จำนวนดอกเบี้ยหนี้เพียง 25 วัน เพียงพอที่จะปลดปล่อยผู้หญิงแอฟริกาจากภาระแบกน้ำกว่า 4 หมื่นล้านชั่วโมงต่อปี: จดหมายข่าวฉบับที่ 11 (2025)”

จำนวนดอกเบี้ยหนี้เพียง 25 วัน เพียงพอที่จะปลดปล่อยผู้หญิงแอฟริกาจากภาระแบกน้ำกว่า 4 หมื่นล้านชั่วโมงต่อปี: จดหมายข่าวฉบับที่ 11 (2025)”

(ขยายความ- ประเทศในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา ต้องจ่ายดอกเบี้ยหนี้สิน วันละประมาณ 447 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากนำเงินที่ต้องจ่ายเป็นเวลา 25 วัน มารวมกัน (ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์) จำนวนเงินเท่านี้เพียงพอที่จะลงทุนสร้างระบบน้ำประปาให้ทุกครัวเรือนมีน้ำสะอาดใช้ถึงบ้าน ผู้หญิงในภูมิภาคนี้ก็จะไม่ต้องเสียเวลา (40,000 ล้านชั่วโมงต่อปี) เดินไปตักน้ำเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร)

 

ถึงเหล่าเพื่อนที่รัก,

 

ทักทายสวัสดีจากโต๊ะทำงานของไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม  Tricontinental: Institute for Social Research

เดือนมีนาคมเป็นเดือนของ วันแรงงานสตรีสากล ซึ่งมีต้นกำเนิดจากขบวนการสังคมนิยม ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักเรียกวันที่ 8 มีนาคมว่า “วันสตรีสากล” เฉยๆ โดยตัดคำว่า “ชนชั้นแรงงาน” ออกไป แต่ในความจริงแล้ว การทำงานคือส่วนสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันของผู้หญิงทั่วโลก รายงานประจำปีขององค์กร UN Women เรื่อง Progress on the Sustainable Development Goals: The Gender Snapshot 2024 เผยว่า ในปี 2022 ผู้หญิงทั่วโลกประมาณ 63.3% มีส่วนในกำลังแรงงาน แต่เนื่องจากการคุ้มครองทางสังคมและสภาพแรงงานที่ย่ำแย่ ทำให้ในปี 2024 ผู้หญิงเกือบ 10% ต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพยากจนขั้นรุนแรง (Extreme Poverty) และจากรายงานเดียวกันนี้ ยังเตือนว่า หากยังดำเนินการกันในระดับนี้ต่อไป เราอาจต้องใช้เวลาถึง 137 ปี จึงจะสามารถขจัดความยากจนขั้นรุนแรงในกลุ่มผู้หญิงได้ทั้งหมด เป้าหมายของชีวิตไม่ใช่แค่การหลุดพ้นจากความยากจนเท่านั้น แต่ควรเป็นการหลุดพ้นจากภาระที่สังคมบังคับให้เราต้องแบกรับด้วย

รายงานชิ้นหนึ่งจากโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ประมาณการว่า ผู้หญิงในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา (Sub-Saharan Africa) ต้องใช้เวลากว่า 4 หมื่นล้านชั่วโมงต่อปี ในการเดินทางไป-กลับเพื่อตักน้ำมาใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งจำนวนชั่วโมงข้างต้นเทียบเท่ากับเวลาทำงานของแรงงานทั้งหมดในประเทศฝรั่งเศสต่อปีเลยทีเดียว ในขณะที่คาดว่า งบประมาณการสร้างระบบน้ำประปาภูมิภาคนี้ทั้งหมดขาดอยู่ประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งจากรายงานขององค์กร Oxfam ชี้ว่า งบจำนวนนี้เทียบเท่ากับรายได้ไม่ถึง 2 วันของมหาเศรษฐีทั่วโลก และที่สำคัญ ประเทศต่างๆ ในแอฟริกาตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา ต้องจ่ายเงินค่าดอกเบี้ยหนี้สินประมาณวันละ 447 ล้านดอลลาร์ หากเรานำเงินจำนวนนี้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบประปา ก็จะใช้เวลาเพียง 25 วัน ของการจ่ายดอกเบี้ยหนี้เท่านั้น เพื่อสร้างระบบน้ำประปาที่เข้าถึงได้ทุกครัวเรือนในภูมิภาคนี้ได้ทั้งหมด ทว่าทั่วโลกกลับมองข้ามความสำคัญที่จะปลดปล่อยผู้หญิงแอฟริกาออกจากภาระอันหนักหน่วงและวิธีคร่ำครึอย่างการเดินเท้าไปตักน้ำหลายกิโล ทั้งที่ความจริงแล้ว เงินลงทุนจากความมั่งคั่งมหาศาลของโลกเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเธอได้ทันที ยิ่งกว่านั้น โครงการแบบนี้ยังหมายถึง การขยายอุตสาหกรรมที่จำเป็น ด้านการผลิตท่อและระบบน้ำต่างๆ ซึ่งจะช่วยสร้างงานใหม่ และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนขึ้นจากค่าจ้างที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ซึ่งยังคงกดทับชีวิตของผู้หญิงจำนวนมากทั่วโลกอยู่ในเวลานี้

<Suad al-Attar ศิลปินหญิงชาวอิรัก (Iraq), Untitled, 1966.>

 

ผู้หญิงจำนวนมากที่ต้องเดินเท้าหลายกิโลเมตรเพื่อตักน้ำกลับบ้านนั้น ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท และมีอาชีพเป็นแรงงานเกษตรหรือเป็นเกษตรกรรายย่อย สำหรับผู้หญิงเหล่านี้ วันเวลาที่หมดไปกับการตักน้ำ—รวมถึงการดูแลครอบครัวและงานบ้าน—ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการทำงานในไร่นา ทำให้โดยเฉลี่ยผู้หญิงมีผลผลิตต่ำกว่าผู้ชายประมาณ 24% (ข้อมูลจากรายงานขององค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ปี 2023 เรื่อง The Status of Women in Agrifood Systems) ทว่า ข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับบทบาทของผู้หญิงในภาคเกษตรยังคงมีน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในหลายพื้นที่ทั่วโลก ผู้หญิงไม่ได้รับการยอมรับในฐานะเกษตรกรเต็มตัว แต่ถูกมองว่าเป็นเพียง “ผู้ช่วยงาน” ในไร่นาเท่านั้น ทัศนคติเช่นนี้นำไปสู่ความไม่เท่าเทียมในการจ่ายค่าจ้าง โดยผู้หญิงที่เป็นแรงงานเกษตรจะได้รับค่าแรงต่ำกว่าผู้ชายโดยเฉลี่ยถึง 18.4%

<โรซิโอ นาวาร์โร หรือ Rocio Navarro ศิลปินหญิงชาวเม็กซิโก (Mexico), Watering Day, 2024.>

เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมที่มีรากฐานมาจากระบบสังคมแบบชายเป็นใหญ่ ในปีที่ผ่านมา สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้ลงมติเห็นชอบประกาศให้ปี 2026 เป็น “ปีสากลแห่งเกษตรกรหญิง” (International Year of the Woman Farmer) โดยหวังว่า นอกจากการจัดกิจกรรมมากมายที่ส่งเสริมบทบาทของผู้หญิงในระบบเกษตรและอาหารให้ประจักษ์ชัดขึ้นแล้ว รัฐบาลฝ่ายก้าวหน้า—ซึ่งเป็นกลุ่มรัฐบาลที่มีศักยภาพจะเป็นผู้นำในประเด็นนี้—จะผลักดันนโยบายเพื่อต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติที่ผู้หญิงในภาคเกษตรต้องเผชิญ และช่วยให้ผู้หญิงได้มีบทบาทนำในสหภาพหรือสหกรณ์ชาวนาอย่างแท้จริง

 

<ตาร์ซิลา ดู อามารัล หรือ Tarsila do Amaral ศิลปินหญิงชาวบราซิล (Brazil), A Caipirinha (The Caipirinha), 1923.>

 

คำว่า ‘ระบบเกษตรอาหาร’ (agrifood systems) เป็นการขยายแนวคิดของคำว่า เกษตรกรรม โดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) อธิบายว่า ระบบเกษตรอาหารคือ ‘กลุ่มผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด และกิจกรรมที่เชื่อมโยงกัน ตั้งแต่การผลิตทั้งอาหารและผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ไปจนถึงกิจกรรมที่ไม่ได้อยู่ในไร่นาโดยตรง เช่น การเก็บรักษา การรวบรวมผลผลิต การจัดการหลังเก็บเกี่ยว การขนส่ง การแปรรูป การกระจายสินค้า การตลาด การจัดการของเสีย ไปจนถึงการบริโภค’ ซึ่งคำจำกัดความนี้สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศอย่างชัดเจน เพราะผู้หญิงมักถูกกีดกันจากงานที่อยู่ในตำแหน่งสูงขึ้นในห่วงโซ่คุณค่า เช่น การขนส่ง การแปรรูป การกระจายสินค้า การเก็บรักษา และการตลาด ทำให้ผู้หญิงมีรายได้น้อยกว่าผู้ชายในภาพรวมของอุตสาหกรรมนี้

ในประเทศกลุ่มโลกใต้ (Global South) โดยเฉพาะในแอฟริกาและเอเชียใต้ ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญอย่างมากในระบบเกษตรและอาหาร และงานเกษตรยังถือเป็นแหล่งรายได้หลักของผู้หญิงจำนวนมาก (เช่น ในแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา 66% ของผู้หญิงทำงานในภาคเกษตร เทียบกับผู้ชาย 60% ส่วนในเอเชียใต้ผู้หญิงทำงานภาคเกษตรสูงถึง 71% ขณะที่ผู้ชายมีเพียง 47%) ในพื้นที่เหล่านี้ ผู้หญิงจำนวนมากต้องพึ่งพารายได้อันน้อยนิดจากงานเกษตรกรรมในการเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัว เมื่อการจ้างงานหรือรายได้จากภาคเกษตรลดลง สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ ผู้หญิงจะลำบากในการหาอาหารมาเลี้ยงครอบครัว และท้ายที่สุด ตัวผู้หญิงเองจะตกอยู่ในภาวะอดอยากก่อนใคร จากข้อมูลที่ประเทศต่างๆ รายงานต่อองค์กรระหว่างประเทศ พบว่า จำนวนผู้หญิงทั่วโลกที่ตกอยู่ในสภาพอดอยากมีสูงกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน สาเหตุหลักคือการจ้างงานผู้หญิงในภาคเกษตรที่ส่วนใหญ่อยู่ในนอกระบบ (informal labour) ซึ่งมักมีค่าจ้างต่ำ และปัญหาจากระบบครอบครัวแบบชายเป็นใหญ่ที่มักให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารของผู้ชายก่อนผู้หญิงเสมอ

<Raquel Forner ศิลปินหญิงชาวอาร์เจนติน่า (Argentina), Fin-Principio (End-Beginning), 1980.>

ระบบการทำเกษตร เป็นหนึ่งในกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติด้านสภาพภูมิอากาศ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงมักต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบหลักในการปกป้องฟาร์มและครอบครัวจากวิกฤตนี้ ข้อมูลจากรายงานปี 2024 ของ FAO เรื่อง The Unjust Climate เผยตัวเลขที่น่าตกใจ ประการแรก เมื่อเกิดภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศ เช่น คลื่นความร้อน น้ำท่วม หรือภัยแล้ง ผู้หญิงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ โดยเฉลี่ย 4 นาที ต่อวันที่ฝนตกหนักผิดปกติ 3 นาที ต่อวันที่อุณหภูมิสูงจัด และ 1 นาที ต่อวันที่แล้งจัด เมื่อเทียบกับผู้ชาย หากนำค่าเฉลี่ยของเวลาที่เพิ่มขึ้นมาคิดรวมกัน ผู้หญิงจะต้องทำงานมากกว่าผู้ชายประมาณ 55 นาที ต่อวัน เพื่อชดเชยความเสียหายและสูญเสียจากภัยพิบัติเหล่านั้น

