0.65 ต่อหนึ่งหน้า Journal of the American Mathematical Society ตีพิมพ์โดย the American Mathematical Society $0.24 ต่อหน้า และ Inventiones Mathematicae พิมพ์โดย Springer มีราคา $1.21 ต่อหน้า ควรกล่าวไว้ด้วยว่า โดยทั่วไปแล้วไม่มีสารสารของ Elsevier หัวใดที่ได้รับการยอมรับว่ามีคุณภาพทัดเทียมกับบรรดาวารดังที่กล่าวมา
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีแง่มุมเพิ่มเติมอีกบางประการที่ทำให้เป็นเรื่องยากต่อการคำนวณถึงค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของวารสารทางคณิตศาสตร์ นั่นคือการปฏิบัติอันแพร่หลายเป็นการทั่วไปท่ามกลางสำนักพิมพ์เชิงพาณิชย์ที่จะ “มัดรวม” หัววารสารหัวต่าง ๆ เข้าด้วยกันซึ่งทำให้หอสมุดสามารถสมัครรับวารสารหลายฉบับได้โดยไม่ต้องจ่ายในราคาอันสูงลิบในหัววารสารที่พวกเขาต้องการ แม้ว่านี่จะหมายความว่าค่าเฉลี่ยราคาที่หอสมุดต้องจ่ายต่อวารสารจะต่ำกว่าที่มันควรเป็น แต่สิ่งที่สำคัญคือราคาเฉลี่ยที่พวกเขาจ่ายต่อวารสาร (หรือจำนวนหน้าของวารสาร) ที่พวกเขาต้องการจริง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะเข้าถึงนั้นย่อมเป็นที่แน่ชัดว่าสูงมากขึ้น พวกเรามีความปรารถนาอย่างมากที่จะนำเสนอข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายจริง ๆ สำหรับหอสมุดที่ใช้ไปกับวารสารของ Elsevier โดยเปรียบเทียบกับของสำนักพิมพ์อื่น น่าเศร้า มันเป็นเรื่องยากลำบากเนื่องจากสำนักพิมพ์ต่าง ๆ มักทำสัญญามิให้ลูกค้าของพวกเขาเปิดเผยรายระเอียดทางการเงินในข้อสัญญา ยกตัวอย่างเช่น Elsevier ได้ฟ้องร้อง Washington State University เพื่อมิให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าว หนึ่งในผลที่ตามมาจากสิ่งเหล่านี้คือในหลาย ๆ กรณี หอสมุดมิอาจประหยัดเงินด้วยการยกเลิกหัววารสารบางหัวของสำนักพิมพ์ได้ อย่างดีที่สุดคือบางครั้งเงินที่จ่ายไปอาจถูกโยกไปเพื่อสมัครรับหัววารสารอื่นของสำนักพิมพ์ได้
หนึ่งในเหตุผลที่พวกเรามุ่งเป้าไปที่ Elsevier มากกว่า Springer คือ Springer มีประวัติร่วมต่อชุมชนทางคณิตศาสตร์มาอย่างยาวนาน มากเท่า ๆ กับวารสาร พวกเขาตีพิมพ์ชุดตำรา เอกสาร และบันทึกคำบรรยาย ในทางหนึ่งอาจพิจารณาว่าราคาของวารสารที่สูงของ Springer คือการอุดหนุนรูปแบบการตีพิมพ์แบบอื่นที่ทำกำไรน้อยกว่า อย่างไรก็ตาม รูปแบบการตีพิมพ์เหล่านี้ก็มีความสำคัญน้อยลงเมื่อเผชิญกับการเข้ามาของอินเทอร์เน็ตและการเผยแพร่ตัวอักษรทางอิเล็กทรอนิกส์ การปรากฏตัวของ Springer อย่างยาวนานและต่อเนื่องในโลกของคณิตศาสตร์ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นในชุมชนคณิตศาสตร์ สิ่งเหล่านี้แม้ว่าจะถูกลดทอนลงไปอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่สิ้นสูญ
Elsevier ไม่เคยมีส่วนร่วมในลักษณะเช่นที่กล่าวมานี้เลย วารสารหัวต่าง ๆ ที่พวกเขาตีพิมพ์ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งซื้อต่อมาจากบรรดาสำนักพิมพ์เล็ก ๆ มากไปกว่านั้น ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ พวกเขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวแสนอื้อฉาวเกี่ยวกับเนื้อหาในวารสารที่พวกเขาเป็นเจ้าของ หนึ่งในนั้นคือเรื่องของวารสาร Chaos, Solitons & Fractal ในช่วงปี 2008-2009 หนึ่งในวารสารที่ Elsevier เป็นผู้พิมพ์ ตัวชี้วัดความสำคัญของวารสารดังกล่าวถูกปั่นขึ้นโดยการอ้างอิงกันไปมาระหว่างบทความต่าง ๆ นอกจากนี้ วารสารหัวดังกล่าวยังตีพิมพ์บทความจำนวนมากที่มีความบกพร่องเชิงความแม่นยำและไม่สมควรถูกตีพิมพ์ลงวารสารที่มีมาตรฐานใด ๆ
ในวงการทางการแพทย์ เป็นเวลาอย่างน้อย 5 ปีที่ Elsevier ตีพิมพ์ชุดของบทความที่ได้รับการสนับสนุนจากลูกค้าในวงการเภสัชกรรมโดยไม่เปิดเผยถึงการสนับสนุนดังกล่าวอย่างเหมาะสม
ล่าสุด Elsevier ยังวิ่งเต้นเพื่อให้เกิด the Research Works Act กฎหมายที่ถูกเสนอในประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อยกเลิกนโยบายที่ให้สาธารณะชนเข้าถึงงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ซึ่งได้เงินสนับสนุนจาก National Institutes of Health ภายในสิบสองเดือนให้หลังการตีพิมพ์ (เพื่อให้สำนักพิมพ์พอมีเวลาในการหากำไร) แม้ว่าการวิ่งเต้นจะเกิดขึ้นหลังม่าน แต่เสียงสนับสนุนของ Elsevier ก็แสดงให้เห็นถึงการที่พวกเขาอยู่คนละข้างกับแนวนโยบายมุ่งเปิดให้มีการเข้าถึง
ทั้งเรื่องอื้อฉาว การปฏิบัติที่มัดรวมวารสาร ราคาที่สูงลิบ และการวิ่งเต้น ทั้งหมดชี้ว่า สำนักพิมพ์ดังกล่าวขับเคลื่อนด้วยผลกำไรเพียงประการเดียว พวกเขามิได้มีความสนใจหรือสิ่งใด ๆ ต่อความรู้ทางคณิตศาสตร์และชุมชนของนักวิชาการคณิตศาสตร์ที่สร้างมันอยู่เลย แน่นอน ลูกจ้างจำนวนมากของ Elsevier เป็นคนที่มีเหตุผลซึ่งมีความพยายามอย่างมากในการมีส่วนต่อการตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการ พวกเรามิได้มีความปรารถนาจะมุ่งร้ายต่อความมุ่งมั่นดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตัวองค์กรในฐานะองค์ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจชุมชนทางคณิตศาสตร์ใด ๆ เลย
การคว่ำบาตร
ไม่เป็นที่น่าแปลกใจที่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นักคณิตศาสตร์จำนวนมากหมดความอดทนต่อการต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับระบบดังกล่าวที่สำนักพิมพ์เชิงพาณิชย์แสวงหาผลกำไรบนบ่าไหล่ของแรงงานฟรีจากนักคณิตศาสตร์และค่าธรรมเนียมการสมัครรับจากหอสมุดของสถาบันที่พวกเขาสังกัดอยู่ หมดความอดทนต่อบริการที่ได้กลายเป็นส่วนที่ไม่จำเป็นอันโตนี้แล้ว ท่ามกลางสำนักพิมพ์เชิงพาณิชย์ทั้งหมด พฤติกรรมของ Elsevier ดูจะเป็นพฤติกรรมที่เลวร้ายอย่างถึงที่สุด และนักคณิตศาสตร์จำนวนหนึ่งก็ได้ประกาศไม่ยุ่งเกี่ยวกับวารสารพวกนี้แล้วเป็นการส่วนตัว
หนึ่งในพวกเรา (Timothy Gowers) ตัดสินใจว่า มันจะเป็นประโยชน์ที่จะเผยแพร่การตัดสินใจคว่ำบาตรต่อ Elsevier เป็นการส่วนตัวออกไป เนื่องจากมันจะช่วยเป็นแรงหนุนให้คนอื่นทำตาม สิ่งนี้นำไปสู่ขบวนการคว่ำบาตรที่เกิดขึ้นใน http://thecostofknowledge.com ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมากกว่าที่เขาคาดการณ์ในตอนแรกมาก
ผู้เข้าร่วมในการคว่ำบาตรครั้งนี้สามารถเลือกกิจกรรมที่พวกเขาต้องการจะเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งบทความ การตัดสิน หรือการเป็นคณะบรรณาธิการ แน่นอน การส่งบทความและการเป็นบรรณาธิการวารสารเป็นกิจกรรมอาสา แต่การเป็นผู้ตัดสินมีแง่มุมที่มากกว่านั้น ระบบ peer review ทั้งระบบวางอยู่บนการดำรงอยู่ของกระบวนการตัดสินที่เหมาะสมและความสำเร็จของทันคือหนึ่งในแบบแผนที่สำคัญของศาสตร์ การตัดสินเป็นทั้งภาระและเกียรติ และทุก ๆ คนในชุมชนก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เราเคารพและให้คุณค่ากับแบบแผนที่ว่า พวกเราจำนวนมากก็ไม่ต้องการจะเห็นหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเราไปสนับสนุนรูปแบบทางธุรกิจของ Elsevier
ทำสิ่งใดต่อไป ?
