by DinDeng | Jun 26, 2024 | Articles บทความ, ความคิดเห็น Opinion, ไทย
โดย อารีย์
English Language
RIMPAC ซึ่งเป็นการฝึกซ้อมรบทางทะเลระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดขึ้นโดยกองทัพเรือสหรัฐฯ โดยมีประเทศผู้เข้าร่วม 29 ประเทศ รวมทั้งไทยและอิสราเอล RIMPAC อำพรางตัวเป็นความพยายามที่จะสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ เพื่อพัฒนาความมั่นคงทางทะเลและการทำงานร่วมกัน แต่ทว่า จุดประสงค์ที่แท้จริงคือเพื่อยืนยันการครอบงำของจักรวรรดินิยมตะวันตกเหนือภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกภายใต้หน้ากากของความร่วมมือทางทหาร การซ้อมรบประจำปีนี้เป็นการนำกองทัพเรือจากทั่วโลกมารวมตัวกัน รวมถึงกองทัพเรือของประเทศจักรวรรดินิยมอย่างสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล ซึ่งมีประวัติการแทรกแซงและการแสวงประโยชน์ทางทหารที่ได้รับการบันทึกไว้เป็นอย่างดี ประเทศไทยต้องปฏิเสธที่จะช่วยเหลือและสนับสนุนการกระทำของอิสราเอลเช่นเดียวกับมหาอำนาจจักรวรรดินิยมอื่นๆ ประเทศไทยต้องถอนตัวออกจาก RIMPAC โดยทันที
ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายนถึง 2 สิงหาคมของปีนี้ เรือผิวน้ำประมาณ 40 ลำ เรือดำน้ำ 3 ลำ กองกำลังภาคพื้นดิน 14 กองกำลัง เครื่องบินมากกว่า 150 ลำ และบุคลากรมากกว่า 25,000 คนจะเข้าร่วมใน RIMPAC ในและรอบ ๆ หมู่เกาะฮาวาย RIMPAC ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1971 โดยสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และแคนาดา โดยถือกำเนิดมาจากช่วงสงครามเย็น แบบฝึกหัดนี้ครอบคลุมระยะทางทะเลระหว่างซานดิเอโกและหมู่เกาะฮาวาย เป็นการฝึกประจำปีจนถึงปี ค.ศ. 1974 และได้เปลี่ยนมาเป็นการฝึกทุกๆ สองปี วัตถุประสงค์ของ RIMPAC คือการควบคุมเส้นทาง “การค้าเสรี” ภายในมหาสมุทรแปซิฟิกและขอบมหาสมุทรแปซิฟิก และเพื่อแสดงอำนาจในภูมิภาคแปซิฟิกต่อประเทศจีน ประเทศไทยเป็นประเทศที่เข้าร่วม RIMPAC มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997
RIMPAC เป็นเวทีสำหรับการแสดงอำนาจและอิทธิพลของจักรวรรดินิยมเหนือภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งสะท้อนถึงความทะเยอทะยานของประเทศที่มีอำนาจในทางจักรวรรดินิยม ในฐานะผู้จัดงานหลักและผู้เข้าร่วมการฝึกซ้อม สหรัฐฯ ได้ใช้ RIMPAC เป็นสื่อกลางในการยืนยันอำนาจทางทหารและผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยการซ้อมรบทางเรือขนาดใหญ่และการฝึกซ้อมร่วม กองทัพเรือสหรัฐฯ แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางทหารที่น่าเกรงขาม และแสดงอำนาจไปยังทั้งคู่แข่งและพันธมิตรที่มีศักยภาพ
เวทีจักรวรรดินิยมนี้รวมถึงการฝึกหัดนักรบตรีศูลทดลอง (Trident Warrior) ซึ่งมีการทดสอบเทคโนโลยีสงครามใหม่ๆ รวมถึงอาวุธที่ใช้ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในฉนวนกาซา ระบบอาวุธ เช่น โดมเหล็ก ระบบโหลดบนพาเลท และระบบอาวุธความสามารถในการสกัดกั้นระยะปานกลาง (Medium-Range Intercept Capability–MRIC) ที่สร้างโดยบริษัท Raytheon ทั้งนี้ล้วนได้รับการทดสอบโดยกองทัพบกและนาวิกโยธินในฮาวายและกัวฮาน (หรือที่รู้จักในชื่อกวม) ภายใต้ RIMPAC และการฝึกซ้อมอื่นๆ อาวุธ MRIC ยิง SAM ของ Raytheon “SkyHunter” ซึ่งเป็นชื่ออเมริกันของขีปนาวุธ “Tamir Iron Dome” ของอิสราเอลที่ใช้ในฉนวนกาซา
การฝึกซ้อมรบเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการรวมพันธมิตรและหุ้นส่วนทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯภสยในภูมิภาคนี้ รวมทั้งเสริมสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางทหารที่สนับสนุนวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ของสหรัฐฯในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก นอกจากบทบาทในการส่งเสริมจักรวรรดินิยมอเมริกันแล้ว RIMPAC ยังอำนวยความสะดวกต่อผลประโยชน์ของประเทศมหาอำนาจจักรวรรดินิยมอื่นๆ เช่นอิสราเอลญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ประเทศเหล่านี้ใช้การฝึกซ้อมเพื่อแสดงเจตนารมณ์เชิงกลยุทธ์ของตนเองและขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้
อิสราเอลซึ่งเป็นผู้เข้าร่วมสำคัญในงานนี้ใช้โอกาสนี้ในการแสดงอำนาจทางทหารและเสริมสร้างความสัมพันธ์กับมหาอำนาจจักรวรรดินิยมอื่นๆ การเข้าร่วม RIMPAC ของไทยคือการเข้าร่วมกับระบอบไซออนิสม์ เป็นการสนับสนุนนโยบายการยึดครองและการแบ่งแยกสีผิวต่อชาวปาเลสไตน์ การต้อนรับอิสราเอลในฐานะผู้เข้าร่วมในการฝึกซ้อม RIMPAC นั้นเป็นการให้ความชอบธรรมต่อกองทัพอิสราเอลและการกระทำของพวกเขา เป็นการให้ความชอบธรรมกัยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการยึดครอง และการแบ่งแยกสีผิวต่อชาวปาเลสไตน์ RIMPAC ทำหน้าที่เป็นเวทีสำหรับอิสราเอลในการแสดงความสามารถทางทหารอีกทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ รวมถึงประเทศที่มีวาระจักรวรรดินิยม ผ่านการเข้าร่วมการซ้อมรบและการซ้อมรบร่วมทางเรือ อิสราเอลได้เสริมสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์และส่งเสริมตำแหน่งของตนในฐานะมหาอำนาจทางทหารของภูมิภาค และเสริมสร้างการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์ของตนต่อไป
การรวมอิสราเอลของ RIMPAC ถือเป็นการกระทำที่สมรู้ร่วมคิดและสนับสนุนลัทธิไซออนิสต์ ด้วยการอนุญาตให้อิสราเอลมีส่วนร่วมในการฝึกซ้อมรบข้ามชาติRIMPAC จึงนับได้ว่าเป็นการสนับสนุนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอิสราเอล การยึดครองปาเลสไตน์อย่างผิดกฎหมาย การรุกรานทางทหาร และการปิดล้อมฉนวนกาซา ความสมรู้ร่วมคิดเหล่านี้ตอกย้ำการไม่ต้องรับโทษของอิสราเอล และบ่อนทำลายความพยายามในการรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ผ่านการเข้าร่วมRIMPAC ประเทศต่างๆ รับรองและสนับสนุนวาระไซออนนิสต์ของอิสราเอล ซึ่งมีส่วนในการคงอยู่ของความอยุติธรรมและการกดขี่ในปาเลสไตน์และในที่อื่นๆ
ในช่วง RIMPAC ประเทศไทย อิสราเอล สหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ จะรวมตัวกันเพื่อแบ่งปันยุทธวิธีการทำสงครามและมีส่วนร่วมใน “เกม” สงคราม ประเทศไทยไม่เพียงแต่จะเรียนรู้จากยุทธวิธีที่อิสราเอลใช้ต่อต้านชาวปาเลสไตน์เท่านั้น แต่ยังจะเตรียมอาวุธให้กับอิสราเอลด้วยยุทธวิธีใหม่ๆ ที่จะนำมาใช้ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กำลังดำเนินอยู่ แม้ว่าประเทศไทยได้ก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้องโดยเรียกร้องให้มีการหยุดยิงทันทีในฉนวนกาซา แต่การหยุดยิงเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ ความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ไม่ได้เริ่มต้นหลังวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2023 แต่เกิดขึ้นตั้งแต่การพิชิตกรุงเยรูซาเลมของอังกฤษในปี ค.ศ. 1917 ซึ่งวางรากฐานสำหรับรัฐผู้ตั้งถิ่นฐานไซออนิสต์สมัยใหม่ การปลดแอกที่แท้จริงจำเป็นต้องมีการคว่ำบาตร การถอนการลงทุนต่ออิสราเอล รวมถึงการถอนตัวออกจาก RIMPAC
นอกจากนี้ RIMPAC ยังสานต่อการแสวงหาผลประโยชน์จากการล่าอาณานิคมของฮาวายผ่านการฝึกซ้อมทางทหารในน่านน้ำที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตและวัฒนธรรมของ Kanaka Maoli ชาวฮาวายพื้นเมือง RIMPAC ละเมิดอธิปไตยของฮาวายด้วยการดำเนินการซ้อมรบทางทหารขนาดใหญ่ในน่านน้ำและดินแดนเหล่านี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจาก Kanaka Maoli RIMPAC ไม่เพียงแต่ดูหมิ่น ʻāina (ความหมายʻŌlelo Hawaiʻi ที่แปลว่า”แหล่งที่ให้การเลี้ยงดู”) แต่ยังส่งเสริมการยึดครองฮาวายที่ผิดกฎหมายของสหรัฐฯอย่างต่อเนื่องอีกด้วย คาดว่าจะมีทหารมากกว่า 25,000 นายเข้าร่วมใน RIMPAC ความรุนแรงทางเพศและการค้ามนุษย์ที่เพิ่มขึ้นตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงและเด็กผู้หญิง Kanaka Maoli
เสียงใต้น้ำจากโซนาร์ของกองทัพเรือ การระเบิดเสียงโซนิกและตอร์ปิโดสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงแก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ภายใต้แผนห้าปีสำหรับการฝึกและการทดลอง กองทัพเรือสหรัฐฯ ได้รับอนุญาตให้ทำอันตรายกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลเกือบ 9.6 ล้านครั้ง ในขณะทำการฝึกโซนาร์ความรุนแรงสูงและการระเบิดใต้น้ำ ศาลแขวงฮาวายพบว่า National Marine Fisheries Service ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการปกป้องสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเล ได้ละเมิดข้อกำหนดหลายประการของกฎหมายคุ้มครองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลและกฎหมายว่าด้วยสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เมื่อยินยอมแผนรบของกองทัพเรือ