ประการที่สอง เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเฉลี่ยเพียง 1 องศาเซลเซียส จะส่งผลให้รายได้จากฟาร์มของครัวเรือนที่ผู้หญิงเป็นหัวหน้าลดลงถึง 23.6% และรายได้รวมของครัวเรือนลดลงถึง 34% เมื่อเทียบกับครอบครัวที่มีผู้ชายเป็นหัวหน้าครัวเรือน ในช่วงอากาศร้อนจัดหรือเผชิญภัยแล้ง เกษตรกรหญิงมักต้องหางานรับจ้างนอกไร่ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแรงงานเกษตรในที่อื่นหรือแรงงานรับใช้ตามบ้าน ซึ่งล้วนได้ค่าแรงต่ำกว่าเดิม ทำให้รายได้ของพวกเธอลดลงไปอีก

ประการที่สาม ในช่วงที่สภาพอากาศร้อนจัด ครัวเรือนที่มีผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัวจะขายหรือสูญเสียปศุสัตว์ในอัตราสูงกว่าครัวเรือนที่มีผู้ชายเป็นหัวหน้า ทำให้สูญเสียรายได้จากปศุสัตว์ และสูญเสียผลผลิตที่ได้จากการใช้สัตว์เหล่านี้ในงานเกษตรกรรมอีกด้วย

ประการสุดท้าย รายงานของ FAO ยังแสดงว่า ในช่วงเวลาน้ำท่วม ครัวเรือนยากจนจะสูญเสียรายได้โดยเฉลี่ยประมาณ 4.4% มากกว่าครัวเรือนที่มีฐานะดีกว่า โดยความสูญเสียที่เกิดขึ้นรวมทุกปีของครัวเรือนยากจนจากน้ำท่วมทั่วโลกใต้อยู่ที่ประมาณ 21,000 ล้านดอลลาร์

บทสรุปสำคัญของรายงานนี้ชี้ว่า แม้ว่าภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรที่ยากจนทุกกลุ่ม แต่ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบที่หนักกว่าเสมอ ส่งผลให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายในภาคเกษตรกรรมถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ

<ซีนา อามูร์ หรือ Zina Amour ศิลปินหญิงชาวอัลจีเรีย (Algeria), Scène de famille (Family Portrait), 1967.>

แล้วเราจะทำอะไรได้บ้างกับสถานการณ์เช่นนี้? องค์กรอย่างสหประชาชาติมักเสนอทางออกด้วยคำเดียว นั่นก็คือ “การเสริมพลัง (empowerment)” แต่คำถามคือ ผู้หญิงจะมีพลังหรืออำนาจที่แท้จริงได้อย่างไร? มติและข้อเสนอมากมายขององค์กรระหว่างประเทศมักจะเน้นย้ำว่า ต้อง “เรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบ” หรือ “สนับสนุนให้ผู้หญิงมีบทบาทในตำแหน่งที่มีอำนาจ” แต่คำพูดแบบนี้ไม่ได้เข้าใจถึงแก่นแท้ของปัญหาเลย เพราะความเป็นจริงในพื้นที่ชนบท การรวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งสหภาพของแรงงานเกษตร มักถูกกีดกันด้วยข้อกฎหมาย หรือถูกขัดขวางด้วยความรุนแรงทางการเมือง

ตั้งแต่ปี 1975 องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ออกอนุสัญญาเกี่ยวกับองค์กรแรงงานในชนบท (Rural Workers’ Organisations Convention) ซึ่งในข้อ 3 ระบุชัดเจนว่า:

“แรงงานชนบททุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างหรือประกอบอาชีพอิสระใดๆ ก็ตาม มีสิทธิในการจัดตั้งหรือเข้าร่วมองค์กรของตนเองได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องขออนุญาตจากหน่วยงานใดๆ ก่อน”

แต่ในความเป็นจริง อนุสัญญาฉบับนี้กลับถูกละเลยหรือถูกเพิกเฉยไปเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งกว่านั้น ในหลายพื้นที่ทั่วโลก ยังมีการใช้ความรุนแรงทางการเมืองกับผู้ที่เคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งสหภาพแรงงานเกษตรเป็นเรื่องปกติ ทว่าประเด็นนี้กลับถูกมองข้ามและแทบไม่ได้รับความสนใจจากสื่อเลย ถ้าหากเราพยายามรวบรวมรายชื่อของนักเคลื่อนไหวหรือผู้นำสหภาพแรงงานในชนบทที่ถูกสังหารจากทั่วโลก คงมีจำนวนมากมายมหาศาลจนแทบจะล้นอินเทอร์เน็ต ตั้งแต่กรณีของ ดอริส ลิสเซธ อัลดานา คาลเดรอน (Doris Lisseth Aldana Calderón) ในกัวเตมาลา เมื่อปี 2023 ไปจนถึง สุภการัน ซิงห์ (Subhkaran Singh) ในอินเดีย เมื่อปี 2024 ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงอุปสรรคที่แท้จริงในการเสริมพลังให้ผู้หญิงชนบท นั่นคือการที่รัฐและสังคมทั่วโลกยังคงเพิกเฉย แทบไม่เห็นเลยในสื่อต่างๆ หรือถึงขั้นขัดขวางการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญที่จะทำให้ผู้หญิงมีอำนาจและมีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเองได้อย่างแท้จริง

 

<เหลียง ไป่ป๋อ หรือ Liang Baibo ศิลปินหญิงชาวจีน (China), 责任均匀的解释 (An Explanation of Even Responsibility), 1938.>

 

ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการรวมตัวของแรงงานเกษตรและชาวนา แล้วจัดตั้งสหภาพแรงงาน เพื่อสร้างอำนาจและใช้สิทธิของตนเองได้อย่างแท้จริง ในปี 2022 กลุ่มผู้หญิงจากขบวนการแรงงานชนบทไร้ที่ดินของบราซิล (Movimento dos Trabalhadores Rurais Sem Terra หรือ MST) ได้เผยแพร่จดหมายเปิดผนึกที่ทรงพลังชื่อ “จดหมายเปิดผนึกแห่งความรักและการต่อสู้จากผู้หญิงไร้ที่ดิน” (Open Letter of Love and Struggle from Landless Women) (เรามีบทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ กลุ่มผู้หญิงจากขบวนการแรงงานชนบทไร้ที่ดินของบราซิล (MST) ซึ่งสามารถอ่านได้ที่นี่) โดยมีข้อความบางส่วนที่นำเสนอไว้ ดังนี้:

กี่ครั้งแล้วที่เราต้องต้มน้ำ ต้องดูแลลูกหลานของเราอีกสักเท่าไร เปลี่ยนผืนดินของบรรพบุรุษให้เป็นที่อยู่อาศัยอันอบอุ่น สร้างบ้านจากความยากลำบาก และส่งเสียงทำลายความเงียบงัย ก่อนที่ใครจะทันสังเกตเห็น? พวกเราออกเดินทางตั้งแต่ยามฟ้ามืด ร่วมแรงร่วมใจกัน จุดเปลวไฟขึ้นเพื่อหยุดยั้งรถไฟแห่งความตาย รถบรรทุกสารพิษ และขัดขวางเมล็ดพันธุ์แปลกปลอม (ดัดแปลงพันธุกรรม) ที่ถูกหว่านลงผืนดิน ด้วยร่างกายที่เปื้อนโคลน พวกเราร่ำไห้และฝังร่างของผู้สูญเสีย ในการต่อสู้และการอธิษฐาน เราเสริมสร้างพลังให้แก่กัน เพื่อปกป้องร่างกายและผืนแผ่นดินของเรา ด้วยจิตวิญญาณ เราปรุงยารักษา เตรียมขี้ผึ้งแห่งการเยียวยาบาดแผล เราปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการต่อสู้ด้วยเสียงกลองบรรพบุรุษที่ปลุกเราให้ลุกขึ้นอีกครั้ง พวกเราสวมใส่ผ้าชีต้า (chita) สีสันสดใส ที่ย้อมด้วยความโกรธแค้น ความกลัว และความสุข เราต่อสู้เพื่อสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ ขอให้โลกรู้ว่า ถึงเวลาที่แผ่นดินจะต้องสั่นสะเทือน—เพราะผู้หญิงที่ลุกขึ้นสู้จะไม่มีวันยอมจำนน! เดือนมีนาคมกำลังเรียกร้องให้เราสร้างทางเลือกใหม่ในการมีชีวิต เพื่อต้านตรรกะแห่งการทำลายล้างที่คุกคามชีวิตเรา ทำร้ายร่างกาย และธรรมชาติของเราในทุกวัน…

หากผู้มีอำนาจคิดว่า เราจะยอมจำนน นั่นเป็นเพราะพวกเขายังไม่รู้ว่าเราเป็นนักสร้างสรรค์ ผู้บ่มเพาะชีวิต ผู้ให้กำเนิดผู้คนและเมล็ดพันธุ์ใหม่ๆ ที่ใดมีผู้หญิง ที่นั่นก็มีความหวัง การรวมตัว การต่อสู้ ความกล้าหาญ และการลุกขึ้นต่อต้านเสมอ แม้หนทางข้างหน้าจะมีอุปสรรค เราจะยังคงยืนอยู่แนวหน้า เพราะประวัติศาสตร์ก็เป็นของเรา และเราจะเขียนมันด้วยการลุกขึ้นสู้ บนท้องถนน ในทุ่งนา และทุกที่ที่มีชีวิต พลังของเรามาจากเหล่านักสู้มากมายที่ล้มลงไปแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่ในตัวเรา พวกเขาคือแสงตะวันดวงนั้นที่ยังยืนหยัดจะขึ้น แม้ในห้วงเวลาแห่งสงคราม เป็นแสงที่ปลุกให้เราตื่น และทำให้เลือดในกายเราร้อนรุ่มอีกครั้ง

ด้วยความนับถือ, 

 

วิเจย์ (Vijay)

ประเทศในซีกโลกเหนือมีอำนาจโหวตลงคะแนนเสียงใน IMF มากกว่าประเทศในซีกโลกใต้ถึง 9 เท่า: จดหมายข่าวฉบับที่ 10 (2025)

ประเทศในซีกโลกเหนือมีอำนาจโหวตลงคะแนนเสียงใน IMF มากกว่าประเทศในซีกโลกใต้ถึง 9 เท่า: จดหมายข่าวฉบับที่ 10 (2025)

<อาลิอูน ไดแอน หรือ Alioune Diagne จิตรกร (Senegal), Rescapé (Survivor), 2023. >

ถึงเหล่าเพื่อนที่รัก,

 

ทักทายสวัสดีจากโต๊ะทำงานของไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม  Tricontinental: Institute for Social Research

 

ใช่ พาดหัวจดหมายข่าวฉบับนี้ถูกแล้ว

 

สำหรับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แล้ว คนจากซีกโลกเหนือหนึ่งคนมีอำนาจโหวตมากกว่าคนจากซีกโลกใต้เก้าคน เราคำนวณตัวเลขนี้จากข้อมูลของ IMF ที่เปรียบเทียบอำนาจการโหวตกับจำนวนประชากรในแต่ละภูมิภาค (ประเทศในซีกโลกเหนือและใต้) โดยแต่ละประเทศได้รับสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตาม “สถานะทางเศรษฐกิจแบบสัมพัทธ์ (relative economic position)” ตามที่ IMF กำหนด และใช้ในการเลือกตัวแทนเข้าสู่คณะกรรมการบริหารขององค์กร ซึ่งคณะกรรมการนี้เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญทั้งหมดของ IMF หากดูโครงสร้างคณะกรรมการจะเห็นได้ชัดว่า ซีกโลกเหนือมีตัวแทน (อิทธิพล) มากเกินไปเมื่อเทียบกับประเทศที่เป็นหนี้สิน

 

ตัวอย่าง สหรัฐอเมริกาถือสิทธิออกเสียง 16.49% ของคะแนนเสียงทั้งหมดใน IMF ทั้งที่มีประชากรในประเทศเพียง 4.22% ของทั้งโลก และเนื่องจากกฎของ IMF กำหนดให้ต้องใช้คะแนนเสียงถึง 85% ในการเปลี่ยนแปลงใดๆ สหรัฐฯ จึงสามารถใช้สิทธิ์ยับยั้งขัดขวาง (veto) การตัดสินใจของ IMF ได้ ด้วยเหตุนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ IMF จึงมักทำตามแนวทางของรัฐบาลสหรัฐฯ และเนื่องจากสำนักงานของ IMF ตั้งอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. องค์กรนี้มักทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในการกำหนดกรอบนโยบายและตัดสินใจเรื่องสำคัญต่าง ๆ