ดังที่ได้ชี้ไปในตอนเริ่มแรก ผู้เข้าร่วมการคว่ำบาตรครั้งนี้มีเป้าหมายแตกต่างกันออกไปทั้งในระยะสั้นและระยะยาว บางคนต้องการที่จะเห็นระบบวารสารถูกกำจัดลงอย่างสมบูรณ์และถูกแทนที่ด้วยบางสิ่งที่ดูเหมาะสมกับอินเทอร์เน็ตและความเป็นไปได้ในการเผยแพร่ทางอิเล็กทรอนิกส์ ส่วนคนอื่นยังมองว่าวารสารยังคงต้องทำหน้าที่ต่อไป แต่การตีพิมพ์เชิงพาณิชย์ต้องถูกแทนที่ด้วยรูปแบบ open access ในขณะที่คนอื่นจินตนาการถึงการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รุนแรงมากที่ซึ่งสำนักพิมพ์เชิงพาณิชย์ถูกแทนที่ด้วยองค์กรไม่แสวงหากำไร เช่น ชุมชนทางวิชาการหรือสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย ในแง่นี้มูลค่าที่ถูกสร้างขึ้นจากงานของผู้เขียน การตัดสิน งานบรรณาธิการก็จะสามารถหวนคืนกลับสู่นักวิชาการและชุมชนทางวิทยาศาสตร์ เป้าหมายเหล่านี้ไม่ได้ขัดกันเอง โลกของวารสารเชิงคณิตศาสตร์ เช่นเดียวกับตัวคณิตศาสตร์เอง เป็นสิ่งที่ใหญ่โต และวารสารแบบ open access ก็สามารถดำรงอยู่คู่กับวารสารที่ดำเนินตามแบบแผนเดิมได้ เท่า ๆ กับที่วิถีทางในการเผยแพร่และประเมินแบบใหม่ ๆ ก็สามารถปรากฎขึ้นมาได้
สิ่งที่บรรดาผู้ลงลายเซ็นไว้ต่างเห็นร่วมกันคือ Elsevier คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของทุกสิ่งที่ผิดพลาดในระบบการตีพิมพ์วารสารคณิตศาสตร์เชิงพาณิชย์ในปัจจุบัน และพวกเราจะไม่อดทนกับการเก็บเกี่ยวดอกผลที่เกิดจากงานของพวกเราอีกต่อไป
พวกเราคาดการณ์ถึงอนาคตสำหรับบทความทั้งหมดที่จะถูกตีพิมพ์ในวารสารของ Elsevier อย่างไร มันยังมีวารสารอีกจำนวนมากที่ถูกตีพิมพ์ บางทีพวกเขาอาจจะหยิบเอาบางส่วนไปตีพิมพ์ วารสารเกิดใหม่ที่ประสบความสำเร็จในช่วงหลายปีมานี้ รวมทั้งที่เป็นอิเล็กทรอนิค (ซึ่งขจัดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตีพิมพ์และการกระจายตัวเล่มไปได้) และไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะมีมากขึ้นอีก ในท้ายที่สุด พวกเราหวังว่าชุมชนทางคณิตศาสตร์จะสามารถกู้คืนคุณค่าบางอย่างที่เคยมอบให้กับวารสารของ Elsevier คืนมาได้ด้วยการย้ายบางส่วนของวารสารเหล่านี้จาก Elsevier ไปยังสำนักพิมพ์อื่น
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงแบบใดเลยที่ง่ายดาย งานบรรณาธิการเป็นงานหนัก และการจัดตั้งวารสารใหม่หรือย้ายและเปิดตัววารสารก็ย่อมเป็นงานที่หนักยิ่งกว่า แต่ทางเลือกคือการจมอยู่กับสภาวะที่เป็นอยู่ที่ซึ่ง Elsevier เก็บเกี่ยวผลกำไรมหาศาลจากงานที่พวกเราและเพื่อนรวมงานพวกเราทำซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถยอมรับได้อีกต่อไปแล้ว
ภาคผนวก: คำแนะนำสำหรับนักคณิตศาสตร์
นักคณิตศาสตร์ทุกคนต้องตัดสินใจด้วยตัวของพวกเขาเองว่าพวกเขาต้องการจะมีส่วนร่วม (และในขอบเขตเช่นใด) ต่อการคว่ำบาตรในครั้งนี้หรือไม่ นักคณิตศาสตร์อาวุโสผู้ที่ลงชื่อในการคว่ำบาตรครั้งนี้ต้องแบกรับความรับผิดชอบต่อนักคณิตศาสตร์รุ่นน้องผู้ร่วมกันซึ่งกำลังละทิ้งตัวเลือกในการตีพิมพ์งานในวารสารของ Elsevier และควรคำนึงถึงรวมทั้งช่วยเหลือผลกระทบทางลบต่อหน้าที่การงานที่ตามมาเท่าที่ความสามารถจะอำนวย
ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจเข้าร่วมการคว่ำบาตรครั้งนี้หรือไม่ มีการกระทำง่าย ๆ จำนวนหนึ่งที่ทุก ๆ คนสามารถทำได้ซึ่งสำหรับพวกเราแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องโต้เถียงกันอีก
1) ทำให้แน่ใจว่าบทความฉบับสมบูรณ์ทั้งหมดของคุณและโดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นที่ใหม่ที่สุดสามารถถูกเข้าถึงโดยปราศจากค่าใช้จ่ายได้แบบออนไลน์ และจะดีมากหากปรากฏทั้งบน the arXiv และโฮมเพจของตัวคุณเอง
2) หากคุณกำลังส่งบทความและมีตัวเลือกระหว่างวารสารที่แพงแสนแพงกับที่ถูก (หรือฟรี) ซึ่งอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน โปรดเลือกส่งไปยังวารสารที่ถูก

by Rawipon Leemingsawat | Apr 3, 2021 | Articles บทความ, Featured ไทย, Translation, ทฤษฎี Theory, ไทย
เรื่อง David Graeber
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Sarutanon Prabute
สังคมของพวกเราเป็นสังคมที่เสพติดการทำงาน หากจะมีซักหนึ่งสิ่งที่ทั้งฝ่ายขวาและซ้ายเห็นตรงกันก็คงเป็นเรื่องที่ว่าการทำงานเป็นสิ่งที่ดี ทุก ๆ คนควรมีงานทำ งานเป็นเหมือนเครื่องหมายของการเป็นพลเมืองที่ดี ดูคล้ายกับว่าพวกเราต่างเชื่อว่าในฐานะที่เป็นสังคมหนึ่งใครก็ตามที่ไม่ได้ทำงานหนักจนถึงระดับที่พวกเขาสามารถทำได้หรือบางทีที่พวกเขาไม่มีความสุข พวกเขาเหล่านั้นคือคนเลวร้ายและใช้ไม่ได้ ผลลัพธ์ก็คืองานได้ดูดกลืนปริมาณของพลังงานและเวลาของพวกเรามากมาย
งานเหล่านั้นจำนวนมากเป็นสิ่งที่ไร้สาระโดยสิ้นเชิง อุตสาหกรรม (นักการตลาดทางโทรศัพท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายบริษัท ที่ปรึกษาส่วนตัว) สายการทำงาน (ผู้จัดการระดับกลาง นักวางกลยุทธ์เกี่ยวกับแบรนด์ ผู้จัดการระดับสูงของโรงเรียนและโรงพยาบาล บรรณาธิการของนิตยสารภายในองค์กร) ดังกล่าวทั้งหมดต่างดำรงอยู่เพื่อทำให้พวกเราคิดว่ามีเหตุผลบางประการที่จำเป็นจะต้องให้งานเหล่านี้ต้องมีอยู่ งานที่มีประโยชน์ถูกเบียดขับจากงานที่ไร้ประโยชน์ (ลองคิดถึงบรรดาครูและผู้บริหารที่งานเอกสารกองท่วมหัวพวกเขาดู) เฉกเช่นที่พวกเราได้เห็นในช่วงของการล็อคดาวน์ ยิ่งงานที่คุณทำสร้างประโยชน์ให้กับคนอื่นชัดเจนมากเท่าไหร่ ค่าตอบแทนที่คุณได้รับก็ยิ่งน้อยตามไปด้วย
ระบบดังกล่าวช่างไร้สาระสิ้นดี มันกำลังทำลายล้างโลกใบนี้ หากพวกเราไม่หยุดอาการเสพติดดังกล่าว พวกเราก็จะต้องปล่อยให้ลูกหลานเหลนโหลนต้องเผชิญหน้ากับหายนะขนานใหญ่ในระดับที่ทำให้การแพร่ระบาดที่ผ่านมาดูเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยไปเลย
หากมันยังไม่ชัดเจน เหตุผลหลักคือพวกเราต่างเผชิญหน้ากับปัญหาเชิงสังคมต่าง ๆ ตลอดเวลาราวกับว่าพวกมันคือคำถามเชิงศีลธรรมส่วนบุคคล การทำงานพวกนั้นทั้งหมด คาร์บอนที่พวกเรากำลังปล่อยใส่ชั้นบรรยากาศไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามคือผลลัพธ์จากลัทธิบริโภคนิยมของพวกเรา ดังนั้นจงหยุดการกินเนื้อหรือฝันถึงการบินไปพักร้อนที่ชายหาดเสีย แต่ทว่าการคิดเช่นนั้นมันผิด ความสุขของพวกเราไม่ใช่สิ่งที่กำลังทำลายล้างโลก นี่คือลัทธิพิวริแตน นี่คือความรู้สึกของพวกเราที่ว่าเราจำเป็นต้องเจ็บปวดเพื่อที่จะกลายเป็นคนที่คู่ควรกับความสุข หากพวกเราต้องการรักษาโลกก็จงหยุดทำงานเสีย
เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของก๊าซเรือนกระจกถูกปล่อยออกมาจากโครงสร้างพื้นฐาน พลังงาน การขนส่ง การก่อสร้าง ที่เหลือเกือบทั้งหมดมาจากอุตสาหกรรม ในขณะที่สามสิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของแรงงานในอังกฤษรู้สึกว่างานของพวกเขาเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง หากพวกเขาสามารถหายไปในวันพรุ่งนี้ โลกก็จะไม่แย่ไปกว่านี้ หากคิดแบบคณิตศาสตร์พื้นฐาน และหากคนงานเหล่านั้นถูก พวกเราสามารถลดภาวะโลกร้อนได้ด้วยการกำจัดงานไร้สาระทิ้งไป
นั่นคือข้อเสนอแรก
ข้อเสนอที่สอง การก่อสร้างอันบ้าคลั่ง ทุกวันนี้มีจำนวนการก่อสร้างมากมายมหาศาลที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อการเก็งกำไรเท่านั้น ทั่วโลก บรรดารัฐบาลต่างสมรู้ร่วมคิดกับภาคการเงินเพื่อสร้างตึกสูงระฟ้าที่ไม่เคยมีใครเข้าไปใช้งาน ตึกสำนักงานอันว่างเปล่า สนามบินที่ร้างจากผู้ใช้งาน หยุดกระทำสิ่งเหล่านี้เสีย ไม่มีใครจะคิดถึงสิ่งพวกนี้หรอก
ข้อเสนอที่สาม ความล้าสมัยที่ถูกกะเกณฑ์ หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเรามีระดับการผลิตทางอุตสาหกรรมสูงเช่นนี้คือการที่พวกเราออกแบบทุก ๆ สิ่งให้สามารถพังได้หรือให้ล้าสมัยหรือไร้ประโยชน์ภายหลังไม่กี่ปีเมื่อมันถูกผลิตออกมา หากคุณผลิต IPhone ให้พังภายในสามปี คุณก็สามารถขายได้มากกว่าเดิมถึงห้าเท่าเมื่อเทียบกับกรณีที่คุณผลิตให้มันสามารถใช้งานได้ถึงสิบห้าปี แต่คุณก็ยังเลือกที่จะใช้ทรัพยากรและมลพิษถึงห้าเท่าแทน ผู้ผลิตมีความสามารถที่จะผลิตโทรศัพท์ (หรือถุงน่องหรือหลอดไฟ) ที่จะไม่พัง และในความเป็นจริงพวกเขาก็ทำเช่นนั้นอยู่ นั่นคือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “สินค้าเกรดสำหรับการทหาร” บังคับให้พวกเขาต้องผลิตสินค้าที่มีความทนทานในระดับนั้นสำหรับทุกคนเสีย พวกเราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและนั่นจะช่วยทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น
ข้อเสนอทั้งสามเป็นเพียงจุดเริ่มต้น หากคุณคิดเกี่ยวกับมันก็จะพบว่าพวกมันเป็นแค่เรื่องสามัญสำนึกทั่ว ๆ ไป ทำไมเราจะต้องทำลายโลกด้วยในเมื่อเราไม่เห็นจำเป็นต้องทำ หากการพูดถึงมันดูเป็นเรื่องไร้สาระ พวกเราคงต้องคิดอย่างหนักเกี่ยวกับบรรดาความเป็นจริงที่ดูเหมือนกำลังบังคับให้พวกเราทั้งสังคมทำตัวเหมือนคนบ้า คนบ้าแบบตรงตามตัวอักษร
ผู้สนใจอ่านภาษาอังกฤษ โปรดดู ‘David Graeber: “To Save the World, We’re Going to Have to Stop Working”’, The Big Issue, 2020 <https://www.bigissue.com/latest/environment/david-graeber-to-save-the-world-were-going-to-have-to-stop-working/>.