RIMPAC อำนวยความสะดวกในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพันธมิตรทางทหารและความร่วมมือระหว่างประเทศที่เข้าร่วม ซึ่งหลายประเทศเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ผ่านการฝึกซ้อมร่วมและการฝึกอบรมการทำงานร่วมกัน RIMPAC ส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานทางทหารที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเพิ่มประสิทธิภาพของพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ เช่น กองบัญชาการอินโดแปซิฟิก (INDOPACOM) ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพันธมิตรเหล่านี้ สหรัฐฯ จึงสนับสนุนอิทธิพลเชิงกลยุทธ์และเสริมสร้างบทบาทของตนในฐานะผู้ค้ำประกันความมั่นคงที่โดดเด่นในภูมิภาค RIMPAC อนุญาตให้สหรัฐฯ ส่งสัญญาณเชิงกลยุทธ์ไปยังผู้มีบทบาทในภูมิภาค ส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนระเบียบระหว่างประเทศที่อิงกฎเกณฑ์ และปกป้องผลประโยชน์ของตนในเอเชียแปซิฟิก ด้ผ่านการเข้าร่วมใน RIMPAC สหรัฐฯตอกย้ำบทบาทของตนในฐานะ “ผู้ให้ความมั่นคง” และ “กำลังรักษาเสถียรภาพ” ในภูมิภาค ขณะเดียวกันก็เตือนผู้ที่อาจเป็นปรปักษ์ไม่ให้ท้าทายตำแหน่งที่มีอำนาจเหนือกว่าของตน
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นที่ตั้งสำคัญของเส้นทางเดินทะเลและทรัพยากรทางทะเล ดังนั้นการควบคุมน่านน้ำเหล่านี้จึงมีความสำคัญต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ การยึดครองเกาะฮาวายจำเป็นหนึ่งในข้อพิจารณาในบริบทของยุทธศาสตร์นโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่จะ “มุ่งสู่เอเชีย” RIMPAC ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Pacific Pathways Pacific Pathways สร้างขึ้นครั้งแรกโดยนายพล Vincent K. Brooks ในปี ค.ศ. 2014 เป็นโครงการที่ดำเนินการโดย United States Army Pacific (USARPAC) และนำโดย I Corps โดยมีเป้าหมายในการขยายการแสดงตนของกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาคแปซิฟิก และลดต้นทุนในการดำเนินการดังกล่าวโดยเชื่อมโยงการซ้อมรบหลายรูปแบบเข้าด้วยกันโดยการสร้าง “เส้นทาง” หรือ Pathway นี่เป็นความต่อเนื่องของ “Pacific Pivot” ในช่วงต้นทศวรรษ ค.ศ. 2010 ซึ่งริเริ่มภายใต้ประธานาธิบดีโอบามาของสหรัฐฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศคลินตัน ซึ่งได้ขยายขีดความสามารถทางทหารของสหรัฐฯ ไปสู่ภูมิภาคมากขึ้น เป็นการประสานอำนาจทางทหารของสหรัฐฯ เหนือดินแดนและน่านน้ำของโอเชียเนีย นอกจากนี้ RIMPAC ยังช่วยให้ สหรัฐอเมริกายืนยันการควบคุมเส้นทางเดินทะเลที่สำคัญ และสร้างอำนาจเหนือพื้นที่สำคัญ โดยจะรักษาการเข้าถึงทรัพยากร การอำนวยความสะดวกทางการค้า และการใช้อิทธิพลเหนือกิจการระดับภูมิภาค
นิยามเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติและความจำเป็นในช่วงสงครามถูกนำมาใช้เพื่อทำให้การมีอยู่และการครอบครองของสหรัฐฯในเอเชียและหมู่เกาะแปซิฟิกเป็นเรื่องถูกธรรมชาติ ใน “การพัวพันข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก (Transpacific Entanglements)” Yên Lê Espiritu, Lisa Lowe และ Lisa Yoneyama ระบุว่า “วาทกรรมของสหรัฐอเมริกาในฐานะผู้ปลดแอกเอเชียถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายการขยายของทหารในฟิลิปปินส์ กวม ฮาวาย โอกินาวา เกาหลี และเวียดนาม และเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับสงครามในปัจจุบันในอิรัก อัฟกานิสถาน ซีเรีย และที่อื่นๆ” ในช่วงทศวรรษที่ 1960 และ 1970 กองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดดินแดนฮาวายเพื่อเป็น “การซ้อม” การสังหารปราชาชนเวียดนาม ลาว (รู้จักกันในชื่ออาณานิคมลาว) และกัมพูชา ในประเทศลาวประเทศเดียว สหรัฐฯ ได้ทิ้งระเบิดคลัสเตอร์มากกว่า 2 ล้านตัน ซึ่งยังคงทำลายล้างชุมชนพื้นเมืองและสิ่งแวดล้อมต่อไป Agent Orange ยังได้รับการพัฒนาที่มหาวิทยาลัยฮาวาย และทดสอบบนดินแดนฮาวายก่อนที่จะถูกระดมกำลังทำสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การทิ้งระเบิดบนดินแดนฮาวายและการใช้ฮาวายเป็นพื้นที่ทดสอบสำหรับสงครามจักรวรรดินิยมของสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ เมื่อการกดขี่ของเรามีความเชื่อมโยงกันอย่างแยกออกไม่ได้ การปลดแอกของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน
ประชาชนผู้มีจิตสำนึกทุกคนล้วนมีหน้าที่ในการต่อต้าน RIMPAC ขอให้เราจับมือกันกับสหายทั่วโลกเพื่อเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้กับจักรวรรดินิยม ลัทธิล่าอาณานิคม และการกดขี่ในทุกรูปแบบ
คุณจะมีส่วนร่วมในการจัดการต่อต้าน RIMPAC ได้อย่างไร?
คุณสามารถเข้าร่วมแคมเปญยกเลิก RIMPAC ได้โดยกรอกแบบฟอร์มนี้ และโดยการติดตาม International International Women’s Alliance (IMA), BAYAN USA, และ Resist US-Led War ในบัญชีโซเชียลมีเดียต่างๆ ของพวกเขาสำหรับข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับแคมเปญ คุณยังสามารถลงนามในคำร้องของ Thai for Palestine และ SeriiPalestine ที่เรียกร้องให้ประเทศไทยถอนตัวจาก RIMPAC
—
สหาย อารีย์ ขอขอบคุณ สหาย สิริ สำหรับการแก้ไขบทความนี้ฉบับภาษาไทย
by DinDeng | Jun 26, 2024 | Articles บทความ, English, ความคิดเห็น Opinion
by Aree
ภาษาไทย
RIMPAC, the world’s largest international maritime warfare exercise, is hosted by the U.S. Navy with 29 participant countries, including Thailand and Israel. RIMPAC masquerades as a cooperative effort among nations to enhance maritime security and interoperability. However, its true purpose is to assert Western imperialist dominance over the Asia-Pacific region under the guise of military cooperation. This annual exercise brings together navies from across the globe, including those of imperialist powers like the United States and Israel, whose history of military intervention and exploitation is well-documented. Thailand must refuse to aid and abet Israel as well as other imperialist powers in their actions. Thailand must withdraw from RIMPAC.
From June 26 to August 2 of this year, approximately 40 surface ships, 3 submarines, 14 national land forces, over 150 aircraft and more than 25,000 personnel will participate in RIMPAC in and around the Hawaiian Islands. RIMPAC was created in 1971 by the U.S., Australia, and Canada, originally born out of the Cold War. The exercises span the nautical distance between San Diego and the Hawaiian Islands. It was an annual exercise until 1974, when it switched to a biennial exercise. RIMPAC’s purpose is to control “free trade” routes within the Pacific and Pacific Rim, and to show dominance in the Pacific region against China. Thailand has been a RIMPAC participant nation since 1997.
RIMPAC is a platform for the projection of imperialist power and influence in the Asia-Pacific region, reflecting the imperialist ambitions of dominant nations. As the primary organizer and participant in the exercise, the U.S. utilizes RIMPAC as a vehicle to assert its military dominance and strategic interests in the Asia-Pacific region. Through large-scale naval maneuvers and joint exercises, the U.S. Navy demonstrates its formidable military capabilities, sending a clear message of power projection to potential rivals and allies alike.
This imperialist platform also includes the experimental Trident Warrior exercises, where new war technologies are tested, including weapons that are being used in the genocide in Gaza. Weapons systems, such as the Iron Dome, Palletized Load Systems and Medium-Range Intercept Capability (MRIC) weapons systems created by Raytheon are tested by the Army and Marines in Hawaiʻi and Guåhan (also known as Guam), during RIMPAC and other exercises. MRIC fires the Raytheon “SkyHunter” SAM, the American name for the Israeli “Tamir Iron Dome” missile used by Israel in Gaza.