<อาร์มันโด เรเวรอน หรือ Armando Reverón จิตรกรและประติมากร (Venezuela), Ranchos (Ranches), 1933.>

 

ในปี 2019 เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่รับรองรัฐบาลเวเนซุเอลาอีกต่อไปโดยไม่ผ่านการเจรจากับนานาชาติ สหรัฐฯ ได้กดดันให้ IMF ดำเนินการในทิศทางเดียวกัน เวเนซุเอลา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศผู้ก่อตั้ง IMF เคยขอความช่วยเหลือจากองค์กรนี้หลายครั้ง และได้ชำระหนี้เงินกู้ของ IMF จนหมดในปี 2007 จากนั้นเวเนซุเอลาตัดสินใจไม่พึ่งพา IMF สำหรับเงินช่วยเหลือระยะสั้นอีกต่อไป โดยรัฐบาลเวเนซุเอลาหันไปมุ่งเน้นการสร้าง ธนาคารแห่งซีกโลกใต้ (Bank of the South) ขึ้นมาเอง เพื่อช่วยให้เงินกู้แก่ประเทศที่มีปัญหาขาดดุลการชำระเงิน อย่างไรก็ตาม ในช่วงการระบาดโควิด เวเนซุเอลา ก็เหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ พยายามเข้าถึงทุนสำรองโดยใช้สิทธิถอนเงิน  (Special Drawing Rights – SDRs) มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ IMF ที่ประเทศสมาชิกมีสิทธิ์เข้าถึงภายใต้โครงการเพิ่มสภาพคล่อง แต่ IMF ซึ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันจากสหรัฐฯ ตัดสินใจปฎิเสธโอนเงินดังกล่าว ก่อนหน้านี้ IMF ก็เคยปฏิเสธคำขอของเวเนซุเอลาในการถอนเงิน 400 ล้านดอลลาร์

 

แม้ว่าสหรัฐฯ จะระบุว่า นายฮวน ไกวโด หรือ Juan Guaidó เป็นประธานาธิบดีที่แท้จริงของเวเนซุเอลา แต่ในเว็บไซต์ของ IMF ตัวแทนของเวเนซุเอลา คือ ซิโมน อาเลฆันโดร แซร์ปา เดลกาโด หรือ Simón Alejandro Zerpa Delgado ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลของประธานาธิบดี นิโกลัส มาดูโร หรือ Nicolás Maduro โดยโฆษกของ IMF นายราฟาเอล แอนสแพช หรือ Raphael Anspach ไม่ตอบอีเมลที่พวกเราส่งไปในเดือนมีนาคม 2020 เกี่ยวกับการปฏิเสธเงินทุนของเวเนซุเอลา แต่เขาออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า “การมีส่วนร่วมของ IMF กับประเทศสมาชิกขึ้นอยู่กับการรับรองรัฐบาลอย่างเป็นทางการจากประชาคมระหว่างประเทศ” และเนื่องจาก “ไม่มีความชัดเจน” ในเรื่องนี้ IMF จึงไม่อนุญาตให้เวเนซุเอลาเข้าถึงโควตาพิเศษของตนในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากนั้นไม่นาน IMF ก็ลบชื่อของ แซร์ปา (Zerpa) ออกจากเว็บไซต์ ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันของสหรัฐฯ โดยตรง

 

ในปี 2023 ที่ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (BRICS Bank) ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ประธานาธิบดี ลุยซ์ อินาซิโอ ลูลา ดา ซิลวา หรือ Luiz Inácio Lula da Silva ของบราซิล กล่าวถึงผลกระทบของนโยบาย IMF ที่บีบคั้นประเทศยากจน โดยยกตัวอย่างกรณีของอาร์เจนตินา เขากล่าวว่า “ไม่มีรัฐบาลใดสามารถบริหารประเทศได้ ขณะเผชิญความกดดันจากหนี้สินราวกับมีดจ่อคอ ธนาคารควรให้โอกาสและมีความยืดหยุ่น หากจำเป็นก็ควรต่ออายุข้อตกลงใหม่ แต่ทุกครั้งที่ IMF หรือธนาคารใดก็ตามให้เงินกู้กับประเทศโลกที่สาม ประเทศเจ้าหนี้มักคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์สั่งการและควบคุมเศรษฐกิจของประเทศลูกหนี้ จนทำให้ประเทศเหล่านั้นเหมือนถูกจับเป็นตัวประกันของผู้ให้กู้”

<เบน เอนวอนวู หรือ Ben Enwonwu จิตรกร (Nigeria), The Dancer, 1962.>

 

เมื่อพูดถึงอำนาจที่แท้จริงในโลก ซึ่งอยู่ที่การควบคุมทุน คำพูดเรื่องระบบประชาธิปไตยก็ดูเหมือนจะเลือนหายไป รายงานของ Oxfam เมื่อปีที่แล้วระบุว่า “ประชากร 1% ที่ร่ำรวยที่สุดของโลกครอบครองทรัพย์สินมากกว่าประชากร 95% ที่เหลือรวมกัน” และ “กว่าหนึ่งในสามของ 50 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งมีมูลค่ารวม 13.3 ล้านล้านดอลลาร์ อยู่ภายใต้การบริหารของมหาเศรษฐี หรือมีมหาเศรษฐีเป็นผู้ถือหุ้นหลัก” ปัจจุบัน มีมหาเศรษฐีมากกว่าสิบรายที่ดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พวกเขาไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มคน 1% อีกต่อไป แต่เป็น 0.0001% ของประชากรโลก หรือ หนึ่งในหนึ่งแสนของประชากรโลก หากแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ ภายในสิ้นทศวรรษนี้ โลกอาจมีมหาเศรษฐีระดับล้านล้าน (trillionaire) ถึงห้าคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลต่อรัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศอย่างมหาศาล

 

ในปี 1963 จาจา อนูชา เอ็นดูบูอิซี วาชูกู หรือ Jaja Anucha Ndubuisi Wachuku รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไนจีเรีย แสดงความไม่พอใจต่อบทบาทขององค์การสหประชาชาติและองค์กรระหว่างประเทศอื่น ๆ เขากล่าวว่า “ประเทศในแอฟริกาไม่มีสิทธิ์ที่แท้จริงในการแสดงความคิดเห็นในประเด็นสำคัญของสหประชาชาติ” ขณะนั้น ไม่มีประเทศใดจากแอฟริกาหรือละตินอเมริกาที่ได้รับที่นั่งถาวรในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และที่ IMF หรือธนาคารโลกก็เช่นกัน ไม่มีประเทศในแอฟริกาใดเลยที่สามารถกำหนดวาระสำคัญได้ วาชูกู (Wachuku) เคยตั้งคำถามอย่างเจ็บแสบว่า “เราจะเป็นได้แค่เด็กที่ยืนอยู่ตรงระเบียงเท่านั้นหรือ?” แม้ว่า IMF จะเพิ่มที่นั่งให้ตัวแทนจากแอฟริกาในปี 2024 แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอสำหรับทวีปแอฟริกาที่มีประเทศสมาชิก IMF มากที่สุด (จำนวน 54 จาก 190 ประเทศ) และได้รับเงินกู้จาก IMF มากกว่าทวีปอื่น ๆ (46.8% ของเงินกู้ทั้งหมดระหว่างปี 2000-2023) แต่กลับมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเพียง 6.5% เท่านั้น ซึ่งเป็นอันดับสองจากท้ายสุด ในขณะที่อเมริกาเหนือมีเพียง 2 ประเทศ แต่มีคะแนนเสียง 943,085 ขณะที่แอฟริกามี 54 ประเทศ แต่มีคะแนนเสียงเพียง 326,033

 

หลังจากเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2007 และเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ครั้งที่สาม (the Third Great Depression) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ตัดสินใจปฏิรูปกระบวนการของตนเอง สาเหตุหลักมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อประเทศใดขอสินเชื่อระยะสั้นจาก IMF ซึ่งควรถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติ แต่กลับทำให้ประเทศนั้นถูกมองว่าเศรษฐกิจแย่ในตลาดทุน เนื่องจากการขอสินเชื่อ นักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณของภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ส่งผลให้ประเทศนั้นต้องกู้ยืมเงินด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และยิ่งทำให้เกิดวิกฤตรุนแรงขึ้น

 

นอกเหนือจากปัญหานี้แล้ว ยังมีประเด็นเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่า ผู้อำนวยการบริหารของ IMF ทุกคนล้วนมาจากประเทศยุโรป ซึ่งหมายความว่า ประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ไม่เคยมีบทบาทในระดับสูงสุดขององค์กร นอกจากนี้ ระบบการลงคะแนนเสียงของ IMF ก็มีปัญหา โดยคะแนนเสียงที่มาจาก “โควตา” (quota votes) ซึ่งพิจารณาจากขนาดเศรษฐกิจและเงินที่ประเทศนั้นให้ IMF ถูกเพิ่มความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่คะแนนเสียงพื้นฐาน “หนึ่งประเทศ หนึ่งเสียง” (basic votes) กลับถูกลดบทบาทลงคะแนนเสียงใน IMF ถูกแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ อย่างแรกคือ Calculated Quota Shares (CQS): คำนวณตามสูตรของ IMF อย่างที่สองคือ Actual Quota Shares (AQS): กำหนดผ่านกระบวนการเจรจาทางการเมือง

 

ตัวอย่างการคำนวนเช่น ในปี 2024 จีนมี AQS ที่ 6.39% ขณะที่ CQS ควรเป็น 13.72% การเพิ่ม AQS ของจีนให้เท่ากับ CQS จะต้องลด AQS ของประเทศอื่นลง โดยเฉพาะสหรัฐฯ ซึ่งมี AQS อยู่ที่ 17.40% และต้องลดลงเหลือ 14.94% เพื่อให้เกิดความสมดุล แต่หากเป็นเช่นนั้น สหรัฐฯ จะสูญเสียอำนาจในการยับยั้ง (veto power) ดังนั้น สหรัฐฯ จึงขัดขวางแผนการปฏิรูป IMF ในปี 2014 และในปี 2023 ความพยายามปฏิรูป IMF ก็ล้มเหลวอีกครั้ง

<อันโตนิโอ ซูซ่า หรือ Antonio Souza (Brazil), Cade minha praia? O mar levou (ชายหาดของฉันหายไปไหน? ทะเลพัดมันไปแล้ว – Where Is My Beach? The Sea Took It Away), 2019. 