by Rawipon Leemingsawat | Mar 26, 2021 | Articles บทความ, Translation, การประท้วง Protest, เศรษฐศาสตร์ Economics, ไทย
เรื่อง The Wages for Students Students
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Sarutanon Prabute
งานในโรงเรียนคืออะไร (what is schoolwork)
การไปโรงเรียนและกลายเป็นนักเรียนคือการทำงาน งานที่ว่านี้ถูกเรียกว่างานในโรงเรียน (schoolwork) ถึงแม้ว่าโดยปกติมันจะไม่ถูกมองว่าเป็นการทำงานจริง ๆ เนื่องจากว่าพวกเราไม่ได้รับค่าแรงจากการทำงานที่ว่าเลยก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า งานในโรงเรียนไม่ใช่การทำงาน พวกมันพร่ำสอนเราให้เชื่อว่ามีเพียงงานที่เราได้รับการจ่ายเงินเท่านั้นที่เป็นงานจริง ๆ
งานในโรงเรียนมีรูปแบบของภาระงานที่แตกต่างมากมายซึ่งต้องการทั้งระดับความเข้มข้นและการผสมผสานระหว่างแรงงานที่มีทักษะและแรงงานที่ทักษะต่ำ ตัวอย่างเช่น พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะนั่งลงในห้องเรียนเป็นระยะเวลายาวนานและไม่ก่อให้เกิดการรบกวนในการเรียน พวกเราต้องเรียนรู้ที่จะฟังอย่างตั้งใจและพยายามจดจำสิ่งที่ถูกพูดออกมา พวกเราต้องเชื่อฟังครู ในบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ทักษะเชิงเทคนิคที่จะทำให้พวกเรามีผลิตภาพมากขึ้นเมื่อเราต้องออกไปทำงานภายนอกโรงเรียนซึ่งเรียกร้องทักษะเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม เวลาส่วนมากพวกเราก็ใช้ไปกับการทำงานที่ใช้ทักษะต่ำ
คุณลักษณะร่วมของภาระงานทั้งหลายที่งานในโรงเรียนเกี่ยวข้องล้วนเป็นเรื่องของระเบียบวินัย หรือกล่าวอีกอย่างมันคืองานที่ถูกบังคับ บางครั้งพวกเราถูกอบรมและลงโทษทางวินัยซึ่งหมายความว่าพวกเรากำลังถูกบังคับให้ทำงานโดยผู้อื่น (ครู ครูใหญ่ และเจ้าหน้าที่) ในบางทีพวกเราก็กวดขันวินัยด้วยตัวเองซึ่งหมายความว่าพวกเรากำลังบังคับตัวเองให้ทำงาน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ประเภทของงานในโรงเรียนที่แตกต่างเหล่านั้นเคยถูกเรียกว่าวินัย
เป็นเรื่องที่ชัดเจนว่า มันเป็นสิ่งที่ดีและถูกกว่าสำหรับทุนหากพวกเรากวดขันวินัยด้วยตัวเองได้ สิ่งนี้จะช่วยประหยัดเงินที่จะต้องจ่ายให้กับครู ครูใหญ่ และเจ้าหน้าที่ บรรดาผู้คนที่เป็นแรงงานที่ได้รับค่าแรง ในขณะที่กำลังเป็นนักเรียนผู้ที่กวดขันวินัยด้วยตัวเอง พวกเราก็กำลังทำงานซ้อนกันสองชั้น คือ งานในโรงเรียนและกำลังทำให้ตัวเองสามารถทำงานในโรงเรียนได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบรรดาผู้บริหารโรงเรียนจึงเอาใจใส่นักกับการกวดขันวินัยด้วยตนเองพร้อม ๆ กับพยายามที่จะคงระดับค่าใช้จ่ายของการสร้างวินัยในพวกเราไว้ในระดับที่ต่ำที่สุด
เฉกเช่นเดียวกับสถาบันที่มีลักษณะเป็นทุนนิยมทั้งหลาย โรงเรียนก็คือโรงงาน การให้คะแนนและการติดตามคือหนทางของการแจงวัดระดับผลิตภาพของพวกเราภายใต้โรงเรียนที่เป็นดั่งโรงงาน ไม่ใช่แค่เฉพาะการที่พวกเราถูกฝึกให้จัดวางอนาคตของตนในตำแหน่งแห่งที่ต่าง ๆ ในสังคมเท่านั้น พวกเรายังถูกใส่รหัสคำสั่งเพื่อที่จะเดินหน้าไปสู่ “สถานที่อันเหมาะสม” โรงเรียนที่เป็นดั่งโรงงานคือย่างก้าวอันสำคัญยิ่งในกระบวนการคัดเลือกที่จะส่งบางคนไปกวาดพื้นถนนและบางคนไปเป็นผู้คุมคนกวาดถนน งานในโรงเรียนนั้นหมายรวมถึงการเรียนรู้บางอย่างที่นักเรียนรู้สึกว่ามันมีประโยชน์ อย่างไรก็ตาม แง่มุมดังกล่าวก็จะถูกทำให้อยู่ในสภาวะที่สำคัญน้อยกว่าผลประโยชน์ของทุน นั่นคือ ชนชั้นแรงงานที่มีวินัย สิ่งที่ดีสำหรับนายทุนคือวิศวกรที่สามารถพูดภาษาจีน แก้สมการได้ แต่ไม่เคยมาทำงานหรือ?
ทำไมต้องเป็นงานในโรงเรียน
นักเศรษฐศาสตร์ส่วนมากลงความเห็นว่า “งานในโรงเรียนเป็นทั้งการบริโภคและการลงทุน” ดังนั้น คำตอบของพวกเขาต่อคำถามว่าทำไมต้องเป็นงานในโรงเรียนคือ การเล่าเรียนที่คุณได้รับนั้นมอบสิ่งที่ดีให้แก่คุณ ไม่เฉพาะแค่ว่าคุณกำลังลงทุนให้กับตัวเองซึ่งสามารถคาดว่าคุณจะได้รับงานที่ให้ค่าแรงสูงในอนาคต แต่ยังเป็นเพราะว่าการเล่าเรียนนั้นสนุก พวกเราสามารถคิดเรื่องนี้ยังจริงจังได้หรือไม่
เริ่มจากการพิจารณาด้านการบริโภค สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ การบริโภคหมายถึงบางสิ่งที่สามารถมอบความสุขให้แก่เราได้ ดังนั้น ใครก็ตามที่เรียกการเล่าเรียนว่าเป็นการบริโภค คนผู้นั้นย่อมกำลังล้อเล่นอยู่แน่นอน แรงกดดันเพื่อให้ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จสิ้น ความวุ่นวายของตารางเรียน ค่ำคืนที่ไม่สามารถนอนหลับได้เพราะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ และกระบวนการกวดขันวินัยตนเองแบบอื่น ๆ ที่ทำให้ความเป็นไปได้ของการมีชีวิตที่สนุกสนานนั้นมลายหายไป มันเหมือนการบอกว่า การไปเข้าคุกคือการบริโภคเพราะมันคือความสุขที่จะได้ออกไป!
แน่นอน บางคนอาจบอกว่ามันก็มีความสุขอยู่บ้างในโรงเรียน แต่มันก็ไม่ใช่การเรียน กลับกัน สิ่งเหล่านั้นคือการต่อต้านการเรียน สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่หมายถึงความสุข มันคือการท่องเที่ยวที่คุณสามารถหลีกหนีไปจากชั่วโมงเรียน ความรักในวัยเรียนที่ชวนให้ว้าวุ่น การพูดคุยที่วกไปวนมาที่หน้าบาร์ การชุมนุมเพื่อปิดประท้วง หนังสือที่ไม่จำเป็นต้องอ่าน และหนังสือที่อ่านในเวลาที่ไม่จำเป็นต้องอ่าน ทั้งหมดเหล่านี้ที่มอบความสุขไม่ใช่การเรียน ดังนั้น การเรียนจึงเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์เกี่ยวกับการบริโภค
แล้วในด้านของการลงทุนล่ะ บรรดาศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์วัยหกสิบ นายธนาคาร ผู้แนะแนวต่างล้วนเห็นด้วยว่า โรงเรียนคือการลงทุนส่วนบุคคลที่ดี ความคิดที่ว่าคือคุณควรจะปฏิบัติราวกับว่าตัวเองเป็นเหมือนบริษัทขนาดเล็ก เป็นบริษัท GM แบบย่อส่วน ดังนั้น คุณก็สามารถลงทุนได้ด้วยการไปเรียนหนังสือเหมือนกับที่บริษัทซื้อเครื่องจักรเข้ามาเพื่อทำให้สามารถแสวงหากำไรได้มากขึ้น คุณจำเป็นต้องใช้เงิน (ลงทุน) เพื่อสร้างเงิน หากคุณสามารถเพิ่มเงินเพื่อที่จะไปโรงเรียนโดยไม่ต้องไปกู้ยืมหรือทำงานเสริมหรือให้พ่อแม่ของคุณจ่าย คุณก็คาดได้เลยว่าจะสามารถสร้างผลกำไรจากเงินก้อนที่ว่าเพราะคุณสามารถหางานที่ให้รายได้สูงได้ในอนาคต ในสมัยรุ่งเรืองของสิ่งที่พวกเขาเรียกกันว่า “การปฏิวัติทุนมนุษย์” นักเศรษฐศาสตร์ด้านการศึกษาชี้ว่าคุณจะได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าหากลงทุนในการศึกษาแทนที่จะไปซื้อหุ้นของ GM สิ่งเหล่านี้คือทุนนิยมสำหรับบรรดาชนชั้นแรงงานที่มาพร้อมความโกรธแค้น
นอกเหนือจากความไม่พอใจที่มุมมองด้านการลงทุนดังกล่าวอาจก่อให้เกิดคุณค่าสำหรับคุณที่เป็นเหมือนบริษัทหนึ่ง ส่วนหนึ่งของคุณกำลังกลายเป็นแรงงาน และอีกส่วนหนึ่งก็กำลังกลายเป็นเจ้านายที่ปกครองคนงาน คุณคงรู้สึกสงสัยว่าคุณสามารถเพิ่มเงินจากการไปเล่าเรียนในระยะยาวได้หรือไม่ ในยุค 60 ทุก ๆ คนต่างประกันว่าคุณทำได้ แต่ในช่วงวิกฤติยุค 70 ทุก ๆ การพนันที่เคยลงไว้ก็ถูกทำลาย บรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างออกมาบอกว่าการวิเคราะห์ในช่วงก่อนหน้านี้ของพวกเขาล้วนเป็นความเข้าใจผิด คุณไม่สามารถคาดหวังว่าจะมีผลตอบแทนที่งดงามใด ๆ หวนคืนกลับมาจากการลงทุนที่ใส่เข้าไปในตัวของคุณเอง ไม่น่าแปลกใจ ตอนนี้มันปรากฏว่าตัวของคุณไม่ใช่บริษัทที่สร้างผลกำไรมากกว่า GM สิ่งที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้จากการลงทุนคือผลตอบแทนที่ไม่ใช่เงินตรา ไม่ใช่งานที่ได้รับค่าแรงสูง แต่เป็นงานที่ดูดีขึ้น กระนั้นก็ตาม สิ่งดังกล่าวก็ไม่แน่เสมอไป งานดังกล่าวกำลังค่อย ๆ กลายเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ดูราวกับว่าบรรดานักเรียนกำลังถูกจัดวางแผนการที่ผิดพลาด
มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนมากสำหรับนักเรียนว่า การลงทุนดังกล่าวพยายามทำให้คุณมองความรู้ในการทำงานทั้งที่ได้และไม่ได้รับเงินในโรงเรียนว่าเป็นเพียงของปลอม ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะโน้มน้าวให้ใครคนใดคนหนึ่งออกเงินบนฐานของเทพนิยายของคุณในฐานะที่เป็นบริษัท ตอนนี้ ข้ออ้างทั้งสองของนักเศรษฐศาสตร์ก็พังทลายลง แต่ท่ามกลางเศษซากทั้งหมด กลับมีผู้ปกป้องคนใหม่ ผู้ที่มาจากพื้นที่ซึ่งน่าประหลาด พวกเขาคือ ฝ่ายซ้าย
ครูนักสังคมนิยมและนักเรียนนักปฏิวัติต่างกลายเป็นผู้ปกป้องมหาวิทยาลัยจากกระบวนการตัดเงินงบประมาณ ทำไม? เรื่องราวของพวกเขามีท่วงทำนองประมาณว่า การเรียนนำไปสู่ความสามารถในการสร้างการเชื่อมโยงต่อผู้อื่นได้มากขึ้น การเรียนทำให้คุณสามามารถเป็นคนที่มีสติรู้ตัวไตร่ตรองได้ ด้วยเหตุดังนั้น มหาวิทยาลัยของรัฐจึงเป็นสิ่งที่เปิดให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะมีชนชั้นแรงงานผู้มีการศึกษา มหาวิทยาลัยทำให้ชนชั้นแรงงานมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นชนชั้นที่ตระหนักรู้ตัวเอง มากกว่านั้น การตระหนักรู้ดังกล่าวจะทำให้ชนชั้นแรงงานเมินหน้าหนีจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพื่อเงินที่มาก การทำงานที่น้อย และให้ความสนใจแก่งานทางการเมืองในการสร้างสังคมนิยม ตรรกะแบบนี้เองที่ทำให้ฝ่ายซ้ายสามารถอธิบายถึงวิกฤติ ทุนหวาดกลัวสำนึกของชนชั้นแรงงานที่มหาวิทยาลัยเป็นผู้ฟูมฟัก และนำไปสู่ความปรารถนาของฝ่ายซ้ายที่จะให้มี งานในโรงเรียนมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง ดังนั้นในนามของจิตสำนึกทางการเมืองและสังคมนิยม บรรดาฝ่ายซ้ายจึงมาดหวังให้งานในโรงเรียนมีความเข้มข้นขึ้น ณ เวลาหนึ่ง เมื่อการปกป้องการทำงานฟรีถูกเปิดโปงจนหมดสิ้น ฝ่ายซ้ายใช้โอกาสดังกล่าวเพื่อนำชนชั้นแรงงานออกจากโลกของวัตถุไปสู่ภารกิจอันสูงส่ง การสร้างสังคมแห่งนักสังคมนิยม
แต่ฝ่ายซ้ายกลับเคลื่อนเข้าปะทะกับคำถามเก่าก่อนที่ถูกเสนอโดยผู้รู้ของชนชั้นแรงงาน ใครกันจะเป็นผู้ให้การศึกษาแก่ผู้ให้การศึกษา? เนื่องจากฝ่ายซ้ายไม่ได้เริ่มต้นจากความชัดเจนที่ว่า งานในโรงเรียนคือ งานที่ไม่ได้รับค่าแรง บรรดาความพยายามของพวกเขานำไปสู่การทำงานโดยไร้ค่าแรงเพื่อทุนนิยม การขูดรีดที่เข้มข้นขึ้น ความพยายามในการสร้างจิตสำนึกทางชนชั้นกลับไม่คำนึงถึงการควบคุมของทุนที่มีอยู่ในการศึกษา นั่นทำให้จุดจบของฝ่ายซ้ายคือการสนับสนุนความพยายามของทุนในการทำให้งานเข้มข้นขึ้น ด้วยการกวดขันวินัยและทำให้เป็นเหตุเป็นผลที่กระทำต่อชนชั้นแรงงาน ดังนั้น การสร้างสังคมนิยมจึงกลายเป็นเสียงจักรกลอีกประเภทของการเพิ่มให้งานการที่ปราศจากค่าแรงเพื่อทุนเพิ่มมากขึ้น
นี่คือจุดบรรจบของทุนและฝ่ายซ้ายในการปกป้องลักษณะของ งานในโรงเรียนที่ปราศจากค่าแรง
นักเรียนคือแรงงานที่ไม่ได้รับค่าแรง
นักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นแรงงาน เมื่อพูดให้เฉพาะเจาะจงกว่านี้ พวกเราเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นแรงงานที่ไม่ได้รับค่าแรง สภาวะที่ไร้ค่าแรงดังกล่าวทำให้พวกเรามีชีวิตอยู่ด้วยความยากจนข้นแค้น ต้องพึ่งพา และทำงานหนัก แต่ที่เลวร้ายที่สุด การที่เราไม่ได้รับค่าแรงหมายความว่าพวกเราขาดอำนาจที่ค่าแรงจะมอบให้เพื่อต่อสู้กับทุน
เมื่อปราศจากค่าแรง พวกเราถูกผลักให้อยู่แค่ในระดับของชีวิตที่เปลือยเปล่า พวกเราถูกบังคับให้อยู่รอดบนฐานของสิ่งที่ผู้อื่นไม่อาจทนได้ ที่พักอาศัยที่พวกเราพอจะค่าเช่าได้ล้วนแออัดและต่ำกว่ามาตรฐาน อาหารที่พวกเรากินและต้องกินล้วนเป็นแต่เพียงอาหารกาก ๆ เสื้อผ้าและความบันเทิงก็ถูกทำให้เหมือน ๆ กันไปหมดและจืดจาง เป็นที่แน่ชัดว่าพวกเราคือผู้คนที่จนยาก
เนื่องจากพวกเราแทบไม่ได้รับค่าแรงและพวกเราต้องมีชีวิตอยู่ พวกเราจำเป็นต้องได้รับเงินจากบางแห่งด้วยการอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ค้ำชูจากคนอื่นผู้ที่ได้รับค่าแรง สำหรับนักเรียนบางคน การยังชีพและค่าธรรมเนียมการศึกษาได้รับการอุดหนุนโดยคนที่พวกเขาใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักเรียนที่ไม่ได้รับค่าแรง พวกเรากำลังอยู่ในความสัมพันธ์แบบที่ต้องพึ่งพาพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณอื่น ๆ ที่ทำให้พวกเราปราศจากอำนาจ มากกว่านั้น หากทั้งครอบครัวยอมสละให้ แม่ทำงานเสริมและพ่อทำงานอย่างหนักเพื่อให้พวกเราสามารถเข้าเรียนได้ พ่อแม่ของพวกเราก็ยิ่งถูกทำให้อ่อนแรง ไร้กำลังที่จะไปต่อสู้กับการทำงาน ในขณะเกี่ยวกับที่พวกเราก็ถูกข่มขู่ให้ยอมรับงานในโรงเรียน
สำหรับพวกเราคนที่ไม่ได้รับการสนับสนุน ไม่ได้รับค่าแรงย่อมหมายความว่าจำเป็นต้องทำงานเสริมนอกโรงเรียน และเนื่องจากตลาดแรงงานเต็มไปด้วยนักเรียนที่มองหางาน ทุนก็บังคับค่าแรงขั้นต่ำและผลตอบแทนให้กับพวกเขา ผลลัพธ์คือพวกเราต่างต้องทำงานมากชั่วโมงหรือแม้แต่เงินเสริม เนื่องจาก งานในโรงเรียนคือสิ่งที่ไม่ให้ค่าแรง นักเรียนส่วนมากจึงต้องทำงานระหว่างสิ่งที่ถูกเรียกว่าการหยุดพักช่วงฤดูร้อน แม้ว่าพวกเราใช้เวลามากขนาดนั้นแต่พวกเราก็ไม่มีเงินพอที่จะไปมีความสุขได้ ความไร้เหตุผลดังกล่าวถูกขยายมากขึ้นด้วยความต้องการผลิตภาพที่มากสูงขึ้นซึ่งทำให้พวกเราต้องทำงานหนักขึ้น (สอบ ทำแบบทดสอบ รายงาน ฯลฯ) และด้วยวิถีทางที่พวกเราถูกเข้าโปรแกรมดังกล่าว พวกเราก็กำลังบังคับให้ตัวเองมีผลิตภาพมากขึ้น แต่ไม่ใช่เพื่อตัวของพวกเราเอง และในอีกด้านหนึ่ง พวกเราก็ถูกบังคับให้ต้องทำงานโดยไม่มีอะไรตอบแทน
แน่นอนว่าพวกเราถูกบอกว่ามันไม่ได้เปล่าประโยชน์ มันจะส่งผลกับอนาคตของพวกเรา พวกเขาพูดว่าพวกเราจะได้รับงานที่มีคุณค่าและค่าแรงที่สูง แรงงานฟรีจะไม่สูญเปล่า แต่เหมือนที่พวกเรารู้ แม้ว่าก่อนที่พวกเราจะเต้นรำอย่างสนุกสนานในโรงงาน มันก็ไม่มีอะไรอยู่ในอนาคตข้างหน้าเลยนอกจากงานที่เลวร้ายในฐานะเสมียนโรงแรมหรือเลขานุการในมหาวิทยาลัย ความเป็นจริงของสถานการณ์ที่ว่านี้คือหนึ่งในสิ่งที่ทำให้นักเรียนเริ่มต้นที่จะเรียกร้องค่าแรงสำหรับงานในโรงเรียน
ค่าแรงสำหรับนักเรียน
พวกเราต่างเบื่อหน่ายกับการทำงานแล้วไม่ได้รับค่าแรง
พวกเราต้องการค่าแรงที่เป็นเงินตราสำหรับงานในโรงเรียนที่พวกเราต้องทำ
พวกเราต้องการบีบบังคับทุนซึ่งหาผลกำไรจากการทำงานของพวกเราให้ต้องจ่ายให้กับงานในโรงเรียนหลังจากนั้นพวกเราจึงจะสามารถหยุดสภาวะการพึ่งพาทางการเงินต่อพ่อแม่ งานเสริม หรือการทำงานระหว่างปิดภาคเรียนเพื่อให้พวกเรายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อพวกเราได้รับค่าแรง เมื่อพวกเราสามารถใช้จ่ายมันได้ ด้วยหนทางดังกล่าวนี้เองที่พวกเราจะสามารถครอบครองอำนาจที่จะใช้ในการต่อรองกับทุนได้
พวกเราสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้ด้วยเงินที่ว่านี้ อันดับแรก พวกเราจะทำงานให้น้อยลง โดยเฉพาะงานเสริม อันดับสอง พวกเราจะได้ความสุขจากมาตรฐานชีวิตที่ดีขึ้นเนื่องจากพวกเรามีเงินมากขึ้นในการใช้จ่ายเพื่อมาใช้ในเวลาที่ไม่ได้ทำงาน ลำดับสาม พวกเราจะเพิ่มค่าแรงทั่วไปในพื้นที่ซึ่งได้รับผลจากการดำรงอยู่ของแรงงานค่าแรงต่ำของพวกเรา
ด้วยการใช้เวลาว่างจากเวลาที่ใช้เพื่อทำงานในโรงเรียนและใช้มันเพื่อเรียกร้องค่าแรงสำหรับนักเรียน พวกเราคิดและปฏิบัติการณ์เพื่อต่อต้านการทำงานที่พวกเรากำลังทำอยู่ มันยังจัดวางพวกเราไว้ในตำแหน่งแห่งที่ซึ่งดีขึ้นในการได้รับเงิน
ไม่เอาอีกแล้ว งานในโรงเรียนที่ไร้ค่าแรง
ผู้สนใจอ่านภาษาอังกฤษ โปรดดู The Wages for Students Students, ‘Wages for Students’ <http://zerowork.org/WagesForStudents.html>.