These war exercises serve as a tool for consolidating the U.S.-led military alliances and partnerships in the region, further entrenching American hegemony. RIMPAC strengthens the network of military alliances that underpin U.S. strategic objectives in the Asia-Pacific. In addition to its role in advancing American imperialism, RIMPAC also facilitates the interests of other imperialist powers, including Israel, Japan, and Australia. These nations leverage the exercise to assert their own strategic agendas and expand their influence in the region.
Israel, a key participant in the exercise, uses this opportunity to showcase its military prowess and strengthen its ties with other imperialist powers. By participating in RIMPAC, Thailand aligns itself with the Zionist regime, thereby endorsing its policies of occupation and apartheid against the Palestinian people. By welcoming Israel as a participant in the exercise, RIMPAC provides legitimacy to the Israeli military and its actions, effectively normalizing its genocide, occupation, apartheid, against the Palestinian people. RIMPAC serves as a platform for Israel to showcase its military capabilities and strengthen its ties with other nations, including those with imperialist agendas. By participating in joint naval exercises and maneuvers, Israel enhances its strategic partnerships and bolsters its position as a regional military power, further entrenching its occupation of Palestinian territories.
RIMPAC’s inclusion of Israel is an act of complicity and support for Zionism. By allowing Israel to participate in a multinational military exercise, RIMPAC effectively endorses Israel’s ongoing genocide of Palestinians, illegal occupation of Palestine, military aggression, and blockade of Gaza. This complicity reinforces the impunity with which Israel operates and undermines efforts to hold it accountable for its actions. By participating in RIMPAC, nations endorse and support Israel’s Zionist agenda, contributing to the perpetuation of injustice and oppression in Palestine and beyond.
During RIMPAC, Thailand, Israel, the United States, and other nations will gather to share war tactics and participate in war “games.” Not only will Thailand be learning from tactics used by Israel against Palestinians, Thailand will also be arming Israel with new tactics to be implemented in the ongoing genocide. While Thailand has taken a small step in the right direction by demanding an immediate ceasefire in Gaza, a ceasefire alone is not enough. The violence upon Palestinians did not start after October 7 2023, but dates back to the British conquest of Jerusalem in 1917, which laid the foundations for the modern Zionist settler state. True liberation necessitates boycotts, divestments, and sanctions towards Israel, including withdrawing from RIMPAC.
RIMPAC also perpetuates the colonial exploitation of Hawaiʻi. By conducting military exercises in waters that are vital to the livelihoods and cultures of Kanaka Maoli, the Native Hawaiians, RIMPAC impedes on the sovereignty of Hawaiʻi. In conducting large-scale military maneuvers in these waters and lands without the consent of the Kanaka Maoli, RIMPAC not only desecrates ʻāina (ʻŌlelo Hawaiʻi for “that which feeds”) but also furthers the ongoing illegal U.S. occupation of Hawaiʻi. With over 25,000 military personnel expected to participate in RIMPAC, an increase in sexual violence and human trafficking follows, particularly for Kanaka Maoli women and girls.
The underwater noise from the naval sonar, sonic booms and torpedoes severely kill, injure, and disturb marine mammals. Under its five-year plan for training and testing, the U.S. Navy is permitted to harm marine mammals nearly 9.6 million times while conducting high-intensity sonar exercises and underwater detonations. The District of Hawaiʻi court found that the National Marine Fisheries Service – the agency charged with protecting marine mammals – violated multiple requirements of the Marine Mammal Protection Act and the Endangered Species Act when agreeing to the Navy’s plan.
RIMPAC facilitates the strengthening of military alliances and partnerships among participating nations, many of which are key U.S. allies. Through joint exercises and interoperability training, RIMPAC fosters closer military cooperation and coordination, thereby enhancing the effectiveness of U.S.-led alliances such as the Indo-Pacific Command (INDOPACOM). By solidifying these alliances, the United States bolsters its strategic influence and reinforces its role as a dominant security guarantor in the region. RIMPAC allows the United States to send strategic signals to regional actors, signaling its commitment to upholding a rules-based international order and defending its interests in the Asia-Pacific. Through its participation in RIMPAC, the United States underscores its role as a supposed “security provider” and “stabilizing force” in the region, while simultaneously warning potential adversaries against challenging its hegemonic position.
The Asia-Pacific region is home to vital sea lanes and maritime resources, making control over these waters crucial for economic and strategic interests. The occupation of Hawai’i must be considered in the context of the U.S. foreign policy strategy to “Pivot to Asia”. RIMPAC has become part of Pacific Pathways. First created by General Vincent K. Brooks in 2014, Pacific Pathways is a program run by United States Army Pacific (USARPAC) and operationally led by I Corps with the goal of expanding the U.S. military presence Pacific region and reducing the costs of doing so by linking multiple military exercises together through the creation of a “Pathway”. This is a continuation of the “Pacific Pivot” of the early 2010s, initiated under US President Obama and Secretary of State Clinton, which shifted more U.S. military capacity toward the region, further cementing U.S. military hegemony over the lands and waters of Oceania. RIMPAC enables the United States to assert control over key maritime routes and establish dominance in critical areas, thereby securing its access to resources, facilitating trade, and exerting influence over regional affairs.
The narrative of national security and wartime necessity are used to naturalize U.S. presence and possession in Asia and the Pacific Islands. In “Transpacific Entanglements”, Yên Lê Espiritu, Lisa Lowe, and Lisa Yoneyama identify how the “discourse of the United States as liberator of Asia is employed in turn to explain the necessary expansion of militarism in the Philippines, Guam, Hawaiʻi, Okinawa, Korea, and Vietnam and to justify the current wars in Iraq, Afghanistan, Syria, and elsewhere”. During the 1960s and 1970s, the U.S. military was bombing Hawaiian land as “practice” to kill people in Vietnam, Lao (known more commonly by the colonial name Laos), and Cambodia. In Lao alone, the U.S. dropped over two million tons of cluster bombs, which continue to devastate the native communities and environments. Agent Orange was also developed at the University of Hawai’i and tested on Hawaiian lands before being mobilized in war in Southeast Asia. The bombing of Hawaiian land and the use of Hawai’i as a testing grounds for imperialist U.S. wars continues to this day. As our oppressions are inextricably linked, so is our liberation.
All people of conscience have the duty to organize against RIMPAC. Let us join hands with our comrades across the globe in solidarity against imperialism, colonialism, and oppression in all its forms.
How can you get involved in organizing against RIMPAC?
You can join the Cancel RIMPAC Campaign by filling out this form, and by following the International Women’s Alliance (IMA), BAYAN USA, and Resist US-Led War on their respective social media accounts for campaign updates. You can also sign the Thai for Palestine and SeriiPalestine’s petition for Thailand to withdraw from RIMPAC.
by DinDeng | Jan 29, 2024 | Articles บทความ, English, ทฤษฎี Theory
ภาษาไทย
Kafka, Mass Politics & Chang Wattana
Institutions such as courts, constitutions, laws and democracy have replaced the divine rule of gods and kings. The belief in the rule of law is found across the political spectrum, in both the democratic and dictatorship side. So much so, that concepts like Democracy, when absent of mass politics, have become an ethereal, almost divine belief. This past year, we saw millions of people take part in the ritual of voting. While once they went to the temple to ask for favour, now they go to the ballot box, praying to the gods or asking the politicians for help. Democracy, however, is of course not divine, it is a system built on human-made institutions of courts, laws and procedures– rules, powered by bureaucracy. Bureaucracy has been described as the highest power of the atheist, one which bloats and stagnates human potential, the insidiousness of this divine atheism was diagnosed around the time of its inception by the writer Franz Kafka in the early 20th century. His diagnosis applied today in Thailand, shows the prescience of his work, and the pitfalls of our faith in these institutions.
The Castle & The Trial
Franz Kafka’s, The Castle, tells the story of a land surveyor, visiting a rural town on a work assignment. The surveyor, the main character, is a committed bureaucrat, who struggles against the local bureaucracy to begin his work in earnest. Such is the fastidiousness of the surveyor, he insists on following the correct bureaucratic channels in order to carry out his labour. Throughout the story, it becomes increasingly clear that he is repeatedly running into a brick wall of bureaucratic incompetence, procedural stagnation and the bloat of paperwork, he is also increasingly alienated by the experience, becoming more and more frustrated, paranoid and lonely. In one scene, he witnesses a town bureaucrat taking documents out of the back of an office and burning them, still, he continues his pursuit in vain through the bureaucratic maze, determined to achieve permission to sell his labour without resolution.
In another Kafka story, The Trial, the main character is served a summons to court for an unnamed crime he is unaware he committed, the novel follows his struggles and encounters with the invisible Law and the untouchable Court. As he tries in vain to discover what crime he is accused of and how to appeal it he again hits the wall of bureaucratic institutions. Meanwhile, he struggles to continue to work his day job in a bank. During his interactions with the court, the bureaucrats he encounters are simultaneously all-powerful and incapacitated– hamstrung by the very system they are charged with overseeing, each bureaucrat is responsible for one string in the Gordian knot. Much like the monks of old, they serve the role of mediating our relationship with god or with the state. The layman can approach them, begging for aid, but the powers of these mediators are of course, limited.
At the end of The Trial, there is no trial, the finale sees the main character taken out back and executed, no reason is given as to why, akin to the scene in The Castle where the papers are burnt. Kafka died before he could complete The Castle, as such it is left for us to imagine the fate of the land surveyor.
In both books, the main character, despite being persecuted by these bureaucratic systems, upholds a belief in and respects them– the belief that these systems, while imperfect, ultimately serve a necessary purpose of governance.
These two books, The Castle and The Trial, aren’t really about bureaucracy, rather they’re about alienation and the futility of the individual in the face of these neo-divine human institutions. In the books, characters behave strangely, odd out-of-place scenes invade the storyline, these sub-plots are always connected to the bureaucratic institutions. We are strongly given the impression that either society is collapsing around the main character, or the main character himself is going insane. Either way, this was Kafka’s method of portraying the alienation, isolation, loneliness and insanity of living by these institutions.