 

ในภาพมีข้อความเรียงจากซ้ายบนไปขวาล่างว่า “รัก”, “สันติภาพ”, “พวกเราและท้องทะเล”, “ช่วยกันรักษา”, และ “โลก”>

 

เปาโล โนเกรย์รา บาติสตา จูเนียร์ (Paulo Nogueira Batista Jr.) เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริหารของบราซิลและอีกหลายประเทศใน IMF ตั้งแต่ปี 2007 ถึง 2015 จากนั้นได้ขึ้นเป็นรองประธานธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ระหว่างปี 2015 ถึง 2017 และปัจจุบันเป็นผู้เขียนบทความให้กับ Wenhua Zongheng ซึ่งเป็นวารสารชั้นนำของจีนฉบับนานาชาติ ในบทความสำคัญ A Way out for IMF Reform (มิถุนายน 2024) บาติสตา (Batista) เสนอแผนปฏิรูป IMF 7 ข้อ ดังนี้

 

  1. ลดความเข้มงวดของเงื่อนไขการปล่อยกู้
  2. ยกเลิกค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับเงินกู้ระยะยาว
  3. ส่งเสริมเงินกู้พิเศษเพื่อขจัดความยากจน
  4. เพิ่มงบประมาณรวมของ IMF
  5. เพิ่มอำนาจการลงคะแนนเสียงพื้นฐาน เพื่อให้ประเทศยากจนมีสิทธิ์มีเสียงและมีตัวแทนมากขึ้น
  6. เพิ่มที่นั่งของตัวแทนทวีปแอฟริกาในคณะกรรมการบริหารเป็นสามที่นั่ง
  7. แต่งตั้งตำแหน่งรองผู้อำนวยการบริหารคนที่ห้า โดยให้เป็นตัวแทนจากประเทศยากจน

 

หากประเทศร่ำรวยยังเมินเฉยต่อข้อเสนอพื้นฐานเหล่านี้ บาติสตา (Batista) เตือนว่า “ในที่สุด IMF ก็จะเป็นเพียงสถาบันอันกลวงเปล่าที่มีแต่ประเทศพัฒนาแล้วเป็นเจ้าของ” เขาคาดการณ์ว่า ประเทศในซีกโลกใต้จะออกจาก IMF และสร้างสถาบันการเงินใหม่ภายใต้แพลตฟอร์มใหม่ๆ อย่าง BRICS ซึ่งกระบวนการนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เช่น BRICS และ การจัดตั้งกองทุนเงินสำรองกรณีฉุกเฉิน (CRA) ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2014 หลังจากความล้มเหลวในการปฏิรูป IMF แต่อย่างไรก็ตาม บาติสตา (Batista) ระบุว่า การจัดตั้งกองทุนเงินสำรองกรณีฉุกเฉิน (CRA) แทบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

 

แม้จะมีทางเลือกอื่น แต่ในปัจจุบัน IMF ยังคงเป็นสถาบันเดียวที่ให้เงินทุนในระดับที่ประเทศยากจนต้องการ นั่นเป็นเหตุผลที่แม้แต่รัฐบาลฝ่ายก้าวหน้า เช่น ศรีลังกา ซึ่งดอกเบี้ยเงินกู้คิดเป็น 41% ของงบประมาณทั้งหมดในปี 2025 ศรีลังกาก็ยังต้องเดินทางไปที่กรุงวอชิงตัน พร้อมรอยยิ้มที่ทำเนียบขาว ก่อนเข้าสำนักงานใหญ่ IMF เพื่อขอกู้เงิน

 

ด้วยความนับถือ, 

 

วิเจย์ (Vijay)

 

จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สำคัญและล้ำหน้าที่สุดแล้ว: จดหมายข่าวฉบับที่ 9 (2025)

จีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีที่สำคัญและล้ำหน้าที่สุดแล้ว: จดหมายข่าวฉบับที่ 9 (2025)

<หลิว เสี่ยวตง (Liu Xiaodong) ศิลปินแนวนีโอ-เรียลลิสม์ (China), Diary of an Empty City No. 2, 2015.>

 

ถึงเหล่าเพื่อนรัก,

 

ทักทายจากโต๊ะทำงานของไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม  Tricontinental: Institute for Social Research

ในเดือนแรกที่กลับเข้าทำงานในทำเนียบขาว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ มีท่าทีสนใจในการผนวกกรีนแลนด์และทำข้อตกลงสันติภาพสำหรับยูเครน รวมถึงขอสิทธิเข้าถึงแร่ธาตุและโลหะหายากของยูเครน ข้อสังเกตคือ กรีนแลนด์กลายเป็นประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับการครอบครองแร่ธาตุหายากจำนวนมาก เช่น ไดสโพรเซียม เนโอดิเมียม สแคนเดียม และ ไอทริอัม (ซึ่งมีแร่ธาตุหายากทั้งหมด 17 ชนิดที่เป็นส่วนสำคัญของเทคโนโลยีขั้นสูง) เนื่องจากกรีนแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของเดนมาร์ก จึงต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป (EU) โดยในปี 2011 สหภาพยุโรปได้เผยแพร่รายการวัตถุดิบสำคัญ ซึ่งรวมถึงแร่ธาตุหายาก (rare earth minerals) ดังกล่าว (และวัตถุดิบอื่นๆ ที่มีความสำคัญต่อเทคโนโลยีขั้นสูงและการผลิตในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ) และในปี 2023 สหภาพยุโรปได้ผ่านกฎหมายว่าด้วยวัตถุดิบที่สำคัญของยุโรป (European Critical Raw Materials Act) ซึ่งเรียกร้องให้มีการผลิตแร่ธาตุและโลหะเหล่านี้ในประเทศ และการนำเข้ามายังทวีปยุโรป ส่วนยูเครนนั้นมีแหล่งแร่ธาตุหายากมากมาย (ตั้งแต่แอปาไทต์ถึงซิออน) รวมถึงแหล่งลิเธียมและไททาเนียมด้วย ทรัมป์เรียกร้องให้ยูเครนจ่ายค่าตอบแทนอย่างน้อย 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการสนับสนุนในสงคราม โดยเสนอแลกกับแหล่งแร่ธาตุหายากจากยูเครนซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับเงินจำนวนดังกล่าว “ผมต้องการความมั่นคงด้านแร่ธาตุหายาก” ทรัมป์กล่าวกับนักข่าวในต้นเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งฟังดูเหมือนตัวละครจาก “The Lord of the Rings” เลยทีเดียว


<เฉาเฟย (Cao Fei) ศิลปินมัลติมีเดีย (China),
My Future Is Not a Dream 05, 2006.>

ปัจจุบันทั้งสหรัฐฯ และยุโรปต้องพึ่งพาการนำเข้าแร่ธาตุหายากที่สำคัญเกือบทั้งหมดจากจีน ในช่วงปลายเดือนธันวาคม 2024 จีนตอบโต้การคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ (เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรและภาษีต่อภาคเทคโนโลยีของจีน) ทำให้รัฐบาลจีนสั่งห้ามส่งออกแร่ธาตุบางชนิด เช่น แอนติโมนี แกลเลียม และเยอรมันเนียม รวมถึงวัสดุแข็งพิเศษ (วัสดุที่มีความแข็งมากกว่า 40 กิกะปาสคัล หรือ GPa) ไปยังสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยสหรัฐฯ ได้พยายามขัดขวางการพัฒนาด้านปัญญาประดิษฐ์และอุปกรณ์ผลิตชิปของจีน ด้วยการจำกัดการส่งออกชิปหน่วยความจำแบนด์วิดธ์สูง (HBM) ไปยังจีน ซึ่งความสามารถของจีนในการบีบคั้นห่วงโซ่อุปทานทำให้เกิดวิกฤติในโลกตะวันตก และเป็นเหตุผลให้ทรัมป์ต้องการกรีนแลนด์และแหล่งแร่ธาตุหายากของยูเครน

จากมุมมองด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ การเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในยูเครนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะสหรัฐฯ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากสงครามครั้งนี้ ซึ่งสงครามนี้ได้กลายเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีสำหรับชนชั้นนำยุโรปไปแล้ว หากทรัมป์สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียได้ เขาอาจใช้จุดนี้เพื่อเรียกร้องสิทธิ์เหนือแร่ธาตุและโลหะในยูเครน รวมถึงสิทธิ์ควบคุมทรัพยากรของกรีนแลนด์ (แทนที่จะพยายามผนวกดินแดนดังกล่าวโดยตรง) 

แต่ที่สำคัญที่สุด หากสหรัฐฯ สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัสเซียได้ ก็จะพยายามบ่อนทำลายความเป็นพันธมิตรระหว่างรัสเซียกับจีน กลยุทธ์ทางการทูตนี้เรียกว่า ‘Reverse Kissinger’ (คิสซิงเจอร์กลับด้าน) ซึ่งอ้างอิงจากนโยบายของเฮนรี คิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติภายใต้ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ซึ่งในขณะนั้นสหรัฐฯ พยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน เพื่อทำให้สหภาพโซเวียตโดดเดี่ยวในเวทีระหว่างประเทศ แต่กลยุทธ์ Reverse Kissinger ของทรัมป์พยายามทำตรงกันข้าม โดยมุ่งโดดเดี่ยวจีนแทนที่จะเป็นรัสเซีย ด้วยการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียสั่นคลอน โดยเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2022 จีนและรัสเซียได้ลงนามในข้อตกลงมิตรภาพ ‘ไร้ขีดจำกัด’ (ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อกลยุทธ์ของสหรัฐฯ) โดยต้องการแยกสองประเทศนี้ออกจากกัน ยี่สิบวันต่อมา กองทหารรัสเซียบุกยูเครน และแม้ว่าจีนจะมีความกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ แต่จีนก็สนับสนุนรัสเซียตลอดช่วงสงคราม ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่รัสเซียจะยอมรับกลยุทธ์ Reverse Kissinger นี้ แม้ว่าจะมีกลุ่มชนชั้นนำบางส่วนในรัสเซียที่กระตือรือร้นที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับตะวันตกก็ตาม

‘Reverse Kissinger’ เป็นกลยุทธ์ทางการทูตที่พยายามใช้วิธีการของคิสซิงเจอร์ในอดีต แต่กลับด้านเป้าหมายจากเดิม โดยมุ่งเน้นไปที่การแยกรัสเซียออกจากจีน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดพันธมิตรที่ทรงพลังซึ่งอาจเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก

สหรัฐฯ ไม่เสียประโยชน์ใด ๆ หากบังคับให้เกิดการหยุดยิงในยูเครน เพราะรัสเซียไม่ได้เป็นภัยคุกคามสำคัญต่อการครองความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกของสหรัฐฯ รัสเซียเป็นเพียงผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ แร่ธาตุ และโลหะต่าง ๆ เท่านั้น สหรัฐฯ รู้ดีว่ารัสเซียจะไม่โจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำลายตนเอง และสหรัฐฯ ก็เข้าใจว่ารัสเซียเพียงต้องการหลักประกันด้านความมั่นคงว่า เมืองของตนจะไม่ถูกคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลางที่ประจำการในประเทศเพื่อนบ้าน

 

อย่างไรก็ตาม จีนถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรงและอาจสั่นคลอนสถานะอำนาจของตนได้อย่างแท้จริง ในช่วงไม่กี่สัปดาห์หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มประกาศขึ้นภาษีและพูดถึงการผนวกที่เป็นไปได้ บางอย่าง มีบริษัทขนาดเล็กจากจีนแห่งหนึ่งได้เปิดตัว DeepSeek ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์แบบโอเพนซอร์ส ซึ่งมีประสิทธิภาพเหนือกว่า ChatGPT ของสหรัฐฯ ในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านเทคนิคและคณิตศาสตร์ ในขณะเดียวกัน เมื่อเกิดกระแสการแบน TikTok ในสหรัฐฯ ผู้ใช้งานชาวอเมริกันกลับไม่ได้หันไปใช้แอปของตะวันตก แต่หันไปใช้แอพ Xiaohongshu (หรือ Red Note) ของจีนแทน นอกจากนี้ จีนยังมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ด้านพลังงานฟิวชั่น โดยอุปกรณ์ฟิวชัน Experimental Advanced Superconducting Tokamak (EAST) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “ดวงอาทิตย์เทียม” ของจีนสามารถสร้างพลาสมาสภาวะกักกันสูง ได้นานถึง 1,066 วินาที ซึ่งทำลายสถิติก่อนหน้าของโครงการ EAST ในปี 2023 อยู่ที่ 403 วินาที ตามรายงานของ Physics World ความก้าวหน้าครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการสร้างโรงไฟฟ้าฟิวชัน ซึ่งเป็นพลังงานคาร์บอนต่ำที่เกือบไร้ขีดจำกัด มีศักยภาพในการผลิตพลังงานสะอาดและปราศจากกากกัมมันตรังสีที่เป็นอันตราย

EAST – เป็นเตาปฏิกรณ์แบบโทคาแมค (Tokamak) 

ที่จำลองการเกิดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน ในนครเหอเฝย ภาคตะวันออกของประเทศจีน วัตถุประสงค์หลักในการสร้างดวงอาทิตย์เทียมเพื่อผลิตพลังงานสะอาดที่จะนำมาทดแทนพลังงานฟอสซิล น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติที่อาจจะหมดไปในไม่ช้า