by Rawipon Leemingsawat | Jan 31, 2021 | Articles บทความ, Featured ไทย, Translation, ทฤษฎี Theory, สตรีนิยม Feminism, เศรษฐศาสตร์ Economics, ไทย
ผู้เขียน Silvia Federici
ผู้แปล Rawipon Leemingsawat
บรรณาธิการ Sarutanon Prabute
พวกเขาพูดว่ามันคือความรัก แต่พวกเราจะบอกว่ามันคืองานที่ไร้ค่าแรง
ในหลายครั้ง ความยากลำบากและความสับสนที่บรรดาผู้หญิงแสดงออกมาระหว่างการถกเถียงเรื่องค่าแรงสำหรับงานบ้านเกิดขึ้นมาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเธอลดทอนค่าแรงให้กลายเป็นแค่เพียงสิ่งของ เงินตรา แทนที่จะมองค่าแรงในฐานะมุมมองทางการเมืองแบบหนึ่ง ความแตกต่างระหว่างจุดยืนทั้งสองนี้แตกต่างกันมหาศาล ในการมองค่าแรงเป็นแค่เพียงสิ่งของคือการถอดถอนจุดหมายของการต่อสู้จากการเป็นการต่อสู้ในตัวมันเองและละเลยความสำคัญของมันในฐานะกระบวนการสลายตำนานและพลิกกลับบทบาทหน้าที่ซึ่งผู้หญิงถูกกำหนดในสังคมทุนนิยม
เมื่อพวกเรามองค่าแรงสำหรับงานบ้านจากจุดยืนที่ลดทอนดังกล่าว พวกเราจะเริ่มต้นด้วยการถามพวกเราเองว่า เงินที่มากขึ้นสร้างความแตกต่างอะไรให้กับชีวิตของพวกเรา พวกเราคงจะเห็นด้วยว่าสำหรับผู้หญิงจำนวนมากที่ไม่ได้มีทางเลือกมากมายนักนอกจากทำงานบ้านและแต่งงาน ค่าแรงก็คงทำให้เกิดความแตกต่างมากมายมหาศาล แต่สำหรับพวกเราผู้ที่ดูเหมือนจะมีตัวเลือกอื่น ๆ บ้าง งานวิชาชีพ สามีที่มีเหตุผล วิถีชีวิตที่ช่วยเหลือกัน ความสัมพันธ์แบบคู่รักร่วมเพศหรือการผสมกันระหว่างรูปแบบความสัมพันธ์ข้างต้น ค่าแรงก็คงไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างมากมายนัก สำหรับพวกเรามันคงมีหนทางอื่นที่จะได้มาซึ่งอิสระในทางเศรษฐกิจ และสิ่งสุดท้ายที่พวกเราต้องการคือได้มันมาด้วยการบ่งเอกลักษณ์ว่าตัวเองเป็นแม่บ้านอันเป็นโชคชะตาที่พวกเราเห็นตรงกันว่าเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย ปมปัญหาสำหรับตำแหน่งแห่งที่เช่นนี้ คือ ในจินตภาพของพวกเรา พวกเราต่างก็หาทางเพิ่มเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้กับชีวิตแสนทุกข์อยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว คำถามคือแล้วยังไงต่อล่ะ ด้วยสมมติฐานเบื้องต้นที่ผิดพลาดว่าพวกเราสามารถได้รับเงินเพิ่มขึ้นโดยปราศจากการปฏิวัติบรรดาความสัมพันธ์ของครอบครัวและสังคมในการต่อสู้เรื่องค่าแรง แต่หากพวกเราจัดวางค่าแรงในฐานะมุมมองทางการเมือง พวกเราก็จะสามารถเห็นว่าการต่อสู้เพื่อค่าแรงคือการเดินหน้าเพื่อผลิตสร้างการปฏิวัติในชีวิตและในกำลังทางสังคมในฐานะผู้หญิง มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนว่าหากพวกเราคิดว่าพวกเรา “ไม่ต้องการ” ค่าแรงดังกล่าว มันก็เป็นเพราะว่าพวกเราต่างยอมรับรูปแบบอันจำเพาะเจาะจงของการขายเรือนร่างและจิตใจโดยที่พวกเราได้รับเงินจำนวนหนึ่งมาเพื่อปิดซ่อนความต้องการนั่น ฉันจะแสดงให้เห็นว่า ค่าแรงสำหรับงานบ้านไม่ได้เป็นเพียงแค่มุมมองเชิงปฏิวัติอันหนึ่งเท่านั้น มันยังเป็นมุมมองเชิงปฏิวัติอันเดียวจากจุดยืนแบบสตรีนิยมและเพื่อชนชั้นแรงงานทั้งชนชั้น
แรงงานแห่งความรัก (a labour of love)
เป็นเรื่องสำคัญที่จะตระหนักว่าเมื่อเราพูดถึงงานบ้าน พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงงานบ้านในฐานะงานอีกชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่พวกเรากำลังพูดถึงหนึ่งในรูปแบบของการจัดการที่แพร่หลายที่สุด รูปแบบของความรุนแรงที่แสนแนบเนียนและลึกลับซึ่งทุนนิยมกระทำต่อส่วนต่าง ๆ ของชนชั้นแรงงาน เป็นความจริงที่ว่าภายใต้ทุนนิยม แรงงานทุกคนล้วนถูกจัดการและขูดรีด ความสัมพันธ์ของเขา/เธอที่มีต่อทุนล้วนถูกทำให้ลึกลับซับซ้อนอย่างถึงที่สุด ค่าแรงได้มอบภาพจำอันแสนประทับใจมิรู้ลืมของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม คุณทำงานและคุณก็เอาค่าแรงไป ดังนั้นคุณและนายของคุณต่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่ความเป็นจริงนั้น ค่าแรงแทนที่จะเป็นการจ่ายเพื่องานที่คุณทำ ค่าแรงกลับปิดบังการทำงานที่ไม่ได้รับค่าแรงซึ่งนำไปสู่ผลกำไรของเจ้านาย แต่อย่างน้อยที่สุด ค่าแรงก็ทำให้เกิดการตระหนักรู้ว่าคุณคือแรงงานคนหนึ่ง และคุณก็สามารถต่อรองรวมทั้งต่อสู้เกี่ยวกับข้อตกลงดังกล่าว ปริมาณของเงิน หรือจะต่อต้านมันก็ได้ รวมทั้งข้อตกลงและปริมาณในการทำงาน การมีค่าแรงหมายถึงการกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงทางสังคมและไม่ต้องสงสัยเลยเกี่ยวกับความหมายของมัน คุณทำงาน ไม่ใช่เพราะว่าคุณชอบมัน หากเป็นเพราะภายใต้เงื่อนไขที่ว่ามันคือความจำเป็นที่จะอนุญาตให้คุณมีชีวิตอยู่ แต่การขูดรีดในแบบที่คุณอาจได้รับอาจไม่ใช่ในรูปแบบการทำงานเช่นว่า ในวันนี้คุณคือนายไปรษณีย์ วันรุ่งขึ้นคุณอาจเป็นคนขับรถ สิ่งสำคัญคือปริมาณของงานที่คุณจำเป็นต้องทำและปริมาณของเงินที่คุณจะได้รับ
แต่ในกรณีของงานบ้าน สภาพการณ์กลับแตกต่างกันในระดับคุณภาพ ความแตกต่างเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าไม่ใช่แค่งานบ้านที่ถูกจัดวางให้ผู้หญิงทำ แต่งานบ้านถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นคุณลักษณะธรรมชาติของตัวตนและเรืองร่าของผู้หญิง กลายเป็นความปรารถนาภายในที่จะทำ เป็นแรงดลใจซึ่งบังเกิดมากจากส่วนลึกของคุณลักษณะของเพศหญิง งานบ้านจำเป็นต้องถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคุณลักษณะธรรมชาติมากกว่าจะเป็นสัญญาทางสังคมเพราะตั้งแต่แรกเริ่มโครงการแห่งทุน สำหรับผู้หญิงแล้ว งานเหล่านี้ถูกกำหนดให้เป็นงานที่ไม่ได้รับค่าแรง ทุนจำเป็นต้องโน้มน้าวพวกเราว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และทำให้เราพอใจที่จะยอมรับงานที่ไร้ค่าแรงเหล่านี้ ในทางกลับกัน สภาพที่ไร้ค่าแรงของงานบ้านเป็นอาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดในการปรับเปลี่ยนสมมติฐานร่วมว่างานบ้านไม่ใช่งาน ดังนั้น การขัดขวางกีดกันผู้หญิงจากการต่อต้านมันจึงเป็นการลดทอนตัวแสดงหลักในการต่อสู้ พวกเราถูกมองว่าเป็นแค่อีบ้าไม่ใช่แรงงานแห่งการปฏิวัติ
แต่แล้วความเป็นธรรมชาติของการเป็นแม่บ้านนั้นก็ถูกเผยโฉมว่า แท้จริงแล้วมันเกิดจากกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมกว่ายี่สิบปี การถูกสอนสั่งทุกวัน ถูกแสดงให้เห็นโดยแม่ผู้ไร้ค่าแรงเพื่อเตรียมพร้อมให้ผู้หญิงสามารถรับหน้าที่ดังกล่าวได้ เพื่อโน้มน้าวให้พวกเธอยอมรับว่าลูกและสามีเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่เธอจะคาดหวังได้ในชีวิต กระนั้นมันก็ไม่ใช่สิ่งที่สำเร็จสมบูรณ์เสมอไป ไม่สำคัญว่าการถูกสอนสั่งจะดีมากเพียงใด มีเพียงผู้หญิงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกโกง เมื่อวันคืนแห่งความเป็นเจ้าสาวจบลงและพบว่าตัวเองต้องอยู่หน้าอ่างล้างจานแสนสกปรก พวกเราจำนวนมากยังคงมีมายาภาพว่าพวกเราแต่งงานเพราะความรัก พวกเราจำนวนหนึ่งตระหนักได้ว่าพวกเราแต่งงานเพื่อความปลอดภัยและเงินตรา แต่มันก็เป็นห้วงเวลาที่ทำให้มันชัดเจนว่าขณะที่ความรักหรือเงินตราที่เกี่ยวข้องและได้รับมาจะน้อยนิดมาก แต่งานที่รอคอยพวกเราอยู่ก็มหาศาล นี่คือเหตุผลที่หญิงชราต่างพร่ำบอกพวกเราว่า “จงสนุกสนานกับเสรีภาพยามเมื่อพวกเธอยังสามารถสัมผัสมันได้อยู่ จงซื้อสิ่งใด ๆ ก็ตามที่พวกเธอต้องการตอนนี้เสีย” แต่โชคร้ายที่มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสุขกับเสรีภาพใด ๆ หากนับจากวันแรกของชีวิต คุณก็ถูกฝึกให้กลายเป็นคนที่เชื่องเชื่อ จำยอม ต้องพึ่งพา และที่สำคัญคือยอมสังเวยตัวเองและมีความสุขจากมัน หากคุณไม่ปรารถนาสิ่งเหล่านี้มันคือปัญหาของคุณ เป็นความผิดของคุณ เป็นบาป และเป็นความไม่ปกติ