Ever since we killed our gods, the individual has no choice but to put their faith in these human institutions. Today the same courts and laws are found in both democracy and dictatorship. Under dictatorship, we put our faith in the institutions of the nation to govern us, while under democracy we do the same, with the ritualistic act of casting a ballot once every few years.
Kafka, Marx and Mass Politics
While Kafka writes about bureaucracy, he recognises it as more of a symptom than a disease. Much like how lung infections cause coughing and coughing causes a sore throat. Our system of governance causes bureaucracy and bureaucracy causes alienation.
Of course, Marx wrote of alienation within the context of labour. At the time, workers on the assembly line would polish metal, or cut holes in wood, over and over again, the same action, as the products would move down the assembly line. The workers would never truly create something, rather they were individualised, separated from whatever it was they were producing. The worker wouldn’t design the item, select the price or sell it, and whatever profit from the item’s production would go to the factory owner. They were separated from whatever they created with their labour, they were “alienated from their labour”.
Meanwhile, Kafka, a socialist himself, indirectly used his novels to articulate a form of alienation from governing institutions. By reading Kafka, and drawing from our own lives, we can see how the citizen is individualised, separated from the state and the institutions that govern them. Today, we can see how the citizen has little recourse to change these institutions other than the narrow window of voting on a tiny pool of candidates within a parliamentary democracy.
Kafka’s writing was doubtless influenced by elements of Marxism, both of the main characters, from the aforementioned novels, are individuals crashing against the rocks of bureaucratic power, showing the futility of individualism in the face of large institutions. The socialist solution to this is, of course, mass movement politics. The large organising of individuals into a collective force to challenge the power of these existing institutions; be it the state, capitalism itself, or even just your local workplace. This does not mean symbolic protesting in the streets. It means building real power that can be wielded to genuinely counter those oppressive bureaucratic systems, to force them into subservience to the people. Mass movement co-dependent political organising, that takes place outside of the parliamentary system, provides the only real mechanism for citizens to challenge that parliamentary system and breach the walls of its bureaucratic castle.
This kind of organising is not necessarily exclusive to the leftwing, however, as a practice, it is the only means we have against the rapacious forces of both capital and the capitalist state. Increasingly, we, as the proletariat, are alienated from both our labour and our systems of governance. Anyone who has been to their local Department for Transport office (กรมการขนส่งทางบก) to make a driver’s licence will have touched the walls of the bureaucratic castle, the regulation and scrutiny of every sheet of paper handed over, and the secret document burning ceremony that must take place every night, all across the country, in every government department. Surely, nobody in any government department anywhere in the country, can think this is a good or efficient system, yet it pervades, riddled with corruption, we seemingly cannot fight the bloat.
The Castle – Chang Wattana
Kafka’s castle from The Castle, is itself not a castle. Rather is a large old building at the top of the hill which serves as a government center that administers the town below. The castle itself does not need to have real stone walls or armed guards. The walls are the bureaucratic procedures themselves, and the blind faith of the townspeople in following those procedures.
The modern Muang system pervades 21st-century Thailand. The bureaucratic imperial castle of Chang Wattana oversees its regional Muangs in the provinces. The gates to the palace of paperwork are guarded by disinterested receptionists sipping from their Amazon ice coffee cups. They form the same system that prevents farmers from owning their land and prevents the ascension of democratically elected governments. The secretaries themselves, like Kafka’s bureaucrats, hold no actual power, you can not get angry at them, just frustrated at the system that lurks behind them. Thailand is run by the same bureaucratic procedures as Kafka’s castle, the faith of the population in those procedures, however cynical they may be, is what allows them to bloat and pervade.
This is what we mean when we critique electoralism in the absence of mass politics. Time and time again, those demanding change are fooled by the promise of voting as a means of change without the necessary addition of a mass movement. Voting is just another castle procedure, it may superficially change the facade of the walls, but it can not bring them down, any belief otherwise further cements their stones.
The Old Gods
Towards the end of Kafka’s life, he became increasingly interested in rural Jewish folklore and mysticism. As an educated city dweller, he envied the spiritual life of rural folk. The richness of their beliefs and customs provided some kind of flavour and purpose that was absent from the bland neo-atheistic day-to-day life of the urban bureaucrats. Of course, he couldn’t bring himself to believe in what he considered ancient superstition, however, the fundamental parallels between these systems, religion and bureaucracy, these systems of divination and manifestation were clear to see.
Today, if monks have been replaced by bureaucrats as our mediators, politicians have filled the absent space of old gods. Instead of going to the temple to ask their favour, we go to the ballot box every few years and cheer them on Twitter. Regardless, we lack a kind of agency that we can hold ourselves. When we outsource our problems to the gods or the politicians, we give ourselves up to individuality, relinquishing any hope of collective action, I did my bit by voting and tweeting, or by making merit and praying– whatever’s next is in the hands of the almighty gods of bureaucracy.
by DinDeng | Jan 14, 2024 | Articles บทความ, ความคิดเห็น Opinion, ทฤษฎี Theory, ไทย