CREATOR: gd-jpeg v1.0 (using IJG JPEG v62), quality = 82

<หยู ฮง (Yu Hong) ศิลปินร่วมสมัย (China), A Man Playing the Hula Hoop, 1992.>

 

ความก้าวหน้าเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการวางแผนระยะยาวของรัฐบาลจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ นับตั้งแต่ยุคปฏิรูปในปี 1978 จีนได้วางนโยบายอย่างระมัดระวังในการเปิดรับทุนและอุตสาหกรรมจากต่างประเทศ โดยยืนยันว่า ต้องเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจจีนเท่านั้น ผลประโยชน์ดังกล่าวมาในรูปแบบของ การถ่ายโอนเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดจีน ซึ่งบริษัทจากประเทศพัฒนาแล้ว อย่างซีกโลกเหนือ (Global North) ยอมรับเงื่อนไขนี้เพราะต้องการแรงงานที่มีคุณภาพและค่าแรงที่ต่ำ รัฐบาลจีนยัง ลงทุนในระบบการศึกษาระดับสูง ให้สิ่งจูงใจแก่ภาคเอกชนในการสร้างนวัตกรรม และใช้รายได้ส่วนเกินจากการส่งออกมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน นโยบายเหล่านี้ทำให้อุตสาหกรรมของจีนสามารถ พัฒนากำลังการผลิต ได้อย่างก้าวกระโดด โดยไม่ต้องพึ่งพาการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นหรือเทคโนโลยีล้าสมัยอีกต่อไป

 

เมื่อประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ใช้คำว่า ‘กำลังการผลิตคุณภาพใหม่’ (new quality productive forces) ระหว่างการเยือนมณฑลเฮยหลงเจียงในเดือนกันยายน 2023 แนวคิดนี้ได้กลายเป็นจริงแล้วในโรงงานแห่งใหม่ทั่วประเทศจีน ซึ่งหลายแห่งเป็น ‘โรงงานมืด’ (dark factories) หรือโรงงานที่ใช้ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องใช้คนงานเลย จากนั้นในเดือนมีนาคม 2024 ในการประชุมสองสภา (Two Sessions) ซึ่งเป็นการประชุมใหญ่ประจำปีของจีน คำว่า ‘กำลังการผลิตคุณภาพใหม่’ ก็ได้ถูกบรรจุลงในรายงานการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ต่อมาในการประชุม Third Plenum ในเดือนกรกฎาคม 2024 แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาต่อ โดยเน้นไปที่การบุกเบิกเทคโนโลยีใหม่อย่างปฏิวัติวงการ การจัดสรรกำลังการผลิตอย่างสร้างสรรค์ การปรับเปลี่ยนและยกระดับอุตสาหกรรมอย่างลึกซึ้ง สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของจีนในการผลักดันนวัตกรรมและพัฒนาอุตสาหกรรมของตนให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น

 

การประชุมสองสภา เป็นการประชุมทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของจีน ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในกรุงปักกิ่ง เป็นเวทีที่รัฐบาลจีนแถลง รายงานการทำงานประจำปี ซึ่งสรุปผลงานที่ผ่านมาและประกาศนโยบายสำคัญในปีถัดไป เช่น แผนเศรษฐกิจ งบประมาณ การปฏิรูป และกฎหมายใหม่

<ฟาง ลีจุน (Fang Lijun) ศิลปินร่วมสมัย (China), Series 2 No. 10, 1992–1993.>

 

สถาบันนโยบายยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute – ASPI) ซึ่งก่อตั้งโดยรัฐบาลออสเตรเลียในปี 2001 และได้รับเงินสนับสนุนบางส่วนจากกองทัพออสเตรเลีย ได้พัฒนาเครื่องมือติดตามเทคโนโลยีสำคัญ (Critical Technology Tracker) เพื่อติดตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสำคัญ 64 ประเภทอย่างใกล้ชิด รายงานล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2024 จากสถาบัน ASPI ได้นำเสนอการประเมินผลผลตลอดระยะเวลา 21 ปี เกี่ยวกับความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีข้างต้นของแต่ละประเทศ โดยพบว่า 

 

ระหว่างปี 2003 ถึง 2007 สหรัฐอเมริกาครองความเป็นผู้นำใน 60 จาก 64 เทคโนโลยี ขณะที่จีนเป็นผู้นำเพียง 3 เทคโนโลยีเท่านั้น แต่ระหว่างปี 2019 ถึง 2023 สหรัฐฯ กลับเป็นผู้นำเหลือเพียง 7 เทคโนโลยี จาก 64 เทคโนโลยี ขณะที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำถึง 57 เทคโนโลยี

 

จีนเป็นผู้นำในเทคโนโลยีที่หลากหลาย เช่น การออกแบบและผลิตวงจรรวมขั้นสูง (ชิปเซมิคอนดักเตอร์) เซ็นเซอร์ตรวจจับแรงโน้มถ่วง การประมวลผลสมรรถนะขั้นสูง เซ็นเซอร์ควอนตัม และเทคโนโลยีปล่อยยานอวกาศ ในขณะเดียวกัน สหรัฐฯ เป็นผู้นำในเทคโนโลยีบางประเภท เช่น นาฬิกาอะตอม วิศวพันธุกรรม การแพทย์นิวเคลียร์และการรักษาด้วยรังสีบำบัด การประมวลผลควอนตัม ดาวเทียมขนาดเล็ก และวัคซีนกับมาตรการตอบโต้ทางการแพทย์ รายงานระบุว่า “การลงทุนมหาศาลและการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่มีมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษของจีนกำลังให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าอย่างเป็นรูปธรรม” ความมุ่งมั่นในการสร้างนวัตกรรมได้แพร่ขยายไปทั่วสังคมจีน ใน เขตใหม่หลิงกั่ง (Lingang New Area) ที่นครเซี่ยงไฮ้ รัฐบาลท้องถิ่นได้วางนโยบายเพื่อพัฒนาเขตอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพการประมวลผลขั้นสูง โดยมุ่งเน้นการเร่งนวัตกรรมทางอุตสาหกรรมด้วยกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ (new quality productive forces) ที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว 

 

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศลดงบประมาณการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก บทความของ Chatham House ที่ตีพิมพ์ในช่วงปลายเดือนมกราคม มีหัวข้อที่สะดุดตาว่า “โลกควรให้ความสำคัญกับความเป็นไปได้ที่จีนจะครองอำนาจด้านผู้นำทางเทคโนโลยี และเริ่มเตรียมความพร้อมตั้งแต่ตอนนี้” ที่น่าสนใจคือ หัวข้อบทความไม่ได้เน้นที่สหรัฐฯ โดยตรง แต่เน้นไปที่ ‘โลก’ แทน เพราะผู้เขียนกังวลว่า ‘ในสถานการณ์ที่รุนแรงที่สุด จีนอาจแซงหน้าสหรัฐฯ ได้อย่างรวดเร็ว’

< หลิว เซ่น (Liu Wei) ศิลปินแนวสะท้อนประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน (China), Revolutionary Family, 1992.>

 

ในปี 1891 กวีและนักการทูตในช่วงปลายราชวงศ์ชิง หวง จุนเซี่ยน (黄遵宪, 1848–1905) ได้ขึ้นลิฟต์ไปยังหอชมวิวของหอไอเฟล (ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการสองปีก่อนหน้านั้น) หวงได้เขียนบทกวีชื่อ ‘เมื่อขึ้นไปบนหอไอเฟล’ (登巴黎铁塔) เพื่อบรรยายถึงทิวทัศน์อันน่าทึ่งที่เขาได้เห็นจากบนนั้น โดยมองลงมาเห็น ‘ผืนดินอันอุดมสมบูรณ์กว่าล้านเอเคอร์’ แม้ว่าจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้เขาได้เพลิดเพลินกับทิวทัศน์นี้ ซึ่งทำให้เขาประทับใจ แต่กลับไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจเท่ากับสิ่งที่อยู่บนพื้นดินเบื้องล่าง

 

ยุโรปเป็นสมรภูมิที่สลักรอยเท้าแห่งสงครามมานับศตวรรษ

ผู้คนที่นี่หล่อหลอมด้วยการต่อสู้ และมิใช่ผู้ที่ยอมอ่อนข้อโดยง่าย

บัดนี้ จักรพรรดิทั้งหกได้แบ่งทวีปออกเป็นเสี่ยง

แต่ละพระองค์ล้วนหลงใหลในอำนาจและต่างทระนงว่าตนคือผู้นำที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก

แท้จริงแล้ว พวกเขาก็เป็นเพียงราชาในโลกแคบของตนเอง

ที่ใช้ชีวิตมัวเมาไปกับการไล่ล่าชัยชนะและความปราชัยที่ไร้ความหมาย

 

ทุกวันนี้ สิ่งที่เปลี่ยนไปมีเพียงถ้อยคำที่ใช้ในสมรภูมิเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องภาษีศุลกากร มาตรการบีบบังคับเพียงฝ่ายเดียว ขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง และระบบป้องกันไอรอนโดม 

 

ในช่วงการระบาดใหญ่ คำขวัญในหมู่พันธมิตรของสหรัฐฯ อย่างอินเดียคือ ‘ร่วมมือ ไม่ใช่เผชิญหน้า’ โลกคงจะดีกว่านี้ หากสหรัฐฯ เลือกที่จะร่วมมือกับจีนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทั้งโลก แทนที่จะพยายามบีบให้จีนถอยหลังในการพัฒนา

ในช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ คำขวัญในประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ เช่น อินเดีย คือ “การร่วมมือกัน ไม่ใช่เผชิญหน้า” จะดีกว่ามากหากสหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะร่วมมือกับจีนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของโลก แทนที่จะพยายามบังคับให้จีนถอยหลังด้านการพัฒนา

ด้วยความนับถือ, 

 

วิเจย์ (Vijay)

 

เราต้องการสร้างชุมชนนักอ่าน ไม่ใช่เปลี่ยนนักอ่านให้เป็นสินค้า: จดหมายข่าวฉบับที่แปด (2025)

เราต้องการสร้างชุมชนนักอ่าน ไม่ใช่เปลี่ยนนักอ่านให้เป็นสินค้า: จดหมายข่าวฉบับที่แปด (2025)


<Katsukawa Shunshō หรือ ชุนโช คัตสึกาวะ จิตรกรและช่างพิมพ์ยุคเอโดะ (Japana),
Japanese Women Reading and Writing, c. 1776.>

 

เราต้องการสร้างชุมชนนักอ่าน ไม่ใช่เปลี่ยนนักอ่านให้เป็นสินค้า: จดหมายข่าวฉบับที่แปด (2025)

 

ถึงเหล่าเพื่อนรัก,

 

สวัสดี ทักทายจากโต๊ะทำงานของไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม

 

มีบางวันที่เหตุการณ์ต่าง ๆ ถาโถมเข้ามาจนทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้ง ผมพยายามหาวิธีหลบไปสู่มุมสงบเงียบ และดำดิ่งสู่โลกของหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นนวนิยายหรือหนังสือประวัติศาสตร์ก็ตาม ตราบใดที่ผู้เขียนสามารถสร้างโลกที่พาผมหนีจากความโหดร้ายที่ท่วมท้นไปยังเกาะแห่งจินตนาการได้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผมอ่านนวนิยายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนวนิยายสืบสวนของญี่ปุ่นซึ่งชื่นชอบเป็นพิเศษ และพบว่า ตัวละครเหล่านั้นบางครั้งทำให้ผมหัวเราะ บางครั้งก็ทำให้ขมวดคิ้วด้วยความฉงน ความวิปลาสบ้าคลั่งไม่ใช่สิ่งใหม่ในโลกของเรา มันมีอยู่เสมอมาตั้งแต่ในอดีต

 