พวกเราจำเป็นต้องยอมรับว่าทุนประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานในการซ่อนงานของพวกเรา ทุนสร้างสุดยอดผลงานที่จริงแท้ด้วยการสังเวยผู้หญิง ด้วยการปฏิเสธค่าแรงสำหรับงานบ้านและเปลี่ยนให้มันกลายเป็นการกระทำแห่งความรัก ทุนกำลังยิงปืนนัดเดียวได้นกทั้งฝูง ประการแรก ทุนได้รับการทำงานมากมายที่ทำให้มันโดยที่ทุนไม่ต้องจ่ายเงิน และทุนทำให้แน่ใจว่าบรรดาผู้หญิงเหล่านั้นซึ่งไม่ใกล้เคียงกับสภาะของการต่อต้านเลยยินดีที่จะแสวงหางานทั้งหลายราวกับเป็นสิ่งสวยงามที่สุดในชีวิต (ถ้อยคำแสนวิเศษที่ว่า “ใช่แล้วที่รัก คุณเป็นสตรีที่เพียบพร้อมเสียจริง”) ในขณะเดียวกัน ทุนก็กวดขันวินัยแรงงานชายไปพร้อมกัน ด้วยการทำให้ผู้หญิง “ของเขา” ต้องพึ่งพางานและค่าแรงงานสามี และกักขังพวกเขาไว้ภายใต้วินัยซึ่งถูกมอบมาให้จากโรงงานหรือที่ทำงานของพวกเขา ในความเป็นจริง หน้าที่ของพวกเราในฐานะผู้หญิงคือการเป็นแรงงานไร้ค่าแรงแต่มีความสุข เปี่ยมรัก และเป็นข้ารับใช้ของ “ชนชั้นแรงงาน” บรรดาช่วงชั้นของเหล่ากรรมชีพซึ่งทุนประทานอำนาจทางสังคมมาให้มากกว่าพวกเรา ในทิศทางเดียวกับที่พระเจ้าสร้างอีฟเพื่อมอบความสุขให้อดัม ทุนสร้างแม่บ้านเพื่อรับใช้แรงงานชายทั้งทางร่างกาย จิตใจ และเพศ เพื่อเลี้ยงดูลูกของพวกเรา ปะชุนถุงเท้า รองรับอารมณ์ยามเมื่อพวกเขาถูกบดขยี้จากงานและความสัมพันธ์ทางสังคม (ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แห่งความโดดเดี่ยว) ซึ่งทุนเตรียมเอาไว้ให้พวกเขา มันคือการรวมกันของบริการทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และเพศที่ผสมกันเป็นบทบาทที่ผู้หญิงจำเป็นต้องแสดงออกมาเพื่อทุนซึ่งสร้างคุณลักษณะอันพิเศษของข้ารับใช้ประเภทนี้ แม่บ้าน สิ่งเหล่านี้ทำให้งานการของพวกเธอช่างหนักหนาและไม่มีใครมองเห็น มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ว่าผู้ชายจำนวนมากเริ่มคิดถึงการแต่งงานตอนที่พวกเรากำลังเริ่มงานแรกในชีวิต มันเป็นเช่นนั้นไม่ใช่เพราะว่า ณ ห้วงขณะนั้นเองที่พวกเขาสามารถมีสิ่งเหล่านั้นได้ แต่เพราะว่าการมีใครซักคนที่บ้านผู้ที่จะคอยดูแลผู้ชายเป็นเงื่อนไขเดียวที่จะไม่ทำให้พวกเขากลายเป็นบ้าไปเสียก่อน หลังจากวันคืนที่ต้องใช้ไปบนสายการผลิตหรือบนโต๊ะทำงาน ผู้หญิงทุกคนรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเธอควรจะต้องทำเพื่อให้กลายเป็นผู้หญิงที่แท้จริงและเพื่อให้มีการแต่งงานที่ “ประสบความสำเร็จ” และในกรณีนี้อีกเช่นกัน ในครอบครัวที่ยากจน ผู้หญิงก็ยิ่งอยู่ในสภาวะที่เป็นทาสเสียยิ่งกว่าในกรณีอื่นซึ่งมันไม่ได้มีสาเหตุมาจากสภาพทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ในความเป็นจริงทุนมีแนวนโยบายคู่ขนานสองอัน หนึ่งสำหรับชนชั้นกลาง และอีกหนึ่งสำหรับครอบครัวของกรรมชีพ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พวกเราพบความเป็นชายตรงไปตรงมามากที่สุดในครอบครัวของกรรมชีพ ยิ่งผู้ชายถูกให้ทำงานหนักเท่าไหร่ ภรรยาของเขาก็ต้องถูกฝึกฝนให้สามารถรองรับสามีของพวกเธอได้ เพื่อกู้คืนตัวตนของสามีด้วยความเหนื่อยยากของภรรยา คุณตบตีภรรยาและข่มขืนเธอเมื่อคุณรู้สึกสูญเสีย ถูกทำลายภายใต้การต่อสู้ (การไปโรงงานโดยตัวมันเองคือความแพ้พ่าย) ยิ่งผู้ชายถูกให้รับใช้มากขึ้นเท่าไหร่ ความรู้สึกอยากเป็นเจ้านายของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น บ้านของผู้ชายกลายเป็นดั่งวังของเขา… และภรรยาก็ต้องเรียนรู้ที่จะรอคอยในความเงียบงันยามเมื่อพวกมีอารมณ์ขุ่นมัว คอยกอบกู้ชิ้นส่วนของพวกเขากลับคืนมายามเมื่อแตกสลายหรือเหน็ดเหนื่อยจากโลก คอยอยู่เคียงข้างบนเตียงเมื่อเขาพูดว่า “ผมเหนื่อยเหลือเกินคืนนี้” หรือเมื่อเขาเร่งเร้าที่จะมีเซ็กส์กับคุณหรือไม่เขาก็อาจทำร้ายคุณ (อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจะค้นพบการสู้กลับ แต่มันก็จำกัดอยู่ในระดับของปัจเจกและแยกขาดจากผู้อื่น ดังนั้นปัญหาคือการนำเอาการต่อสู้ดังกล่าวออกมาจากห้องครัวและห้องนอนสู่ท้องถนน)
การหลอกลวงภายใต้นามแห่งรักและการแต่งงานส่งผลต่อพวกเราทุกคน แม้นว่าพวกเราจะไม่ได้แต่งงานเนื่องจากเมื่องานบ้านถูกทำให้เป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นของที่คู่กับเพศหญิง เมื่อนั้นมันก็จะกลายมาเป็นคุณลักษณะของความเป็นผู้หญิง พวกเราทั้งหมดในฐานะผู้หญิงก็จะถูกทำให้มีคุณลักษณะตามนั้น หากมันเป็นเรื่องธรรมชาติในการที่จะต้องทำอะไรบางสิ่ง บรรดาผู้หญิงก็ต้องถูกคาดหวังให้ทำมันและชมชื่นที่จะทำมันด้วย แม้ว่าผู้หญิงเหล่านั้นจะสามารถหลบหนีออกจากงานบางประเภทหรือเกือบทั้งหมดของมันเนื่องจากสถานะทางสังคมได้ก็ตาม (บรรดาสามีของพวกเธอสามารถซื้อหาบังคับสาวรับใช้หรือแสวงหาความรื่นรมย์อย่างอื่น) พวกเราอาจจะไม่ได้รับใช้ผู้ชายคนใดคนหนึ่ง แต่พวกเรากำลังเป็นข้ารับใช้ อยู่ในความสัมพันธ์แบบข้ารับใช้กับผู้ชายทั้งหมดในโลก นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุใดผู้หญิงจะถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่ต่ำช้า เป็นของที่เสื่อมค่า (“ยิ้มหน่อยที่รัก (honey) สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อคุณไม่ใช่หรือ” เป็นบางสิ่งที่ผู้ชายทุกคนรู้สึกว่ามีสิทธิที่จะตั้งชื่อเรียกให้คุณ ไม่ว่าเขาจะเป็นสามีของพวกคุณหรือเป็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งที่กลัดตั๋วคุณบนรถไฟหรือเป็นเพียงเจ้านายในที่ทำงาน)
มุมมองแบบการปฏิวัติ
หากพวกเราเริ่มต้นจากการวิเคราะห์เช่นนี้ พวกเราก็จะสามารถเห็นถึงความหมายเชิงปฏิวัติของการเรียกร้องค่าแรงสำหรับงานบ้าน มันคือความต้องการที่ทำให้ความเป็นธรรมชาติสิ้นสุดลงและเริ่มต้นการต่อสู้ของพวกเราเพราะเพียงแค่ต้องการค่าแรงสำหรับงานบ้านนั้นหมายถึงการปฏิเสธงานบ้านในฐานะการปรากฏตัวของธรรมชาติของพวกเรา และด้วยเหตุดังกล่าวมันจึงกำลังปฏิเสธบทบาทของผู้หญิงซึ่งทุนได้จัดวางไว้ให้พวกเรา
การทวงถามถึงค่าแรงสำรับงานบ้านโดยตัวของมันเองได้บ่อนทำลายความคาดหวังของสังคมที่มีต่อพวกเรา เนื่องจากความคาดหวังดังกล่าว แก่นแกนของกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ทั้งหมดล้วนทำหน้าที่สร้างเงื่อนไขที่ทำให้พวกเราทำงานโดยปราศจากค่าแรงที่บ้าน ในแง่นี้ มันจึงกลายเป็นสิ่งที่เหลวไหลที่จะเปรียบเทียบการต่อสู้ของผู้หญิงเพื่อค่าแรงกับการต่อสู้ของแรงงานผู้ชายในโรงงานเพื่อค่าแรงที่มากขึ้น แรงงานที่ได้รับค่าแรงในกระบวนการต่อสู้เพื่อค่าแรงที่มากขึ้นได้ท้าทายบทบาททางสังคมของพวกเขาแต่ก็ยังคงอยู่ภายในบทบาทดังกล่าวอยู่ดี ยามเมื่อพวกเราต่อสู้เพื่อค่าแรง พวกเรากำลังต่อสู้กับบทบาททางสังคมของพวกเราอย่างตรงไปตรงมา ชัดเจนไม่ต้องสงสัย ในขณะเดียวกัน มีความแตกต่างเชิงคุณลักษณะระหว่างการต่อสู้ของแรงงานที่ได้รับค่าแรงกับการต่อสู้ของทาสเพื่อค่าแรงซึ่งต่อต้านความเป็นทาส อย่างไรก็ตาม มันควรจะเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าเมื่อพวกเราต่อสู้เพื่อค่าแรง พวกเราไม่ได้ต่อสู้เพื่อเข้าสู่ความสัมพันธ์แบบทุนนิยมเนื่องจากพวกเราไม่เคยอยู่ภายนอกพวกมันมาก่อน