ในวันนี้ สถาบันต่างๆ เช่น ศาล รัฐธรรมนูญ กฎหมาย และประชาธิปไตยได้สวมรอยแทนที่ระบอบกฎศักดิ์สิทธิ์ว่าด้วยพระเจ้าและกษัตริย์เสียแล้ว ความเชื่อในหลักนิติธรรม (rule of law) พบได้ในทุกแง่มุมทางการเมืองทั้งในฟากฝั่งประชาธิปไตยและเผด็จการ ความเชื่อนี้มีอยู่อย่างดาษดื่นเสียจนหลักการอย่าง “ประชาธิปไตย” (เมื่อไม่มีคำว่ามวลชน) ก็กลายเป็นความเชื่อที่ศักดิ์และสิทธิ์จนไร้มลทินมัวหมองพ้นไปจากโลกที่เราอยู่
ปีนี้เราได้เห็นประชาชนหลายล้านชีวิตเข้าร่วมพิธีลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จากที่เราเคยเข้าวัดกราบไหว้ให้พระเมตตา กลายเป็นผู้คนวันนี้ตบเท้าเข้าคูหาภาวนาต่อฟ้าดินและวอนขอความช่วยเหลือจากนักการเมืองแทน อย่างไรก็ตามประชาธิปไตยไม่เคยแม้แต่จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นระบอบที่ประกอบสร้างจากสถาบันศาล กฎหมาย และกระบวนการต่างๆ ที่มนุษย์เราปั้นแต่งขึ้น กล่าวได้ว่าประชาธิปไตยเป็นกฎเกณฑ์ที่ขับเคลื่อนโดยระบบราชการ (bureaucracy) นั่นเอง
ในวันวานผู้ไร้ศรัทธาในพระเป็นเจ้าอ้างว่าระบบราชการถือเป็นอำนาจสูงสุด คนพวกนี้เองลำพอง ทั้งยังดูแคลนศักยภาพมนุษย์ เมื่อครั้งผู้ไร้ศรัทธาเริ่มประดิษฐ์มีดโกนอาบน้ำผึ้งนี้ขึ้น “คาฟคา” นักเขียนชาวยิวก็จับไต๋ของพวกเขาได้ตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และจนถึงวันนี้สิ่งที่คาฟคาวิเคราะห์ไว้ก็ยังไม่ล้าสมัย แถมยังใช้อ่านการเมืองไทยในปัจจุบันได้อย่างไร้รอยต่อ ราวกับเป็นโหรราชสำนักเจ้าของคำนายแห่งกับดักศรัทธาในสถาบันเหล่านี้
ปราสาท และ คดีความ (The Castle & The Trial)
“ปราสาท” โดย คาฟคา เล่าเรื่องของช่างรังวัดดินที่ต้องเดินทางเยือนเมืองชนบทเพื่อทำงานซึ่งได้รับมอบหมายมา เขาเป็นตัวละครหลักของเรื่องและเป็นข้าราชการที่ให้ใจเต็ม 100% กับงาน แต่จะเริ่มงานนี้ได้ตัวเอกก็ต้องกัดฟันสู้กับระบบราชการในท้องถิ่น
เนื่องจากเป็นคนเป๊ะทุกกระเบียด เขายืนกรานที่จะปฏิบัติตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย ผู้อ่านจะรู้แจ้งว่าตัวเอกได้วิ่งชนกับกำแพงที่เรียกว่า “ความไร้สมรรถภาพ” ของระบบราชการซ้ำแล้วซ้ำเล่า กำแพงดังกล่าวยังรวมไปถึงกระบวนการที่ยืดย้วยและงานเอกสารกองโต นอกจากจะเป็น “คนนอก” แล้ว เขายิ่งรู้สึกแปลกแยก ซ้ำยังต้องหัวเสีย หวาดระแวง และโดดเดี่ยวจากประสบการณ์ทำงานกับระบบนี้
ในฉากหนึ่ง ตัวเอกเห็นข้าราชการในเมืองขนเอกสารออกมาจากด้านหลังสำนักงานเพื่อไปเผาทิ้ง แต่กระนั้นเขายังคงวิ่งวนในเขาวงกตของระบบราชการอย่างเปล่าประโยชน์ด้วยจิตใจมุ่งมั่นจะขอ (อนุญาต) ทำงานแลกเงินแม้ดูจะไร้ซึ่งหนทาง
และในนวนิยายอีกเล่มหนึ่งของคาฟคาเรื่อง “คดีความ” ตัวละครหลักถูกเรียกตัวไปขึ้นศาลในข้อหาก่ออาชญากรรมนิรนามที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองก่อขึ้น นวนิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องการดิ้นรนของตัวเอกและการเผชิญหน้ากับกฎที่มองไม่เห็น รวมถึงศาลที่ไม่สามารถแตะต้องได้
ในขณะที่เขากระเสือกกระสนเพื่อจะพยายามหาว่าตนถูกกล่าวหาว่าเป็นอาชญากรข้อหาอะไร และจะอุทธรณ์ได้อย่างไร ตัวเอกก็ได้ชนเข้ากับกำแพงระบบราชการอีกครั้ง ในขณะสู้คดีเขาก็ต้องดิ้นรนเพื่อทำงานประจำในธนาคารต่อไปอีก ระหว่างที่ตัวเอกพยายามรับมือกับศาล ข้าราชการที่เขาพบนั้นมีอำนาจแต่กลับไร้ความสามารถ ข้าราชการเหล่านี้ถูกตรึงจากระบบที่ตนต้องดูแล แต่ละคนต่างมีหน้าที่รับผิดชอบสางปมปัญหาที่ไร้ทางแก้ ข้าราชการจึงไม่ต่างนักบวชในสมัยโบราณผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างประชาชนกับพระเจ้า หรือในบริบทนี้เป็นคนกลางระหว่างประชาชนกับรัฐ ปุถุชนเข้าไปหาคนกลางเพื่อขอความช่วยเหลือได้ แต่แน่นอนว่าอำนาจของคนกลางนั้นแสนจำกัด
ในตอนท้ายของเรื่อง “คดีความ” ไม่มีแม้แต่การพิจารณาคดีความเกิดขึ้น ตอนจบผู้อ่านเพียงรู้ว่าตัวละครหลักถูกนำตัวไปประหารชีวิตโดยไม่มีเหตุผลระบุว่าทำไม ฉากจบนี้คล้ายกับฉากในเรื่อง “ปราสาท” ที่ตัวเอกเห็นเอกสารราชการถูกเผาทิ้ง คาฟคาเสียชีวิตก่อนที่จะเขียนเรื่อง “ปราสาท” จบ ผู้อ่านไม่มีทางเลือกอื่นแต่ต้องจินตนาการถึงชะตากรรมของช่างรังวัดที่ดินเอง
ในหนังสือทั้งสองเรื่อง แม้ตัวละครหลักจะถูกข่มเหงโดยระบบราชการ แต่ก็ทั้งคู่ยังยึดถือและเคารพต่อระบบดังกล่าว ตัวเอกล้วนเชื่อว่าระบบเหล่านี้แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับตอบสนองวัตถุประสงค์ที่จำเป็นของการปกครองบ้านเมืองได้
สองเรื่องนี้ไม่ใช่ตำราว่าด้วยระบบราชการ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความแปลกแยกและความเปล่าประโยชน์ของบุคคลระดับปัจเจกเมื่อต้องเผชิญกับสถาบันศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ยุคใหม่ ผู้อ่านจะพบเจอกับตัวละครที่มีพฤติกรรมประหลาด ฉากนอกสถานแสนพิษดารที่แทรกเข้ามากลางเรื่อง โครงเรื่องรองที่ลักลั่นเหล่านี้เชื่อมโยงกับระบบราชการอยู่เสมอ เราเห็นได้ชัดเจนว่าตอนจบของเรื่องมีเพียงสองทางคือให้สังคมจะล่มสลายเมื่อมีตัวละครหลัก หรือไม่ก็ต้องเป็นตัวละครหลักที่ต้องพังทลายและเสียสติไปเอง ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อยนี่เป็นวิธีเขียนของคาฟคาในการพรรณนาถึงความแปลกแยก ความโดดเดี่ยว ความเหงา และความลักลั่นที่เราต้องใช้ชีวิตร่วมกับสถาบันเหล่านี้
นับตั้งแต่เราสังหารเทพเจ้าอันสูงส่งไป ปัจเจกบุคคลนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องศรัทธาในสถาบันเหล่านี้แทน ในปัจจุบันศาลและกฎหมายแบบเดียวกันนี้พบได้ทั้งในระบอบประชาธิปไตยและเผด็จการ ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการ ประชาชนเชื่อมั่นในสถาบันของชาติที่ปกครองผู้คน ไม่แตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยที่เราเองก็เชื่อมั่นในพิธีกรรมการเลือกตั้งทุกๆ สามสี่ปี
คาฟคา มาร์กซ์ และการเมืองมวลชน
แม้ว่าคาฟคาจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับระบบราชการ แต่เขาตระหนักดีว่าสิ่งที่บรรยายเป็นอาการของโรคมากกว่าเป็นโรคเสียเอง เช่นเดียวกับการติดเชื้อในปอดที่ก่อให้เกิดอาการไอ และการไอก่อให้เกิดอาการเจ็บคอ ในทำนองเดียวกันระบบการปกครองของเราได้ก่อให้เกิดระบบราชการ และระบบราชการก่อให้เกิดความแปลกแยกของปัจเจกในที่สุด
แน่นอนว่า มาร์กซ์เขียนเรื่องความแปลกแยกในบริบทของแรงงาน ยุคนั้นคนงานในโรงงานประกอบส่วนต้องขัดโลหะหรือเจาะรูไม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในขณะที่ผลิตภัณฑ์เคลื่อนตัวไปตามสายพาน คนงานเหล่านี้ไม่เคยสร้างหรือประดิษฐ์บางสิ่งบางอย่างออกมาอย่างแท้จริง พวกเขาถูกแยกให้เป็นหน่วยปัจเจกเล็กๆ และถูกกันออกจากสิ่งที่ตนได้ลงแรงทำไป พวกเขาจะไม่ได้ออกแบบสินค้า กำหนดราคา หรือเป็นผู้ขาย ดังนั้นกำไรใดๆ จากการผลิตจะตกเป็นของเจ้าของโรงงาน สุดท้ายแล้วคนงานถูกกันออกจากสิ่งที่ตนสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง นั่นหมายความว่าคนงานเหล่านี้ “ถูกทำให้แปลกแยกจากแรงงานของตนเอง”
ในขณะเดียวกัน คาฟคา ซึ่งเป็นนักสังคมนิยมเองได้ใช้นวนิยายเล่าเรื่องความแปลกแยก ของปัจเจกจากสถาบันการปกครองอย่างอ้อมๆ หากอ่านคาฟคาและประกอบกับบริบทชีวิตผู้คนในปัจจุบัน ผู้อ่านจะเห็นว่าประชาชนถูกแบ่งให้เป็นปัจเจกหน่วยเล็กๆ และแยกออกจากรัฐและสถาบันที่ปกครองตนเองอย่างไรบ้าง ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าประชาชนแทบไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนแปลงสถาบันเหล่านี้เลย แม้แต่ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เราทำได้เพียงลงคะแนนเสียงของตนเองในกล่องคะแนนเล็กจิ๋วให้กลุ่มผู้สมัครจำนวนหยิบมือเท่านั้น