ตรงหน้าผมมีนวนิยายสืบสวนหลายเล่ม อาทิของคุณเซอิโช มัตสึโมโตะ (Seichō Matsumoto) ชื่อหนังสือ Ten to Sen หรือ Points and Lines ตีพิมพ์ในปี 1958 และ Suna no Utsuwa หรือ Inspector Imanishi Investigates ตีพิมพ์ในปี 1960–1961 หนังสือ Kuroi Hakucho หรือ The Black Swan Mystery ของคุณเท็ตสึยะ อายูกาวะ (Tetsuya Ayukawa) ตีพิมพ์ปี 1961 ซึ่งล้วนเป็นนวนิยายสืบสวนที่เขียนขึ้นหลังจากสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิในปี 1945 หนังสือเหล่านี้และภาพยนตร์ในยุคเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่อง Gojira หรือ ก็อดซิลล่า ซึ่งกำกับและร่วมเขียนบทโดยอิชิโระ ฮอนดะ (Ishirō Honda) ในปี 1954 ต่างสะท้อนความหวาดกลัว ความสูญเสีย และการต่อสู้เพื่อฟื้นฟูชีวิตในสังคมญี่ปุ่นหลังการทิ้งระเบิดปรมาณู 

 

ผมจินตนาการเห็นนักเขียนเหล่านี้ในเมืองที่ถูกทำลายจากสงคราม ถือปากกาและกระดาษที่มีอยู่เพียงน้อยนิด พยายามสะท้อนภาพสังคมของพวกเขาผ่านงานเขียน ตัวละครนักสืบในเรื่องมักเป็นชายชนชั้นแรงงานที่มีนิสัยเคร่งขึม ต้องเผชิญหน้ากับความทะนงตัวหยิ่งยโสของตระกูลเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยฝังรากลึกอยู่ในระบอบฟาสซิสต์ แต่บัดนี้ได้พลิกโฉมตนเองเป็นนายทุนที่มีอิทธิพลและปรับตัวเก่ง อย่างไรก็ตาม นักเขียนเหล่านี้ก้าวเข้ามาหลังจากที่เสียงระเบิดได้เปล่งออกมาจากใจกลางฮิโรชิมา โดยกวีผู้กล้าหาญอย่างซังคิจิ โทเกะ หรือ Sankichi Tōge (1917–1953) และซาดาโกะ คูริฮาระ หรือ Sadako Kurihara (1913–2005) ซึ่งทั้งคู่เป็นเหยื่อของระเบิดปรมาณู โดยเขียนบทกวีขณะที่รังสีจากระเบิดปรมาณูยังคงแผ่คลุมอยู่เหนือบ้านของพวกเขา โดยในเดือนธันวาคมปี 1945 คูริฮาระ (Kurihara) ได้เขียนบทกวีที่เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนและความสงบเรียบง่าย ชื่อว่า ‘เสียงกังวานของเด็กน้อย’ (The Children’s Voices)

 

ในยามบ่ายอันอบอุ่นของฤดูหนาว

ฉันกำลังง่วนอยู่กับการดูแลแปลงผักในสวน

มัวแต่หลงอยู่ในความคิดฟุ้งซ่าน จนเผลอละเลยมันไปนาน

ปีนี้แสงแดดช่างแรงกล้าเหลือเกิน

ก่อนที่จะรู้ตัว วัชพืชก็ขึ้นเต็มสวนไปหมด

 

ปกติแล้ว ฉันดูแลสวนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเช้าตรู่และยามเย็น

แต่ช่วงนี้ใจฉันไม่สงบกระสับกระส่าย จึงหยุดดูแลไป

ทำไมกันนะ? ฉันถอนวัชพืชไปพลางครุ่นคิด

 

“แม่จ๋า!” เสียงใส ๆ ของเด็ก ๆ ดังขึ้นอย่างตื่นเต้น

พวกเขากลับมาจากโรงเรียนแล้ว

โอ้… เสียงของพวกเขาช่างบริสุทธิ์และใสซื่อเหลือเกิน!

 

จากนี้ไป แม่จะไม่ปล่อยให้ความคิดฟุ้งซ่าน

ทำให้วัชพืชขึ้นรกในสวนของเราอีกแล้ว

สวนของเราจะไม่มีวัชพืชแม้แต่ต้นเดียว

 

บทกวีชื่อ เสียงกังวานของเด็กน้อย (The Children’s Voices) เป็นบทกวีที่สะท้อนความเจ็บปวดจากสงคราม แต่ยังคงมุ่งหวังให้เกิดสันติภาพและการฟื้นฟู โดยใช้เสียงของเด็กเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลง คูริฮาระใช้บทกวีเพื่อบันทึกความทรงจำของเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูและส่งเสริมการตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของสงคราม

 

ในปี 1949 นักมาร์กซิสต์ชาวเยอรมันชื่อ ธีโอดอร์ อดอร์โน (Theodor Adorno) ได้เขียนบทความวิจารณ์วัฒนธรรมว่า “การเขียนบทกวีหลังเหตุการณ์เอาช์วิทซ์เป็นเรื่องโหดร้ายป่าเถื่อน” แน่นอนว่า อดอร์โนไม่ได้ต้องการสื่อว่า บทกวีใด ๆ ที่เขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) เป็นเรื่องโหดร้ายทั้งหมด เพราะเพื่อนสนิทของเขาอย่าง แบร์ทอลท์ เบรชท์ (Bertolt Brecht) ก็ได้เขียนบทกวีที่งดงามหลายชิ้นหลังสงคราม โดยอดอร์โนพยายามชี้ให้เห็นว่า *อุตสาหกรรมวัฒนธรรม (culture industry) ได้กลืนกินทุกสิ่งที่ดีงามในโลกและแปรเปลี่ยนให้มันกลายเป็นสินค้าขายได้ ศิลปะที่ควรมีพลังในการจุดประกายความคิดและเปิดโลกทัศน์ กลับถูกทำให้กลายเป็นเพียงวัตถุเชิงพาณิชย์ แม้ความมองโลกในแง่ร้ายของอาดอร์โนอาจจะเกินจริงไป แต่ความจริงก็ยังแสดงให้เห็นว่า งานศิลปะยังคงรักษาคุณค่าที่ลึกซึ้งได้ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ แม้บทกวีของคุริฮาระจะถูกเซ็นเซอร์ในช่วงที่สหรัฐฯ ยึดครองญี่ปุ่น แต่ยังคงถูกอ่านและเป็นเสียงสะท้อนในพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ และในที่สุดก็ถูกบรรจุไว้ในหลักสูตรการศึกษาของเด็ก ๆ ทั้งในญี่ปุ่นและหลายประเทศทั่วโลก จิตสำนึกทางศิลปะที่ต้องการเห็นโลกนี้ดีขึ้น ยังคงมุ่งมั่นสร้างชุมชนแห่งความคิดและความรู้สึกเชื่อมโยงกัน แทนที่จะมุ่งผลิตเพียงสินค้าขายได้เท่านั้น

 

**อุตสาหกรรมวัฒนธรรม เป็นกระบวนการที่วัฒนธรรมถูกแปลงเป็นสินค้าและถูกใช้เพื่อรักษาสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจในระบบทุนนิยม เช่น โฆษณา ภาพยนตร์ โทรทัศน์ แนวคิดนี้ปรากฏในหนังสือ “Dialectic of Enlightenment” (1947)

 

ในบทความล่าสุดของเราชื่อ “ความสุขในการอ่าน” (The Joy of Reading) เราอยากส่งเสริมความรู้สึกนี้: เพราะเราเชื่อว่าการอ่านสามารถสร้างชุมชนที่มีความสุขได้ บทความนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการรู้หนังสือที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมประชาธิปไตย ซึ่งไม่ใช่แค่การสอนให้คนเขียนชื่อตัวเองได้เท่านั้น แต่คือการให้ทุกคนมีสิทธิ์เข้าถึงห้องสมุดสาธารณะและขยายจินตนาการของตัวเองไปตลอดชีวิต ในบทความนี้ เราได้ยกตัวอย่างโครงการรณรงค์ส่งเสริมการอ่านในเม็กซิโก จีน และรัฐเกรละในอินเดีย ซึ่งการรณรงค์เหล่านี้ เกิดขึ้นจากขบวนการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม ที่ไม่เพียงแค่มุ่งหวังอิสรภาพจากลัทธิอาณานิคมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างสังคมที่ทุกคนมีการศึกษาทางการเมืองและวัฒนธรรมในระดับสูง เพื่อให้ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมถกเถียงอภิปรายทางสังคมได้อย่างเท่าเทียมกัน ไม่ใช่แค่ผู้ยืนชมที่ถูกชี้นำจากชนชั้นนำ

<เฟอร์นองด์ เลเฌร์ หรือ Fernand Léger จิตรกรสไตล์คิวบิสม์ (France), Woman with a Book, 1923.>

 

เมื่อเราถาม ปาโลมา ไซซ์ เตเฆโร (Paloma Saiz Tejero) นักเขียนชาวเม็กซิโกจากกลุ่ม Brigada para Leer en Libertad (กองกำลังอ่านเพื่ออิสรภาพ) เกี่ยวกับความสำคัญของการอ่าน เธอตอบว่า:

 

> “ประชาชนที่รักการอ่านหนังสือคือคนที่ฝึกการมีความคิดเชิงวิพากษ์ (critical thinking) และกล้าฝันถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นคนที่รู้ประวัติศาสตร์ของตนและยอมรับมัน รู้สึกภาคภูมิใจในรากเหง้าของตน การอ่านช่วยสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม แบ่งปันประสบการณ์และข้อมูล หนังสือคือประตูสู่ความเข้าใจในตัวตนและประวัติศาสตร์ของเรา ช่วยให้จิตวิญญาณของเราเติบโตไปไกลเกินกว่าขอบเขตของเวลาและสถานที่ การอ่านสร้างพลเมืองที่ตื่นรู้ ให้เราเชื่อในความฝันที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ให้เรากล้าที่จะถามในสิ่งที่คนอื่นอาจมองข้าม และทำให้เราเป็นพลเมืองที่รู้จักทั้งสิทธิและหน้าที่ของตนเอง การอ่านคือพลังที่พัฒนาทั้งตัวบุคคลและสังคม โดยปราศจากการอ่าน สังคมจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้”

 

สิ่งที่กลุ่มกองกำลังอ่านเพื่ออิสรภาพ หรือ Brigada para Leer en Libertad ทำในเม็กซิโกไม่แตกต่างจากการเคลื่อนไหวของห้องสมุดสาธารณะในจีนและอินเดียมากนัก โดยมีการจัด Indian Library Congress ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มของขบวนการคอมมิวนิสต์ในอินเดีย จัดขึ้นครั้งแรกในเดือนมกราคม 2023 และได้กลายเป็นกิจกรรมประจำปี หนึ่งในภารกิจของงานนี้คือการรับรองตามที่สภาฯ ได้มุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนห้องสมุดให้เป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับชุมชนและเป็นศูนย์กลางพัฒนาวัฒนธรรม และเป็นศูนย์กลางสำหรับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การฉายภาพยนตร์ กีฬา งานศิลปะ เทศกาล และการฝึกอบรมวิชาชีพ นอกจากนี้ควรมีการจัดตั้งศูนย์สุขภาพและชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ใกล้กับห้องสมุดเหล่านี้’ ในทำนองเดียวกัน ในทั้งพื้นที่ชนบทและเมืองของจีน ห้องสมุดสาธารณะเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและเป็นสถานที่ให้ความรู้แก่ประชาชน

 

ในประเทศเหล่านี้ ห้องสมุดสาธารณะไม่ได้ถือกำเนิดจากนโยบายของรัฐ แต่เติบโตจากความตั้งใจของประชาชน เรื่องราวจากในรัฐเกรละ (Kerala) เป็นตัวอย่างที่งดงาม ราธา วี. พี. หญิงวัย 60 ปีที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายในฐานะคนงานมวนบุหรี่ (บุหรี่มวนมือ หรือ Beedi) เธอเริ่มรักการอ่านจากการอ่านนิตยสารรายสัปดาห์ของพรรคคอมมิวนิสต์อินเดีย (มาร์กซิสต์) ในเวลาว่างอันน้อยนิดของเธอ แล้วเข้าร่วมกับหน่วยห้องสมุดเคลื่อนที่ เธอจะนำหนังสือใส่ย่ามไปให้คนในชุมชนยืมและคืนหนังสือกลับมา โดยเฉพาะผู้หญิงและผู้สูงอายุ “ฉันไม่เคยรู้สึกว่าย่ามนั้นหนักเลย” เธอกล่าว “เพราะกลิ่นของหนังสือทำให้ฉันมีความสุขอย่างเหลือเชื่อ”