พวกเราต่อสู้เพื่อทำลายล้างแผนการของทุนที่มีต่อผู้หญิงซึ่งมันเป็นห้วงขณะอันสำคัญยิ่งยวดของกระบวนการแบ่งแยกภายในชนชั้นแรงงาน แผนการซึ่งทุนจะสามารถธำรงไว้ซึ่งอำนาจของมันต่อไปได้ ดังนั้น ค่าแรงสำหรับงานบ้านจึงเป็นความปรารถนาเชิงปฏิวัติ ไม่ใช่เพราะโดยตัวมันเองทำลายทุน แต่เนื่องจากว่ามันบีบบังคับให้ทุนจำต้องปรับโครงสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่อำนวยประโยชน์แก่พวกเราและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชั้น ในความเป็นจริง ความปรารถนาค่าแรงสำหรับงานบ้านไม่ได้หมายความว่าหากพวกเราได้รับการจ่ายเงินแล้วพวกเราจะหยุดการต่อสู้ มันหมายความตรงกันข้ามเลยต่างหาก การบอกว่าพวกเราต้องการเงินสำหรับงานบ้านคือก้าวแรกของการปฏิเสธที่จะทำงานบ้าน เนื่องจากการเรียกร้องต้องการค่าแรงทำให้งานของพวกเรากลายเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นซึ่งมันเป็นเงื่อนไขที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของการเริ่มต้องต่อสู้กับมันทั้งในแง่มุมเบื้องต้นในฐานะงานบ้านและคุณลักษณะอันน่ารังเกียจในฐานะความเป็นผู้หญิง
ในการคัดค้านต่อคำกล่าวหาของบรรดาพวก “เศรษฐกิจนิยม” พวกเราควรที่จะระลึกไว้ว่าเงินตราคือทุน ดังนั้นมันจึงเป็นอำนาจในการควบคุมแรงงานด้วย ด้วยเหตุผลดังกล่าว การช่วงชิงเงินตราที่ถูกชิงไปกลับมาใหม่อีกครั้ง เงินตราซึ่งเป็นดอกผลจากแรงงานของพวกเรา ของแม่พวกเรา ของย่ายายพวกเรามันจึงหมายถึงการบ่อนทำลายอำนาจสั่งการของแรงงานที่มีต่อพวกเรา และพวกเราไม่ควรแคลงใจในอำนาจของค่าแรงที่จะกร่อนทำลายความเป็นผู้หญิงและสร้างให้งานของพวกเราให้ปรากฏเห็นได้ ความเป็นผู้หญิงของพวกเราเป็นดั่งการทำงาน เนื่องจากการหายไปของค่าแรงทรงอนุภาพมากต่อการจัดรูปลักษณ์หน้าที่ดังกล่าวและกลบซ่อนงานของพวกเราจากการมองเห็น การเรียกร้องค่าแรงคือการทำให้พวกมันสามารถถูกมองเห็นได้ว่าเรือนร่าง จิตใจ และอารมณ์ของพวกเราถูกบิดผันไปเพื่อทำหน้าที่เฉพาะบางประการและถูกโยนกลับมาให้พวกเราในฐานะแบบอย่างซึ่งพวกเราควรที่จะทำตามหากพวกเราปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับในฐานะผู้หญิงของสังคมนี้
การบอกว่าพวกเราต้องการค่าแรงสำหรับงานบ้านคือการแสดงออกถึงความจริงที่ว่างานบ้านทำเงินให้กับทุน ทุนได้สร้างและผลิตเงินตราขึ้นมาจากการทำอาหาร การยิ้ม และการมีความสัมพันธ์ทางเพศของพวกเรา ในขณะเดียวกัน มันก็แสดงให้เห็นว่าที่พวกเราต้องทำอาหาร ยิ้ม และมีเซ็กส์ตลอดปีไม่ใช่เป็นเพราะว่ามันเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าสำหรับพวกเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น ๆ หากแต่เป็นเพราะว่าพวกเราไม่มีตัวเลือกอื่น ใบหน้าของพวกเราบิดเบี้ยวจากการยิ้มที่ยาวนานและบ่อยครั้ง การมีความสัมพันธ์ทางเพศบ่อยครั้งและล้นเกินทิ้งให้พวกเราตายด้านทางเพศ
ค่าแรงสำหรับงานบ้านจึงเป็นเพียงปฐมบท เพียงแค่ปฐมบทนี้ช่างชัดเจน นับแต่นี้พวกเขาจำเป็นต้องจ่ายค่าแรงให้กับเราเพราะในฐานะที่เป็นผู้หญิง พวกเราไม่รับประกันว่าอะไรต่าง ๆ จะต้องเป็นเช่นเดิมอีกต่อไป พวกเราต้องการเรียกร้องงาน งานที่ซึ่งในท้ายที่สุดเราจะสามารถค้นพบสิ่งที่เรียกว่าความรักและสร้างสิ่งที่จะกลายเป็นเพศวิถีซึ่งพวกเราไม่เคยได้รู้มาก่อน และจากมุมมองต่องานดังกล่าว พวกเราสามารถทวงถามไม่ใช่แค่ค่าแรงสำหรับงานหนึ่งงาน แต่เป็นค่าแรงสำหรับงานที่มากกว่านั้น เพราะพวกเราถูกบังคับให้ทำงานมากมายไปพร้อม ๆ กันมาเนิ่นนานแล้ว พวกเราเป็นข้ารับใช้ของบ้าน เป็นโสเภณี เป็นพยาบาล นี่คือแก่นแกนของคู่สมรส “ในอุดมคติ” ผู้ที่ถูกยกยอปอปั้นใน “วันแม่” พวกเราจะบอกว่า หยุดเทิดทูนการขูดรีดพวกเราและทำให้มันกลายเป็นวีรสตรีได้แล้ว นับจากนี้พวกเราต้องการค่าแรงสำหรับทุก ๆ ห้วงขณะที่เราทำงาน ด้วยการกระทำดังกล่าวนี้เองที่พวกเราจะสามารถปฏิเสธบางส่วนของมันและในที่สุดจะสามารถปฏิเสธทั้งหมดของมันได้ ในแง่นี้ไม่มีสิ่งใดที่จะทรงประสิทธิภาพมากไปกว่าการแสดงให้เห็นว่าความเป็นผู้หญิงคือสิ่งที่มีมูลค่าเชิงเงินตราซึ่งสามารถคิดคำนวณได้ เพิ่มพูนมันขึ้นในสายตาของหน่วยวัดที่พวกเราเคยถูกทำให้พ่ายแพ้ นับจากนี้ด้วยการต่อต่อต้านทุนสำหรับพวกเราในหน่วยวัดดังกล่าว พวกเรากำลังจัดการอำนาจของเราเอง
ต่อสู้เพื่อการบริการทางสังคม
สิ่งเหล่านี้คือมุมมองแบบถึงรากที่สุดที่พวกเราสามารถนำมาใช้ได้เพราะถึงแม้ว่าพวกเราจะสามารถเรียกร้องทุกสิ่ง การดูแลประจำวัน ค่าแรงที่เท่าเทียม บริการซักรีดฟรี พวกเราก็จะไม่มีวันได้รับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้นเว้นแต่ว่าพวกเราจะจู่โจมบทบาทความเป็นผู้หญิงของพวกเราในระดับรากฐานของมันเลย การต่อสู้เพื่อบริการทางสังคม กล่าวคือ เพื่อเงื่อนไขการทำงานที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้มักจะถูกทำให้ไร้ค่าหากคุณไม่สามารถบอกได้ว่างานที่คุณกำลังทำมันคืองาน เว้นเสียแต่ว่าคุณต่อสู้กับองค์รวมของมันมิเช่นนั้นคุณก็จะไม่มีวันได้รับชัยชนะ พวกเราจะประสบความล้มเหลวในการต่อสู้เพื่อบริการซักรีดฟรียกเว้นว่าพวกเราจะเริ่มต้นด้วยการต่อสู้กับความจริงที่ว่าพวกเราไม่สามารถรักได้เว้นแต่ ณ ขณะที่เราต้องจ่ายด้วยการทำงานอย่างไร้จุดจบที่ทุกวันคืนค่อย ๆ กร่อนทำลายร่างกาย เซ็กส์ ความสัมพันธ์ทางสังคมของพวกเรา เว้นแต่ว่าเราจะเริ่มผละจากการข่มขู่ที่ทำให้การให้และความรู้สึกถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นหน้าที่ซึ่งต้องทำซึ่งในท้ายที่สุดมันจะเป็นสิ่งที่กลับมาต่อต้านตัวพวกเราเอง รวมทั้งทำให้เกิดความรู้สึกด้านลบต่อสามี ลูกหลาน เพื่อนฝูงของเราเองและก่อเป็นความรู้สึกผิดซึ่งเกิดจากความขุ่นเคืองดังกล่าว การทำงานเสริมไม่ได้เปลี่ยนแปลงบทบาทดังกล่าวเลย วันคืนของงานของผู้หญิงยังคงปรากฏอยู่ งานเสริมไม่เพียงเพิ่มพูนกระบวนการขูดรีดของพวกเรา แต่ยังผลิตซ้ำบทบาทของพวกเราในอีกรูปแบบ ไม่ว่าเราจะหันไปที่ไหน พวกเราก็สามารถมองเห็นได้ว่างานการต่าง ๆ ที่ผู้หญิงทำเป็นเพียงการขยายนัยสภาพของการเป็นแม่บ้านออกไป สิ่งนี้ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเรากลายเป็นพยาบาล แม่บ้าน ครู เลขานุการ การทำงานทั้งหมดที่พวกเราถูกฝึกฝนอย่างดีในบ้านเท่านั้น แต่พวกเรากำลังอยู่ในข้อผูกมัดเดียวกันกับที่ขัดขวางการต่อสู้ของพวกเราในบ้าน ความโดดเดี่ยว ความจริงที่ว่าชีวิตของคนอื่นขึ้นอยู่กับพวกเรา หรือความเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นว่างานของเราเริ่มต้นที่ใดและสิ้นสุดลงเมื่อใด การนำกาแฟไปให้เจ้านายของคุณและพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับปัญหาในครอบครัวเป็นงานของเลขานุการหรือเป็นเรื่องส่วนตัวกันแน่ ความจริงที่ว่าพวกเราจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ซึ่งเกี่ยวกับเงื่อนไขในการทำงานหรือมันเป็นแค่ผลของความภูมิใจในความเป็นผู้หญิง (จนกระทั่งปัจจุบันพนักงานบนสายการบินในสหรัฐอเมริกาก็ถูกบังคับให้ชั่งน้ำหนักอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงต้องควบคุมอาหารตลอดเวลาเนื่องจากความหวาดกลัวที่จะต้องถูกไล่ออกจากงาน นี่เป็นความทรมานที่ผู้หญิงทุกคนต่างรู้ดี) เฉกเช่นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนรู้กันดีว่า เมื่อความต้องการของตลาดแรงงานที่ได้รับค่าแรงต้องการให้พวกเธอปรากฎตัวขึ้น ผู้หญิงก็สามารถทำงานใดก็ได้โดยที่ความเป็นผู้หญิงของเธอไม่มีทางหายไปราวกับว่าหนทางที่ง่ายที่สุดในการยืนยันว่าเธอคือผู้หญิงนั้นไม่ใช่ว่าเธอกำลังทำอะไรแต่เป็นที่ว่าเธอมีช่องคลอด