งานเขียนของคาฟคาได้รับอิทธิพลจากลัทธิมาร์กซิสม์อย่างชัดเจน ตัวละครหลักทั้งสองเป็นบุคคลที่ต่อพุ่งชนกำแพงปราสาทของอำนาจระบบราชการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไร้ประโยชน์ของลัทธิปัจเจกชนเมื่อต้องเผชิญกับสถาบันขนาดใหญ่ แน่นอนว่าทางออกฉบับสังคมนิยมคือการเมืองแบบขบวนการมวลชน การรวมตัวกันของประชาชนจำนวนมากจะเป็นพลังท้าทายอำนาจของสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐ ระบบทุนนิยม หรือแม้แต่สถานที่ทำงานในท้องถิ่นของตน
แต่นั่นไม่ได้รวมถึงการประท้วงเชิงสัญลักษณ์บนท้องถนน ทางออกคือการสร้างอำนาจที่แท้จริงให้ประชาชน ต้องเป็นอำนาจที่จะตอบโต้ระบบราชการจอมกดขี่ และต้องเป็นอำนาจที่สามารถบังคับให้สถาบันยอมจำนนต่อประชาชน ขบวนการทางการเมืองของมวลชนซึ่งพึ่งพิงการรวมตัวจัดตั้งบนท้องถนน (นอกรัฐสภา) ถือเป็นกลไกแท้จริงเพียงหนทางเดียวสำหรับประชาชนในการท้าทายระบบรัฐสภา และเป็นกลไกเดียวที่จะทำลายกำแพง “ปราสาท” ของระบบราชการได้
การจัดกระบวนการรูปแบบนี้ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เฉพาะฝ่ายซ้ายเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้วถือเป็นหนทางเดียวที่ประชาชนมีเพื่อต่อต้านกองกำลังแสนโลภของทั้งทุนและรัฐทุนนิยม เราในฐานะชนชั้นกรรมาชีพเริ่มแปลกแยกจากทั้งแรงงานและระบบการปกครองของเรามากขึ้นเรื่อยๆ ใครก็ตามที่เคยไปจุดบริการกรมการขนส่งทางบกเพื่อทำใบขับขี่จะได้รู้ซึ้งถึงกำแพงปราสาทของราชการ กฎระเบียบ การตรวจสอบกระดาษทุกแผ่นที่เรายื่น และพิธีเผาเอกสารลับที่ต้องเกิดขึ้นทุกคืนทั่วประเทศในทุกหน่วยงานของรัฐ
แน่นอนว่าไม่มีใครในหน่วยงานภาครัฐในประเทศใดจะมองว่านี่เป็นระบบที่ดีหรือมีประสิทธิภาพ แต่ระบบนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วแถมยังพ่วงแถมมากับคอรัปชั่นทุกหนแห่ง สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าประชาชนแบบเราไม่สามารถต่อกรกับลุกลามของระบบนี้ได้เลย
ปราสาท นามว่า ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
ปราสาทของคาฟคาไม่ใช่ปราสาท แต่เป็นอาคารเก่าแก่ขนาดใหญ่บนยอดเขาซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์ราชการบริหารเมืองเบื้องล่าง ตัวปราสาทไม่จำเป็นต้องมีกำแพงหินจริงๆ หรือกองกำลังติดอาวุธ กำแพงนั้นเป็นกระบวนการของระบบราชการที่ยืนหยัดแข็งแรงด้วยความศรัทธาชาวเมืองมืดบอดที่ปฏิบัติตามกฎของปราสาท
ในศตวรรษที่ 21 ระบบเมืองสมัยใหม่ลุกลามไปทั่วประเทศไทย ปราสาทแห่งจักรวรรดิ์ของศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะทำหน้าที่ปกครองเมืองส่วนภูมิภาคในจังหวัดต่างๆ ประตูสู่ราชวังแห่งเอกสารได้รับการคุ้มกันโดยพนักงานต้อนรับที่ไม่สนใจจะบริการ ทั้งมัวจิบกาแฟเย็นของอเมซอนในทุกเช้า ข้าราชการได้สร้างระบบเดียวกันซึ่งขวางกั้นไม่ให้เกษตรกรเป็นเจ้าของที่ดินของตน ทั้งยังกีดกันเกษตรกรจากการขึ้นสู่ตำแหน่งในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็เหมือนกับข้าราชการในนิยายคาฟคา คนพวกนี้ไม่มีอำนาจที่แท้จริง คุณจะโกรธพวกเขาก็ไม่ได้ คุณทำได้แค่หงุดหงิดกับระบบที่แฝงตัวอยู่เบื้องหลังพวกเขาเท่านั้น ว่าง่ายๆ คือประเทศไทยดำเนินการตามกระบวนการราชการแบบเดียวกับปราสาทของคาฟคา ด้วยศรัทธาของผู้คนในกระบวนการราชการแล้ว ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะดูถูกเหยียดหยามระบบอย่างไร พวกเขาเองก็เป็นส่วนที่ทำให้ระบบราชการเติบโตและลุกลาม
นี่คือสิ่งที่เราหมายถึงเมื่อเราวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งที่ไม่มีการเมืองมวลชนในสมการ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ประชาชนผู้เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงถูกลวงด้วยคำมั่นสัญญา เราถูกหลอกว่าการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นวิธีการเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องอาศัยขบวนการมวลชน แท้จริงแล้วการลงคะแนนเสียงในคูหาเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของปราสาทเท่านั้น คะแนนเสียงของเราอาจจะเปลี่ยนฉากหน้าของผิวกำแพงปราสาท แต่ก็ไม่สามารถทลายกำแพงลงมาได้ ความเชื่ออื่นใดมีแต่จะทำให้หินของกำแพงของปราสาทแข็งแกร่งขึ้น
พระเจ้าในวันวาน
ในช่วงบั้นปลายชีวิตของคาฟคา เขาเริ่มสนใจนิทานพื้นบ้านและลัทธิไสยศาสตร์ของชาวยิวในชนบทมากขึ้น ในฐานะคนเมืองการศึกษาสูง คาฟคาอิจฉาวิถีชีวิตที่มีจิตวิญญาณนำพาของชาวบ้าน คนเหล่านี้รวยไม่ใช่ทางสินทรัพย์ แต่รวยในความเชื่อและขนบซึ่งแต่งแต้มให้ชีวิตชาวบ้านมีสีสันและเป้าหมายในแบบที่ชีวิตแสนจืดชืดของคาฟคาและข้าราชการเมืองผู้ไร้ศร้ทธาในพระเจ้าไม่มี แน่นอนว่าคาฟคาทำใจเชื่อในสิ่งที่เขาถือว่าเป็นไสยล้าสมัยไม่ได้ อย่างไรก็ตามคาฟคาปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบเหล่านี้ กล่าวคือ ศาสนาและระบบราชการ หรือผลจากการทำนายและผลจากการแสดงเจตจำนงค์นั้นเหมือนกันราวกับแฝดคนละฝา
เมื่อเราฝากฝังปัญหาของเราให้กับพระเจ้าหรือนักการเมือง หมายความว่าเราเองยอมให้ตัวเองถูกแปลกแยกจนกลายเป็นปัจเจกหน่วยเล็กๆ และพร้อมละทิ้งความหวังในการเคลื่อนไหวมวลชนร่วมกันไปด้วย
ในฐานะประชาชนที่ปฏิบัตตามหน้าที่ตนเอง วันนี้ปลายนิ้วที่พิมพ์บนโทรศัพท์ว่า “วันนี้ไปเลือกตั้งมาแหละ” และกดทวีต ก็ไม่ต่างจากมือไม้ที่ไหว้อ้อนวอนต่อพระเจ้าในวันวานเท่าไรนัก เพราะสุดท้ายอำนาจสู่ “กลิ่นความเจริญ” หรือจะเป็น “กลิ่นของหายนะ” ไม่ได้อยู่ในมือประชาชนแต่อยู่ในมือของพระเป็นเจ้าในระบบราชการต่างหาก
by DinDeng | Jan 14, 2024 | Articles บทความ, ความคิดเห็น Opinion, ทฤษฎี Theory, ประวัติศาสตร์ History, ไทย
แปลจากต้นฉบับภาษาจีน
สิ่งที่เรียกกันว่า “ประวัติศาสตร์โลก” นั้นก็คือการสรุปเอาความรู้กลุ่มหนึ่งมาจัดระบบรวมเข้าเป็นพื้นที่ ก่อรูปเป็นระบบความรู้ที่เชื่อมต่อกัน พูดแบบนักประวัติศาสตร์แล้ว พวกเราล้วนรู้ดีว่าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติดำเนินมายาวนานหาจุดต้นไม่พบจุดปลายไม่เจอ หากนำเอาทุกเรื่องเขียนลงไปย่อมมิอาจทำได้ เท่ากับว่า เขียนส่วนหนึ่ง ย่อมทิ้งส่วนอื่น กอปรรวมกันเป็นระบบที่ยอมรับ จึงเรียกได้ว่าเป็นการเขียน “ประวัติศาสตร์” ผมเคยเขียนบทความหนึ่ง ชื่อว่า《เรื่องราวที่ “เกิดขึ้นแล้ว” เขียนลงไปจึงจะถือเป็น “ประวัติศาสตร์”——ว่าด้วยความหมายของประวัติศาสตร์》การนำเอา “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว” กับ “ประวัติศาสตร์” มาเทียบกันให้เห็น เป็นสิ่งที่หลายคนไม่เคยได้ทำความเข้าใจอย่างจริงจัง “สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว” คือเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้น ส่วน “ประวัติศาสตร์” คือสิ่งที่เขียนขึ้นมา คือกระบวนการที่นักประวัติศาสตร์ลงมือเขียนขึ้นมาเพื่อให้คนได้อ่าน เมื่อทำความเข้าใจตรงจุดนี้ ก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมคนจึงคุ้นเคยกับ “ประวัติศาสตร์โลก” ว่ามีแต่ประเทศตะวันตกไม่กี่ประเทศ และโลกส่วนอื่นๆ เหมือนไม่ได้ดำรงอยู่ หรือไม่ก็ไม่สำคัญ พูดอย่างง่าย ระบบความรู้ประวัติศาสตร์โลกคือสิ่งสร้างของชาวตะวันตก ชาวตะวันตกตัดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วที่สำคัญกับพวกเขาขึ้นมา แล้วก่อรูปเป็น “ประวัติศาสตร์โลก” ระบบความรู้แบบตะวันตกนี้ได้ดำรงอยู่มาร่วมสองสามร้อยปีแล้ว อีกทั้งในช่วงไม่กี่ร้อยปีมานี้กระแสความเข้มแข็งของตะวันตกก็แผ่ซ่านไปทั่วโลก ทำให้ประวัติศาสตร์โลก “ถูกต้องชอบธรรม”(正统)