 

บทความฉบับนี้ปิดท้ายด้วยส่วนที่กล่าวถึง “วันหนังสือสีแดง” (Red Books Day) ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เพื่อรำลึกถึงวันครบรอบการตีพิมพ์เผยแพร่ “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) และ “วันภาษามาตุภูมิสากล” (International Mother Language Day) วันหนังสือแดงเป็นกิจกรรมที่ริเริ่มโดยสังคมผู้จัดพิมพ์ฝ่ายซ้ายของอินเดียในปี 2020 และต่อมาโดย สหภาพผู้จัดพิมพ์ฝ่ายซ้ายสากล (IULP) เพื่อสนับสนุนให้ผู้คนจัดงานเทศกาลและกิจกรรมอ่านหนังสือสีแดงที่พวกเขาชื่นชอบ งานนี้ได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างมาก โดยเมื่อปีที่แล้วมีผู้เข้าร่วมมากกว่าหนึ่งล้านคนจากทั่วโลก ตั้งแต่ประเทศอินโดนีเซียไปจนถึงคิวบา ศิลปะในบทความนี้มาจาก ปฏิทินวันหนังสือแดงปี 2025 ซึ่งสามารถดาวน์โหลดในรูปแบบภาษาอังกฤษและสั่งซื้อได้ทั่วโลกจากสมาชิกของ IULP ตั้งแต่ Marjin Kiri (อินโดนีเซีย) ไปจนถึง Inkani Books (แอฟริกาใต้) และ La Trocha (ชิลี)

 

วันหนังสือสีแดงเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มความสุขในการอ่านหนังสือ และทำให้ผู้คนกลับมามีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันอีกครั้ง เราหวังว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ผู้คนหลายล้านคนทั่วโลกจะมารวมตัวกันในที่สาธารณะเพื่อฉลองวันหนังสือสีแดง ไม่ว่าจะเป็นขบวนพาเหรดในเทศกาลคาร์นิวัลที่บราซิลที่มีหนังสือสีแดงเล่มยักษ์อยู่บนรถบรรทุก หรือคนที่ห้องสมุดในรัฐเกรละที่เอาเก้าอี้มาตั้งกลางถนนแล้วนั่งอ่านหนังสือให้กันฟัง พร้อมกับเสียงกลองไม้พื้นเมือง “อิดักกา (idakka)” ที่ช่วยเพิ่มบรรยากาศ 

 

 

(India), 100% Literacy (Folklore Kerala Series), 2010.>

 

เพื่อช่วยส่งเสริมความสุขในการอ่านและทำให้ผู้คนกลับมามีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน สถาบันของเราขอเชิญชวนให้ผู้อ่านลองตั้งกลุ่มอ่านหนังสือ “วงอ่านหนังสือไตรทวีป (Tricontinental Reading Circle)” โดยรวมตัวกับเพื่อน ๆ หรือเพื่อนร่วมงานในพื้นที่ของคุณ และนัดพบกันเดือนละครั้งเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเอกสารหรือสิ่งพิมพ์อื่น ๆ ของเรา การอ่านและพูดคุยร่วมกันเป็นวิธีที่ดีในการเสริมสร้างความรู้และมุมมองใหม่ ๆ หากคุณตั้งกลุ่มวงอ่านหนังสือไตรทวีปแล้ว อย่าลืมแจ้งให้เราทราบที่ circle@thetricontinental.org

 

ด้วยความนับถือ, 

 

วิเจย์ (Vijay)

ผืนน้ำที่ใสสะอาดและขุนเขาอันเขียวขจี ล้ำค่าเช่นเดียวกับภูเขาทองภูเขาเงิน: จดหมายข่าวฉบับที่เจ็ด (2025)

ผืนน้ำที่ใสสะอาดและขุนเขาอันเขียวขจี ล้ำค่าเช่นเดียวกับภูเขาทองภูเขาเงิน: จดหมายข่าวฉบับที่เจ็ด (2025)

ในแต่ละสัปดาห์ เราจะเผยแพร่จดหมายข่าวจากพันธมิตรของเรา “ไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม (The Tricontinental: Institute for Social Research)” ซึ่งนำเสนอการวิเคราะห์ที่เฉียบคมเกี่ยวกับพัฒนาการร่วมสมัย รวมถึงการต่อสู้ในที่ต่างๆ และความขัดแย้งในยุคสมัยปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังเผยแพร่ไฮไลท์สื่อสิ่งพิมพ์ที่เพิ่งเปิดตัว และเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกับงานของนักคิดฝ่ายซ้ายและสถาบันวิจัยจากทั่วทุกมุมโลก


 


<หวง ยู่ซิง ศิลปิน (จีน), ชื่อภาพ ดินแดนแห่งการเจริญเติบโต (
Land of Growth), 2015–2016.>

<จิตรา คเณศ (สหรัฐอเมริกา), ชื่อภาพ Sultana’s Dream, 2018, ชุดภาพพิมพ์แกะยาง (linocuts) จำนวน 27 ภาพ จัดพิมพ์โดย Durham Press, © จิตรา คเณศ>

**จิตรา คเณศ (Chitra Ganesh) ศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ผลงานของเธอสะท้อนและตั้งคำถามในสังคม ทางการเมือง และสนับสนุนสตรีนิยม ดูเพิ่มเติม

 

ผืนน้ำที่ใสสะอาดและขุนเขาอันเขียวขจี ล้ำค่าเช่นเดียวกับภูเขาทองภูเขาเงิน: จดหมายข่าวฉบับที่เจ็ด (2025)

 

ถึงเหล่าเพื่อนรัก,

 

สวัสดี ทักทายจากโต๊ะทำงานของไตรทวีป: สถาบันวิจัยทางสังคม  Tricontinental: Institute for Social Research

 

หลงทางอยู่ในม่านหมอกแห่งความต่ำต้อยกว่าที่ลัทธิล่าอาณานิคมสร้างขึ้น นักเขียนทั่วเอเชียต่างจินตนาการถึงโลกที่อยู่เหนือเงื้อมมือการทำลายล้างของจักรวรรดินิยม

 

ในปี 1835 กีลาส จันทรา ดัตต์ หรือ Kylas Chunder Dutt (1817–1859) ได้เขียนเรื่องราวอันน่าทึ่งชื่อ “บันทึก 48 ชั่วโมงในปี 1945 ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ใน The Calcutta Literary Gazette งานเขียนชิ้นนี้ได้รับการเผยแพร่ ขณะที่จูลส์ เวิร์น หรือ Jules Verne (1828–1905) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดังชาวฝรั่งเศส (ผู้ได้รับยกย่องให้เป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์) ยังเป็นเด็กชายอายุเพียงเจ็ดขวบ ซึ่งเรื่องราวที่ดัตต์เขียนไม่ได้เป็นนิยายวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง ส่วนใหญ่เป็นการมองถึงอนาคตข้างหน้า ดัตต์ นักเขียนหนุ่มวัย 18 ปีนี้เปิดเรื่องด้วยประโยคที่ว่า:

“ประชาชนชาวอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้คนในเมืองหลวง ต้องตกอยู่ภายใต้การกดขี่ทุกรูปแบบมาเนิ่นนานกว่าห้าสิบปี… ทว่า ด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้าแลบ จิตวิญญาณแห่งการกบฏได้แผ่ขยายไปในหมู่ประชาชน ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้รักสงบสันติ” แต่เวลานี้ พวกเขาพร้อมที่จะก่อกบฏแล้ว นิยายดังกล่าวแสดงภาพช่วงสองวัน (ตามชื่อเรื่อง บันทึก 48 ชั่วโมง) ในปี 1945 ให้เราเห็น โดยมีชายหนุ่มวัย 25 ปีชื่อ ภูพรรณ โมหันต์ (Bhoobun Mohun) เป็นผู้นำการลุกฮือต่อต้านการปกครองของอังกฤษ แต่ท้ายที่สุดเขาพ่ายแพ้และถูกประหารชีวิต

 

ในช่วงหลายทศวรรษต่อมา มีหนังสือสำคัญหลายเล่มปรากฏขึ้นในแคว้นเบงกอล ซึ่งล้วนจินตนาการถึงโลกที่ไม่ตกอยู่ภายใต้อาณานิคม เช่น ลูกพี่ลูกน้องของดัตต์ ชื่อ โชชี จันทรา ดัตต์ (Shoshee Chunder Dutt) ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ “สาธารณรัฐโอริสสา: บันทึกจากหน้าประวัติศาสตร์แห่งศตวรรษที่ยี่สิบ” ในปี 1845

เฺฮมลาล ดัตตา (Hemlal Dutta) ตีพิมพ์ “รหัสลับ (Rahasya)” ในปี 1882 ปันฑิต อัมพิกา ดัตต์ วยาส (Pandit Ambika Dutt Vyas) ตีพิมพ์ “อัศจรรย์วฤตตานต์ (Ascharya Vrittant) หรือ  เรื่องเล่าอันแปลกประหลาด” ในช่วงปี 1884–1888 จักรดิษฐ์ จันทรา โบส (Jagdish Chandra Bose) ตีพิมพ์ “นิรุทเทศร กาฮินี (Niruddesher Kahini) หรือ เรื่องราวของผู้ที่หายไป” ในปี 1896 เบกุม โรเกยา สะคาวาต ฮุสเซน (Begum Rokeya Sakhawat Hossain) ตีพิมพ์ “ความฝันของสุลตานา (‘Sultana’s Dream’)” ในปี 1905  

 

นิยายของเบกุม โรเกยา นับว่าเป็นนิยายแนววิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง เธอจินตนาการถึงโลกอนาคตที่มีเทคโนโลยี (อาทิ รถยนต์บินได้  พลังงานแสงอาทิตย์ และหุ่นยนต์ทำการเกษตรกรรม) ช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากระบบปิตาธิปไตย (ชายเป็นใหญ่) ได้

 

เช่นเดียวกับผลงานต่างๆ ที่ผุดขึ้นในอินเดีย เหล่านักเขียนชาวจีนซึ่งต้องทนทุกข์ภายใต้ราชวงศ์ชิงยุคปลายและการยึดครองแบบกึ่งอาณานิคมในประเทศจีน พวกเขาเริ่มจินตนาการถึงการลุกขึ้นสู้และการปลดปล่อยชาติ ในปี 1902 เหลียง ฉีเฉา (Liang Qichao) ได้ตีพิมพ์งานแปลภาษาจีนของนวนิยายเรื่อง “ใต้ทะเลสองหมื่นโยชน์” (1869–1870) ของจูลส์ เวิร์น (Jules Verne) และงานเขียนของเขาเอง ชื่อ “ซินจงกั๋วเหวยล่ายจี (Xin Zhongguo weilaiji) หรือ อนาคตของจีนใหม่” จากประสบการณ์การอ่านผลงานของเวิร์น จึงคาดการณ์ล่วงหน้าถึงวิธีการที่วิทยาศาสตร์จะช่วยปลดปล่อยมนุษยชาติ ซึ่งได้กลายเป็นแรงบันดาลใจสำคัญให้เหลียง ฉีเฉา รวมถึง หลู่ซิ่น หนึ่งในนักเขียนที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งยุค ได้แปลนิยายของเวิร์น ชื่อ “จากโลกสู่ดวงจันทร์” (1865) ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1903 โดยในนิยายชื่อ “ซินจงกั๋วเหวยล่ายจี หรือ อนาคตของจีนใหม่” เหลียง ฉีเฉา ฉายภาพถึง งานเวิลด์เอ็กซ์โปในเซี่ยงไฮ้ช่วงทศวรรษ 1960 ซึ่งเป็นยุคที่จีนกำลังก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในประเทศที่สำคัญที่สุดของโลก เช่นเดียวกับที่เบกุม โรเกยาได้ฉายภาพ ให้เราเห็นว่า พลังงานแสงอาทิตย์ จะเป็นพลังที่ปลดปล่อยเบงกอลให้เป็นอิสระ นอกจากนี้ นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์จีนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง ยังได้จินตนาการถึง การเดินทางใต้น้ำ รถไฟพลังงานลม และบอลลูนไฮโดรเจน ซึ่งเป็นหนทางในการปลดปล่อยจีนจากการครอบงำของเจ้าอาณานิคม