ในฐานะข้อเสนอว่าด้วยกระบวนการทำให้กลายเป็นเรื่องทางสังคมและรวมหมู่ของงานบ้าน มีตัวอย่างสองอันที่เพียงพอในการลากเส้นแบ่งระหว่างทางเลือกเหล่านั้นกับมุมมองของพวกเรา หนึ่งเป็นเรื่องที่ต้องการให้สร้างศูนย์รับเลี้ยงเด็กขึ้นมาตามที่เราต้องการและเรียกร้องให้รัฐต้องดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ อีกอันคือการส่งลูกของเราไปยังรัฐและบอกว่ารัฐควบคุมพวกเรา กวดขันวินัยพวกเขา ต้องให้พวกเขารักในเกียรติยศของธงชาวอเมริกันไม่ใช่แค่ห้วงเวลาเพียงห้าชั่วโมงหากแต่เป็นสิบห้าหรือยี่สิบสี่ชั่วโมง หนึ่งคือการจัดการหนทางที่พวกเราจะกินอาหารแบบซึ่งกันและกันเป็นชุมชน (โดยพวกเราเอง ในกลุ่มต่าง ๆ ฯลฯ) และให้รัฐมาดูแลค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ และอีกหนึ่งคือสิ่งที่ตรงข้ามกันคือเรียกร้องให้รัฐเข้ามาจัดการมื้ออาหารของพวกเรา ในกรณีแรกพวกเราทวงคืนการควบคุมเหนือชีวิตของพวกเราบางส่วนกลับคืนมา ในขณะที่อีกกรณีหนึ่งเรากำลังทำให้รัฐเข้ามาควบคุมพวกเรา
การต่อสู้ต่อต้านงานบ้าน
พวกหญิงบางคนกล่าว ค่าแรงสำหรับงานบ้านจะเปลี่ยนแปลงทัศนคติสามีของพวกเราที่ต่อพวกเรา สามีของพวกเราจะไม่คาดหวังหน้าที่เดิม ๆ เหมือนดังในอดีตหรือหนักยิ่งกว่าก่อนที่พวกเราจะได้รับค่าแรงหรือไม่ แต่บรรดาผู้หญิงเหล่านั้นจะไม่เห็นว่าพวกเธอจะสามารถคาดหวังอะไรได้มากนักจากพวกเราเนื่องจากว่าพวกเราไม่ได้เป็นคนที่จ่ายเงินให้กับพวกเธอ เพราะว่าพวกเธอคะเนว่ามันคือ “ธุระของผู้หญิง” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ต้องสิ้นเปลืองแรงมากมายนักในการที่จะทำให้มันเสร็จ พวกผู้ชายสามารถที่จะยอมรับการบริการของพวกเราและเสวยสุขไปกับสิ่งเหล่านั้นได้เพราะว่าพวกเขาต่างคิดว่างานบ้านเป็นงานที่ไม่หนักหนาเท่าใดนักสำหรับพวกเรา พวกเขาคิดว่าพวกเราต่างสนุกสนานไปกับการทำงานบ้านเนื่องจากพวกเราทำงานเพราะความรัก จริง ๆ แล้วพวกเขายังคาดอีกว่าพวกเราควรจะต้องรู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างมากเนื่องจากการแต่งงานหรือการได้อาศัยร่วมกันเป็นลู่ทางที่จะทำให้พวกเราสามารถแสดงความเป็นผู้หญิงออกมาได้ซึ่งเป็นโอกาสที่พวกเขามอบให้ “คุณแสนโชคดีที่ได้พบผู้ชายอย่างฉัน” มีแต่เฉพาะห้วงขณะที่ผู้ชายเหล่านั้นเห็นว่างานของพวกเราคืองาน ความรักของพวกเราคืองาน และที่สำคัญเห็นถึงความตั้งใจของพวกเราที่จะปฏิเสธแง่มุมทั้งสองนั้นเองที่พวกเขาจะต้องเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อพวกเรา ยามเมื่อผู้หญิงเรือนร้อยเรือนแสนออกไปสู่ท้องถนนแล้วตะโกนว่า การทำความสะอาดที่ไม่มีวันจบสิ้น การเป็นที่รองรับอารมณ์ การมีเซ็กส์ตามคำสั่งซึ่งมาจากความกลัวที่จะสูญเสียงานของพวกเราคือสิ่งที่เลวร้าย ตะโกนบอกว่ารังเกียจงานที่กำลังทำลายชีวิตของพวกเรา เมื่อนั้นเองที่พวกเขาจะตกอยู่ในความหวาดกลัวและรู้สึกว่าความเป็นผู้ชายของเขาถูกทำลายลง
แต่ว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากมุมมองของพวกเราเอง เนื่องจากว่าด้วยการเปิดเผยถึงวิถีทางที่ทุนกักขังพวกเราไว้และแยกออกจากกัน (ทุนได้กวดขันวินัยพวกเราผ่านตัวของพวกเราเองและทำให้พวกเราขัดแย้งกัน) พวกเราเปิดเผยถึงกระบวนการการปลดปล่อยของเราเอง ในแง่นี้ ค่าแรงสำหรับเราจะกลายเป็นสิ่งที่มากกว่าการพิสูจน์ว่าพวกเราสามารถทำงานได้เท่า ๆ กับผู้ชายหรือพวกเราสามารถทำงานเดียวกับพวกเขาได้ แต่การเรียกร้องจะกลายเป็นเหมือนกระบวนการเรียนรู้ พวกเราละทิ้งความพยายามอย่างหนักในการที่จะเป็น “ผู้หญิงทำงาน” ผู้หญิงผู้ซึ่งสามารถหลบหนีออกจากการกดขี่ของพวกเธอได้แต่ไม่ใช่ด้วยพลังของการรวมตัวหรือการต่อสู้แต่เป็นผ่านอำนาจของเหล่าเจ้านาย อำนาจแห่งการกดขี่ซึ่งกำลังกระทำต่อผู้หญิงคนอื่น ๆ และพวกเราก็ไม่ปรารถนาที่จะพิสูจน์ว่าพวกเราสามารถ “ทำลายปราการของพวกคอปกน้ำเงิน” ได้ พวกเราจำนวนมากทุบทำลายปราการนั่นเมื่อนานมาแล้วและค้นพบว่าชุดเอี๊ยมทำงานไม่ได้มอบให้พวกเรามีอำนาจมากไปกว่าผ้ากันเปื้อนในครัว แม้หากมันจะเป็นไปได้ก็ด้วยการที่พวกเราจำเป็นต้องสวมทั้งผ้าและเสื้อทั้งสองดังกล่าวและพวกเราก็จะมีเวลารวมทั้งพลังงานที่น้อยลงในการที่จะต่อต้านมัน สิ่งต่าง ๆ ที่พวกเราจำเป็นต้องพิสูจน์ให้เห็นคือความสามารถของพวกเราในการแสดงให้เห็นว่าพวกเรานั้นพร้อมที่จะกระทำและกำลังกระทำอยู่ ทุนกำลังกระทำต่อเราและพลังของพวกเราก็กำลังต่อสู้กับมันอยู่
น่าเสียดาย ผู้หญิงจำนวนมากโดยเฉพาะที่ยังโสดอยู่ต่างหวาดกลัวมุมมองว่าด้วยค่าแรงสำหรับงานบ้านเพราะว่าพวกเธอหวาดกลัวที่จะระบุว่าพวกเธอเป็นเหมือนแม่บ้าน พวกเธอรู้ว่ามันคือตำแหน่งแห่งที่ซึ่งไร้อำนาจมากที่สุดในสังคมและดังนั้นพวกเธอจึงไม่ปรารถนาที่จะกลายเป็นหนึ่งในแม่บ้าน นี่คือจุดอ่อนของพวกเธอ จุดอ่อนที่ถูกรักษาและทำให้คงอยู่ตลอดไปผ่านความขาดของการบ่งชี้ถึงตัวเองด้วยตัวเอง พวกเราต้องการและจำเป็นต้องพูดว่าพวกเราทั้งหมดล้วนเป็นแม่บ้าน พวกเราทั้งหมดเป็นโสเภณี พวกเราทั้งหมดเป็นเกย์ เพราะจนกว่าพวกเราจะตระหนักรู้ถึงความเป็นทาสของพวกเรา พวกเราก็จะไม่สามารถตระหนักถึงการต่อสู้มันได้ เพราะว่าตราบเท่าที่พวกเรายังคิดว่าพวกเราเป็นบางสิ่งที่ดีกว่า บางสิ่งที่แตกต่างจากการเป็นแม่บ้าน พวกเราก็กำลังยอมรับตรรกะของนายทาสซึ่งมันคือตรรกะของการแบ่งแยก และสำหรับพวกเราแล้วมันก็คือตรรกะของความเป็นทาส พวกเราทั้งหมดล้วนเป็นแม่บ้านเพราะไม่ว่าพวกเราจะอยู่ ณ ที่แห่งไหน พวกเขาก็สามารถวางใจได้ว่าพวกเราจะทำงานมากขึ้น ความหวาดกลัวที่มากขึ้นกำลังทับถมลงมาบนพวกเราและผลักให้ความต้องการของพวกเรามากยิ่งขึ้น แต่เป็นในทิศทางที่แรงกดดันที่มีต่อเงินของพวกเขาน้อยลง เนื่องจากความคิดและความสนใจของพวกเราซึ่งเปี่ยมไปด้วยความหวังถูกเบี่ยงเบนและนำไปสู่สถานที่แห่งอื่น ที่ซึ่งผู้ชายเหล่านั้นในปัจจุบันหรือในอนาคตของพวกเราคือ “ผู้ที่จะนำความสุขและดูแลพวกเรา”
และพวกเราก็กำลังหลอกตัวเองว่าพวกเราสามารถหนีจากงานบ้านได้ แต่ว่าจะพวกเราจำนวนสักเท่าไหร่กันเล่าที่จะสามารถหนีจากมันไปได้แม้ว่าพวกเขาจะทำงานอยู่นอกบ้านก็ตาม และพวกเราสามารถเมินเฉยต่อแนวคิดในการมีชีวิตร่วมกับผู้ชายได้ง่ายดายจริงหรือ จะเกิดอะไรขึ้นหากเราสูญเสียงานของพวกเรา แล้วเรื่องความชราภาพและความดึงดูดใจล่ะ เกี่ยวกับเด็ก ๆ เล่า พวกเราจะเสียใจหรือเปล่าหากตัดสินใจที่จะไม่มีพวกเขา ไม่แม้แต่จะถามถึงคำถามดังกล่าวอย่างจริงจัง และพวกเราสามารถมีความสัมพันธ์แบบเกย์ได้หรือไม่ พวกเรายินดีที่จะจ่ายราคาของการแยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยวหรือไม่ แต่พวกเราสามารถมีความสัมพันธ์กับผู้ชายได้จริงหรือ
คำถามคือ เหตุใดทางเลือกเหล่านั้นจึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ของพวกเราและรูปแบบของการต่อสู้แบบใดที่จะนำพาพวกเราให้ไปไกลกว่าสิ่งเหล่านี้
บทความนี้แปลจาก ‘Silvia Federici, “Wages Against Housework”’, Caring Labor: An Archive, 2010 <https://caringlabor.wordpress.com/2010/09/15/silvia-federici-wages-against-housework/> [accessed 29 January 2021].