ลักษณะสำคัญของระบบตะวันตกก็คือ “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง”(西方中心论) แสดงออกมาในเนื้อหาที่จัดวางให้ประวัติศาสตร์ตะวันตกเป็นเส้นเรื่องหลัก แล้วเอาประวัติศาสตร์โลกแปะเข้าไปในการดำเนินเรื่องฝั่งตะวันตก ในฐานะที่ตะวันตกเป็นตัวแทนของโลกทั้งใบ จากจุดนี้ยิ่งทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่า ทำไมเมื่อพูดถึง “ประวัติศาสตร์โลก” แล้ว สิ่งที่เรานึกขึ้นได้ก็จะเป็นมหาอำนาจตะวันตกไม่กี่ประเทศ สิ่งที่ควรเน้นย้ำคือ เราได้วิพากษ์ “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง” มายาวนานแล้ว ไม่ใช่แค่หลังจากการสถาปนาจีนใหม่เท่านั้น ก่อนหน้าก็มีหลายคนวิพากษ์มันมาก่อน ทว่า การวิพากษ์ก็หยุดอยู่แค่ขั้นของความคิดเห็น น้อยคนนักที่จะนำเอาข้อเท็จจริง มาพัฒนาประวัติศาสตร์โลกจริงๆ ขึ้นมา ยิ่งมีน้อยคนนักที่จะพยายามเอาระบบอื่นเข้ามาแทนที่ระบบความรู้แบบตะวันตก กระนั้น การศึกษาประวัติศาสตร์คือศาสตร์ที่ตั้งอยู่บนการพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง หากไม่ได้นำเอาข้อเท็จจริงมาพูดแล้ว ก็คงไม่อาจวิพากษ์ “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง” ได้แน่
อะไรคือ “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง”? ลักษณะพิเศษของมันคือการเอาอารยธรรมตะวันตกมาพูดให้เป็นอารยธรรมที่ถูกต้องเหมาะสม(正确)เพียงหนึ่งเดียว อารยธรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะผ่านไปแล้ว หรือกำลังเริ่มต้นก็ล้วนไม่ถูกต้องเหมาะสม ดังนั้น จึงมักถูกทำให้ล่มสลาย ว่าตาม Hegel แล้ว อรุณแรกแห่งอารยธรรมเรืองรุ่งขึ้นมาจากฝั่งตะวันออก หลังจากนั้นจึงเคลื่อนตัวไปตะวันตก ถึงยุโรปตะวันตกก็แผ่ซ่านเปล่งประกาย เฉิดฉายไปทั่วพิภพ ณ ที่แห่งอื่นบนโลกใบนี้ หากไม่หยุดนิ่งชงักงัน ก็ล่มสลายดิ่งสู่ความดำมืด ส่วนยุโรปนั้นจะก้าวไปไม่หยุดยั้ง นำพาอนาคตมาสู่มนุษยชาติ นี่ก็คือแก่นและแหล่งที่มาของ “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง” ตั้งแต่นั้นมา รากฐานทฤษฎีประวัติศาสตร์ตะวันตก ก็อนุมานเอาจากแนวคิดนี้ ทั้งยังแผ่ไปทั่วโลก ตามความแข็งแกร่งของตะวันตกทั่วผืนแผ่นดิน
ฉากหลังการปรากฏตัวขึ้นของ “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง” ก็คือการพุ่งทะยานของตะวันตก ตั้งแต่ยุคสมัยล่องเรือในมหาสมุทรแห่งศตวรรษที่ 15,16 เริ่มต้นขึ้น ตะวันตกก็พึ่งพาการบังคับเปิดปากอ่าวให้กับระบบการค้าขายข้ามมหาสมุทรและการพัฒนาผ่านการแผ่ขยายอาณานิคม พาตัวเองให้ออกจากภาวะความล้าหลังในยุคกลาง เชิดหน้าชูตาขึ้นมา อีกทั้งยังพึ่งพาการปฏิวัติอุตสาหกรรมและพลังอำนาจจากการแข่งขันรอบโลกภายใต้โลกาภิวัตน์เมื่อศตวรรษที่ 18,19 แผ่ขยายอำนาจตะวันตกไปทั่วโลก จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 จรดต้นศตวรรษที่ 20 ก็อาจกล่าวได้ว่า ทั่วโลกตกอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว ณ ฉากหลังเช่นนี้ ชาวตะวันตกก็เริ่มเชื่อว่าอารยธรรมตะวันตกคือสิ่งถูกต้องเหมาะสมเพียงหนึ่งเดียว ตะวันตกจะนำทางมนุษยชาติไปตลอดกาล เพื่อการพิสูจน์ทฤษฎีนี้ ตะวันตกจึงเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาให้ตะวันตกเป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ ตะวันตกจึงสร้างระบบความรู้ประวัติศาสตร์ขึ้นมา โชคร้ายก็คือ ไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมา ตำแหน่งแห่งที่ของตะวันตกเข้มแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ระบบความรู้ที่ว่านี้จึงถูกทำให้เป็น “ประวัติศาสตร์ทางการ”(正史) ภายหลังจากสงครามฝิ่น เนื่องจากความล้าหลังและความไม่เข้าใจโลกของจีน จึงทำให้ระบบความรู้เหล่านี้กลายมาเป็น “ประวัติศาสตร์โลก” ที่อยู่ในหัวของชาวจีน
ว่าตามระบบนี้แล้ว อารยธรรมตะวันตกทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ ล้วนอยู่กลางเวทีแสดง ส่องแสงฉาดฉายทั้งสิ้น เป็นต้นว่า เมื่อคราวอารยธรรมเกิดขึ้น ยุโรปได้รับการพูดถึงว่าเป็นแหล่งกำเนิดตัวละครเอกมากมาย หนุ่มสวยสาวหล่อก่อสร้างอารยธรรมยุโรปขึ้น โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ว่า:อารยธรรมยุโรปเกิดขึ้นมาจากฝากชายฝั่งตะวันออก(ที่คนยุโรปเรียกว่า”ตะวันออก”) ดังนั้นอารยธรรมยุโรปก็เป็นเพียงแค่อารยธรรมหนึ่งเท่านั้น ว่าด้วยประวัติศาสตร์ยุคโบราณ รัฐโรมันถูกวาดภาพให้เป็นอารยธรรมที่รุ่งเรืองที่สุดในโลกยุคคลาสสิก ระบบและวัฒนธรรมการปกครองการทหาร นำทางโลกไปสู่อนาคต โดยไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ว่า:ณ พื้นที่แห่งอื่น ราชวงศ์ฮั่นอันยิ่งใหญ่ได้สร้างอารยธรรมที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง[1] เฉิดฉายเคียงคู่ไปกับโรมัน ณ ช่วงเวลาที่เรียกกันว่า “ยุคกลาง” หรือที่พวกเราเรียกกันว่าช่วงกลางของยุคโบราณ(中古时期) ความวุ่นวายในยุโรปถูกนำมาพูดกันว่านำไปสู่จุที่ระบบการแบ่งอำนาจระหว่างรัฐชาติ(国家)เหมือนดั่งปัจจุบันได้เกิดขึ้น และได้กลายเป็นรากฐานระบบการปกครองในปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งเช่นกันว่า:เนื่องด้วยการดำรงอยู่ยาวนานไม่จบสิ้นของระบบศักดินาที่กระจัดกระจายแตกแยกไม่เป็นระบบ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงราวๆ คริสตศักราชที่ 1000 นั่นเอง ทำให้ช่วงนั้นยุโรปตะวันตกคือพื้นที่ที่ล้าหลังที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เทียบกับ “ตะวันออก”(ซึ่งรวมไบเซนไทนไว้ด้วย)แล้ว ถือว่าทั้งล้าหลังทั้งยากจน ยุโรปพึ่งผงาดขึ้นมาในช่วงยุคสมัยใหม่ใกล้ๆ นี่เอง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ยุโรปก็พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไล่ตามและก้าวข้ามโลก “ตะวันออก” ไป แต่ข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ยุโรปไม่อยากให้พูดถึงมากที่สุดก็คือ ท่ามกลางเหตุผลหลายประการที่ยุโรปขึ้นมาเป็นผู้นำโลกนั้น มีเหตุผลสำคัญประการหนึ่งคือการลอกเอา “สมบูรณาญาสิทธิฯ”[2] จากฝั่งตะวันออกไปใช้ และหล่อหลอมรัฐชาติใหม่ที่มีอำนาจอธิปไตยรวมศูนย์ขึ้นมา ใช้เป็นเครื่องมือในการแตกหักกับสถานการณ์ศักดินาที่แตกแยกไม่เป็นระบบ แล้วก้าวย่างไปบนทางมหาอำนาจ ช่วงเวลาสองสามร้อยปีให้หลังที่ตะวันตกเริ่มก้าวนำไป ในลักษณะที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ โลกทั้งใบก็ตกอยู่ภายใต้พื้นที่ยึดครองหรือควบคุมโดยตะวันตก แล้วระบบการเขียนตำราประวัติศาสตร์โลกโดยมีตะวันตกเป็นศูนย์กลางก็ปรากฏขึ้น และแผ่ขยายไปทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม ณ ช่วงเวลานั้น โลกก็เริ่มเกิดการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ก็คลี่คลายตัวออกมา กลุ่มประเทศอื่นที่ครั้งหนึ่งเคยถูกตะวันตกยึดครองตีเอาได้ก็ฟื้นคืนขึ้นมา กลับขึ้นสู่เวทีโลกอีกครั้ง ยุคสมัยแห่งความเท่าเทียมทางอารยธรรมได้มาถึง จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สองจบสิ้นลง มาจนถึงทุกวันนี้ ทิศทางเช่นนี้ไม่อาจหวนคืนได้อีกแล้ว ด้วยเหตุเช่นนี้เอง จึงเกิดสิ่งที่ทุกวันนี้เราเรียกว่า “สถานการณ์ใหญ่ที่ร้อยปีก็ไม่เคยได้เห็น” จริงๆ แล้วไม่ได้หยุดอยู่แค่หนึ่งร้อยปี แต่เป็นการขยับเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่มีขนาดเป็นโลกทั้งใบเต็มๆ จาก “ตะวันตกแกร่งตะวันออกอ่อน” เปลี่ยนเข้าสู่ความเท่าเทียมทางอารยธรรมและการพัฒนาร่วมกัน
จากที่กล่าวไปทั้งหมด ประวัติศาสตร์โลกที่แท้จริงก็เต็มใบขึ้นมา ระบบความรู้ประวัติศาสตร์โลกที่พูดถึงตะวันตกเป็นศูนย์กลาง คือระบบที่พูดด้านเดียว(片面的) คือระบบที่หยิบจับคัดเลือกหรือกระทั่งบิดเบือน ดังนั้น การละทิ้ง “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง” แล้วก่อสร้างสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม สร้างระบบความรู้ประวัติศาสตร์ที่แม่นยำ คือหน้าที่แห่งยุคสมัย
『ระบบความรู้ประวัติศาสตร์โลกแบบใหม่ ต้องใช้ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เข้าพูด』
จะสร้างระบบความรู้ประวัติศาสตร์โลกใหม่ได้อย่างไร? ตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา ผมและนักวิชาการหลายท่านในภาควิชาประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง อีกทั้งคุณหยูวฺเพ่ยจากสถาบันวิทยาศาสตร์สังคมแห่งประเทศจีนก็พยายามลงมือค้นคว้ากรอบคิดแบบใหม่ ค้นหาระบบความรู้ประวัติศาสตร์โลกแบบใหม่ ผ่านการถกเถียงกันหลายครั้ง พวกเราก็ตกลงกันว่าการวิจัยประวัติศาสตร์แบบใหม่ควรจะมีเป้าหมายหลายประการ ดังนี้:หนึ่งคือต้องเอาความคิดของมาร์กซ์ว่าด้วย “การก่อรูปของประวัติศาสตร์”(世界历史形成)มาเป็นเส้นหลักทางทฤษฎี และกระบวนการพัฒนาของการคลี่คลายตัวทางประวัติศาสตร์มนุษยชาติ สองคือกระบวนการประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษยชาติหลายพันปีได้พิสูจน์ว่า:พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติมีสองแนวด้วยกัน กล่าวคือแนวนอนด้านหนึ่ง และแนวตั้งอีกหนึ่งด้าน สองด้านนี้ทำงานประสานกัน ก่อรูปขึ้นเป็นประวัติศาสตร์โลกเต็มใบ สามคือโยน “ความคิดตะวันตกเป็นศูนย์กลาง” ทิ้งเสีย แล้วฟื้นฟูอารยธรรม ประเทศ และชนชาติต่างๆ ในโลก และนำรูปร่างประวัติศาสตร์แรกเริ่มมาพัฒนา ฟื้นฟูตำแหน่งแห่งที่ให้เท่าเทียมกันระหว่างอารยธรรม ประเทศ และชนชาติที่ไม่เหมือนกัน สี่คือละทิ้งความคิดผิดๆ ที่ว่า “ประวัติศาสตร์โลกคือประวัติศาสตร์ของมหาอำนาจตะวันตกไม่กี่ประเทศ” แล้วแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์โลกคือข้อเท็จจริงพื้นฐานของประวัติศาสตร์มนุษยชาติร่วมกัน ภายใต้เรื่องเล่าในช่วงเวลาอันยาวนานของประวัติศาสตร์ที่คลี่คลายมาหลายพันปี โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้เข้าใจเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 ได้
ในกระบวนการเขียนงาน พวกเราพยายามอธิบายจำแนกเป็นสี่ประการ:ประการแรก โลกมีหลายขั้ว มีลักษณะแก่นทางอารยธรรมของมนุษยที่หลากหลาย ประวัติศาสตร์โลกเองได้พิสูจน์แล้วว่าประวัติศาสตร์มีลักษณะหลายขั้ว ดังนั้นการนำเอาอารยธรรมตะวันตกมาเป็นตัวแบบ เอามาใช้อธิบายว่าเป็นสิ่งถูกต้องเหมาะสมหนึ่งเดียวนั้น เป็นการขัดต่อความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง ประการถัดมา ประวัติศาสตร์คือการพัฒนา การพัฒนารวมทั้งการพัฒนาแนวนอนและการพัฒนาแนวตั้ง การพัฒนาแนวนอนหมายถึงอารยธรรมของมนุษย์เริ่มจากแตกกระจายไปสู่การรวมตัว สุดท้ายก่อรูปเป็นองค์ประกอบที่มีชะตากรรมร่วมกันของมนุษย์ชาติ การพัฒนาแนวตั้งหมายถึงสังคมมนุษย์เริ่มจากต่ำมุ่งไปสู่สูง ทั้งมาตรฐานพลังการผลิต มาตรฐานทางเทคโนโลยี รูปการณ์ทางสังคม เป็นต้น ล้วนเกิดจากต่ำก้าวไปสู่สูง ถัดมา โลกเป็นทั้งสิ่งที่มีลักษณะร่วมกัน(共性)และมีเอกลักษณ์ในตัว(个性)ลักษณะร่วมกันแสดงออกผ่านการดำรงอยู่ของทั้งทิศทางแนวนอนและแนวตั้ง แต่ละประเทศ แต่ละท้องถิ่น แต่ละเชื้อชาติล้วนอยู่ภายใต้ผลจากสองทิศทางนี้ ส่วนเอกลักษณ์ในตัวมาจากการประสานเปลี่ยนแปลงของทิศทางแนวนอนกับแนวตั้ง จึงปรากฏเป็นความหลากหลายผลิบานขึ้นมาในประวัติศาสตร์โลก ประการสุดท้าย การพัฒนาของประวัติศาสตร์คือความไม่สมดุล สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์โลกที่เกิดขึ้นไม่กี่พันปีนี้:จากการประกอบเข้ากันระหว่างสถานการณ์ขนาดเล็กในแต่ละที่กับการผสมผสานกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปของอารยธรรมยุคแรกเริ่ม ไปถึงความสมดุลระหว่างตะวันออกตะวันตกในช่วงยุคคลาสสิก แล้วต่อด้วยตะวันออกแกร่งตะวันตกอ่อนในช่วงกลางของยุคโบราณ และในสมัยใหม่เป็นต้นมาที่ตะวันตกแกร่งตะวันออกอ่อนแล้วตะวันตกก็ครอบครองใต้ฟ้าทั่วปฐพีเป็นหนึ่งเดียว ทุกวันนี้ พวกเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นอีกครา เกิดการพัฒนาในทุกด้านของประเทศกำลังพัฒนา ความได้เปรียบของตะวันตกกำลังหดหายไป การเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่คือเนื้อหาหลักของตำราประวัติศาสตร์โลก ณ จุดนี้จึงไม่อาจเขียน “ประวัติศาสตร์โลก” ออกมาได้อย่างชัดเจนอีกแล้ว สิ่งเหล่านี้คือความคิดก้าวแรกที่ปรากฏออกมาเป็น《เค้าโครงประวัติศาสตร์โลกใหม่(新世界是刚要)》(สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง,ฉบับปี 2023)
《เค้าโครงประวัติศาสตร์โลกใหม่》เกิดขึ้นเพื่อก่อร่างสร้างกรอบระบบความรู้ใหม่ของประวัติศาสตร์โลก ทั้งนั้น กรอบที่ว่านี้กับระบบความรู้แบบเก่าก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง กรอบนี้ไม่เหมือนกับระบบคิดแบบ Ranke ในศตวรรษที่ 19 และไม่เหมือนกับระบบ “ประวัติศาสตร์โลกทั้งใบ”(全球史)ที่ออกมาในตะวันตกเมื่อศตวรรษที่ 20 และระบบที่ออกมาจากโซเวียตด้วย ระบบแบบโซเวียตพยายามวาดภาพประวัติศาสตร์ของ “โลกทั้งใบ”(全世界) ทว่าเขียนออกมาเป็นประวัติศาสตร์โลกที่มีลักษณะกองสุมรวมกัน(堆积式) กล่าวคือการเอาประวัติศาสตร์มากมายหลากหลายประเทศมากองรวมกันก่อตัวเป็น “โลก” อีกทั้งโลกใบดังกล่าวยังไร้ระบบระเบียบ แต่ละที่ล้วนเป็นอิสระและไม่เชื่อมต่อกัน หนำซ้ำ ระบบของโซเวียตยังเน้นย้ำลักษณะความเป็นสากล(普遍性)ของประวัติศาสตร์มากเกินไป ทั้งยังปฏิเสธลักษณะความหลากหลาย(多样性) นำเอาทิศทางแนวตั้งมาใช้อย่างเป็นกลไก(机械化)และเบ็ดเสร็จสมบูรณ์(绝对化) ขณะเดียวกันก็ไม่สำเหนียกถึงการดำรงอยู่ของทิศทางแนวนอนเลย ในระบบของตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นระบบคิดแบบ Ranke หรือระบบคิดประวัติศาสตร์โลกทั้งใบก็ตาม ล้วนแล้วแต่มองไม่เห็นถึงการดำรงอยู่ของสองทิศทางดังกล่าว อันที่จริงก็คือไม่ยอมรับว่าประวัติศาสตร์มีเรื่องที่เป็นลักษณะอันหลีกเลี่ยงไม่ได้(必然性)แต่ยอมรับเพียงแค่เรื่องที่มีลักษณะที่อาจเกิดขึ้นได้(或然性)เท่านั้น สุดท้ายจึงพาเอาลักษณะที่มีความเต็มใบของโลก(世界的整体性)พังทลายลง หนังสือเล่มนี้ของพวกเรานำเอาทิศทางสองอย่างนี้มาเป็นเส้นหลักสองกระแสในประวัติศาสตร์ การประสานเกี่ยวกันและผลักดันไปของเส้นทางสองทิศนี้แหละที่สานก่อขึ้นรูป “ประวัติศาสตร์โลก” ขึ้นมา
ในการวิจัยประวัติศาสตร์ 《เค้าโครงประวัติศาสตร์โลกใหม่》ใช้วิธีการพิสูจน์หลักฐานทางประวัติศาสตร์มาอภิปรายปัญหา ไม่ได้ใช้ตรรกะหรือการคาดการณ์ทางทฤษฎีล้วนๆ เข้ามาพิสูจน์ ประวัติศาสตร์นิพนธ์ก็คือประวัติศาสตร์นิพนธ์ ระบบความรู้แบบใหม่ต้องใช้ความรู้เข้ามาพูดเอง และความรู้เหล่านั้นย่อมต้องเป็นความรู้ประวัติศาสตร์ และเป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ด้วย พวกเราเชื่อว่า เราได้ออกเดินก้าวเล็กๆ ไม่กี่ก้าว บนเส้นทางการสร้างระบบความรู้ประวัติศาสตร์โลกแบบใหม่ขึ้น ทว่าเรายังเชื่อ ว่าวันนี้ยังมีอีกหลายคนที่ออกเดินไปบนเส้นทางเส้นนี้
เชิงอรรถโดยผู้แปล
.
[1] ในที่นี้ น่าจะหมายถึงว่า ราชวงศ์ฮั่นมีความรุ่งเรืองด้านวัฒนธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เป็นความรุ่งเรืองด้านการทหาร
.
[2] ในที่นี้ ถ้าแปลตรงตัวก็คือระบบอัตานิยม โดยพิจารณาจากบริบทแล้ว น่าจะพูดถึงระบบการตัดสินใจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดรวมศูนย์ และสร้างระบบบริหารรัฐกิจขึ้นมา สอดคล้องกับที่ David Graeber & David Wengrow พูดไว้ในหนังสือ《The Dawn of Everything》ที่ว่า statecraft (การบริหารรัฐกิจ) เป็นนวัตกรรมในจีน และยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศสคัดลอกไปใช้เช่นกัน มีหลักฐานว่านักวิชาการในฝรั่งเศสพูดและให้ความเห็นว่า statecraft ในจีนเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และควรศึกษาจากจีน ก่อนที่ฝรั่งเศสจะกลายเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในกาลต่อมา