 

‘วิทยาศาสตร์’ ในแง่การวาดมโนภาพต่างๆ เพื่อต่อต้านการล่าอาณานิคมเช่นนี้ จึงถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้สร้างสังคมอุดมคติ หรือ ยูโทเปีย  

หน้าปกของวารสารเหวินฮวา จงเหิง (Wenhua Zongheng) ฉบับล่าสุด (เป็นวารสารชั้นนำด้านความคิดทางการเมืองและวัฒนธรรมร่วมสมัยในประเทศจีน)

 

ขณะที่ผมอ่านบทความในวารสารเหวินฮวา จงเหิง: วารสารความคิดจีนสมัยใหม่ ฉบับล่าสุด 

ผมมักนึกถึงแนวคิดสำคัญในงานเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ วารสารฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่ “การเปลี่ยนผ่านทางนิเวศวิทยาของจีน” แม้ว่าเนื้อหาในบทความจะเป็นรายงานจากภาคพื้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในจีนเป็นเวลาร่วมชั่วอายุคน แต่สิ่งที่ทั้งสามบทความในวารสารบรรยายไว้นั้น แทบไม่ต่างจากนิยายวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา คุณภาพอากาศในปักกิ่งนั้นอยู่ในระดับเลวร้ายจนน่าตกใจ บางวันฝุ่นเขม่าควันจะเกาะหนาบนใบหน้า จนเหลือคราบของสารเคมีไม่ทราบชนิดติดอยู่ ความลำบากทุกข์ยากจากสถานการณ์นี้ นำไปสู่การประกาศ “แผนปฏิบัติการป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศ 2013-2017” เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2013 โดยสภาแห่งรัฐ ซึ่งประกอบด้วยมาตรการเชิงนโยบายสิบประการ ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนเกือบ 1.7 ล้านล้านหยวน ภายในหนึ่งทศวรรษ คุณภาพอากาศในกรุงปักกิ่งดีขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความพยายามมุ่งเน้นลดการใช้เชื้อเพลิงคาร์บอน ในปี 2004 นายพัน เยว่ (Pan Yue) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในขณะนั้น ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาวิจัยที่สำคัญ ซึ่งเสนอการคำนวณ “GDP สีเขียว” ใหม่ หรือเป็นวิธีวัดการเติบโตทางเศรษฐกิจซึ่งคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การพัฒนาทางเศรษฐกิจไม่ทำลายธรรมชาติ  การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 18 ในปี 2012 ได้เสนอกรอบแนวคิดการพัฒนาใหม่ในชื่อ “อารยธรรมเชิงนิเวศ” (生态文明) มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ย้อนกลับไปในปี 2005  สี จิ้นผิง ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคประจำมณฑลเจ้อเจียง ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ที่ต่อมากลายเป็นแนวคิดหลักในการพัฒนาประเทศ นั่นคือ

 

“ผืนน้ำที่ใสสะอาดและขุนเขาอันเขียวขจี ล้ำค่าเช่นเดียวกับภูเขาทองภูเขาเงิน” (綠水青山就是金山银山)

<ซาง หยาง ศิลปิน (จีน), Remaining Water-1, สื่อผสม, 2015>

 

รายงานโดย เซียง เจี๋ย และ ถิงส์ ชัก (Xiong Jie and Tings Chak) ทั้งสองมาจากกองบรรณาธิการวารสารเหวินฮวา จงเหิง (Wenhua Zongheng)  และไตรทวีป (Tricontinental) แสดงให้เราเห็นว่า ทะเลสาบเอ๋อไห่ (Erhai) ในมณฑลยูนนาน เปลี่ยนจากหนึ่งในแหล่งน้ำที่มีมลพิษมากที่สุดในจีน กลายเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่สะอาดที่สุด โดยมีปัจจัยสำคัญสี่ประการที่ทำให้การฟื้นฟูครั้งนี้ประสบความสำเร็จ อย่างแรกคือ ความมุ่งมั่นของชาวบ้านที่อาศัยอยู่โดยรอบในการปกป้องและอนุรักษ์ทะเลสาบ อย่างที่สองคือ วินัยของหน่วยงานรัฐบาลในท้องถิ่น ในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการระยะสั้นของประชาชนกับเป้าหมายระยะยาวในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม อย่างที่สาม คือ ความเชี่ยวชาญของชุมชนนักวิทยาศาสตร์ในภูมิภาค ที่ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับทะเลสาบ ค้นหาสาเหตุของมลพิษ และจัดทำแผนการฟื้นฟูคุณภาพน้ำที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์รองรับ อย่างสุดท้าย คือ ความทุ่มเทของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในการทำงานอย่างหนักเพื่อดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมให้บรรลุผล สิ่งที่ทำให้รายงานฉบับนี้น่าสนใจก็คือ กระบวนการฟื้นฟูทะเลสาบเอ๋อไห่ (Erhai) ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม แต่เป็นแนวทางที่สามารถนำไปปรับใช้ได้กับทะเลสาบที่เผชิญมลพิษในประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคโลกใต้ (Global South)

<พาน ยู่เหลียง (จีน), Penguins, 1942>

**พาน ยู่เหลียง (Pan Yuliang) เป็นที่จดจำในฐานะผู้หญิงคนแรกของจีนที่วาดภาพในแบบตะวันตก

 

บทความเขียนโดยศาสตราจารย์ ติงหลิง หรือ Ding Ling (มหาวิทยาลัยอันฮุย) และ สวี่ จุน หรือ Xu Zhun (มหาวิทยาลัยซิตี้แห่งนิวยอร์ก) รวมถึงบทนำโดย ชูเอา เปโดร สเตดิลี หรือ João Pedro Stédile (ขบวนการเกษตรกรไร้ที่ดินแห่งบราซิล – MST) กล่าวถึงความจำเป็นของ เกษตรเชิงนิเวศ ที่ให้ความสำคัญทั้งการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมควบคู่กัน แต่คำถามสำคัญคือ แนวทางนี้มีความเป็นไปได้อย่างไร? ตัวอย่างจากเขตว่านจือ (Wanzhi) ราคากุ้งเครย์ฟิชที่สูง ทำให้เกษตรกรของสหกรณ์หมู่บ้านตงปา (Dongba) สามารถทำกำไรได้มากขึ้นหากเพาะเลี้ยงกุ้งในบ่อเพาะเลี้ยงโดยตรง อย่างไรก็ตาม สหกรณ์ได้ตัดสินใจเลือกใช้รูปแบบเกษตรแบบผสมผสาน ที่รวมการปลูกข้าวเข้ากับการเลี้ยงกุ้งเครย์ฟิช ด้วยเหตุผลสำคัญสองประการ ประการแรก การปลูกข้าวมีความสำคัญต่อสหกรณ์ เนื่องจากเป็นอาหารหลักของพื้นที่ จึงช่วยให้ชุมชนมี ความมั่นคงทางอาหาร ประการที่สอง ฟางข้าวที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวถูกนำกลับมาใช้เป็นอาหารสำหรับกุ้งเครย์ฟิชในฤดูกาลถัดไป ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังเข้ามาศึกษาและเพาะเลี้ยงสาหร่ายและแบคทีเรียที่มีประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำ เครื่องยืนยันความสำเร็จของแนวทางนี้คือ การกลับมาของนกกระยาง ซึ่งเคยหายไปจากพื้นที่ ได้กลับมาปรากฏให้เห็นอีกครั้งในบริเวณทุ่งนา

 

ในบทความที่สาม ศาสตราจารย์ เฟิง ไค่ตง (Feng Kaidong) และ เฉิน จวิ้นถิง (Chen Junting ) จากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ได้นำเสนอภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ของจีน โดยเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่า Tesla จะเป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก แต่ปัจจุบันกำลังถูกท้าทายด้านส่วนแบ่งตลาดจากรถยนต์ไฟฟ้าสัญชาติจีน ที่ผลิตโดยแบรนด์ต่างๆ เช่น Omoda และ MG (ทั้งสองแบรนด์เป็นรัฐวิสาหกิจ) รวมถึง BYD และ Ora รถยนต์ไฟฟ้าจากจีนเหล่านี้มียอดขายแซงหน้าแบรนด์ตะวันตกในตลาดเอเชียไปแล้ว และส่วนใหญ่ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีของจีนเอง กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ มีสัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าต่อประชากรสูงที่สุดในโลก แต่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ เป็นสองเมืองหลักของจีนที่มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าสูงที่สุดในแง่ของตัวเลขรวม ท้องถนนในเมืองเหล่านี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฮัมเบา ๆ ของ รถยนต์ไฟฟ้าและมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่แล่นผ่านไปอย่างเงียบเชียบ เหตุผลสำคัญที่ทำให้จีนสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดของเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ มีอยู่สองประการ ประการแรกคือ รัฐบาลจีนไม่ได้ถูกครอบงำโดยกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จึงสามารถผลักดันนโยบายพลังงานสะอาดได้อย่างเต็มที่ ประการที่สอง คือ ภาคเทคโนโลยีของจีน (ทั้งในอุตสาหกรรมคมนาคมและสารสนเทศ) มีการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเพียงธุรกิจแสวงหากำไร แต่ร่วมมือกันเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมโดยรวม

 

ในปี 2019 เฉิน ฉิวฝาน (Chen Qiufan) ได้ตีพิมพ์นวนิยายวิทยาศาสตร์แนวดิสโทเปียเรื่อง “กระแสขยะกลืนโลก (Waste Tide)” ซึ่งเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่น เล่าเรื่องเกี่ยวกับ “เกาะซิลิคอน” สถานที่ที่เต็มไปด้วยขยะอิเล็กทรอนิกส์จนก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ทางชีวเคมี ทั้งในมนุษย์และสัตว์ “ผู้คนแห่งขยะ (waste people)” บนเกาะนี้อาศัยอยู่ท่ามกลาง แมงกะพรุนที่เปล่งแสงสีฟ้า-เขียวคล้ายไฟ LED พวกเขาต้องดำรงชีวิตด้วยการคุ้ยหาเศษขยะจากน้ำที่เป็นพิษ จนผิวหนังลอกหลุดจากการสัมผัสสารพิษเป็นเวลานาน ในช่วงหนึ่งของเรื่อง “มิมิ” (Mimi) ตัวเอกของนิยาย ได้พบกับสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่ง แต่เมื่อเธอเข้าไปใกล้ มันกลับกระดิกหาง — ร่างของมันถูกทำให้เคลื่อนไหวอีกครั้งจากสารเคมีและเศษซากเทคโนโลยีที่ถูกทิ้งไว้ นิยายของเฉินเป็น ภาพสะท้อนอันน่าสะพรึงกลัวของหายนะทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งให้ความรู้สึกไม่ต่างจาก สารคดีภาคพื้น หรือ รายงานจากเมืองกุ้ยอวี๋ (Guiyu) ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ของโลก อีกทั้งยังอาจถูกมองเป็นภาพจำลอง “มหาสมุทรขยะพลาสติกแปซิฟิก” (Great Pacific Plastic Patch) — ขยะพลาสติกกว่า 20 ล้านตารางกิโลเมตร ที่ถูกพัดมาติดกันกลางกระแสน้ำวนในมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ เฉินเคยกล่าวว่า “Waste Tide” ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของเมืองกุ้ยอวี๋ (Guiyu) ซึ่งดินและอากาศในเมืองนี้ปนเปื้อนโลหะหนักและสารเคมีจากสังคมดิจิทัล (สังคมที่พึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลในการดำเนินชีวิตประจำวัน) 

 

ในปี 2013 รัฐบาลท้องถิ่นของเมืองกุ้ยอวี๋ (Guiyu) ได้เริ่มก่อสร้างสวนอุตสาหกรรมเพื่อรองรับการรีไซเคิล และควบคุมมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม กำกับดูแลการรีไซเคิลขยะให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เมื่อสวนเปิดใช้งานในอีกสองปีต่อมา (2015) โรงงานรีไซเคิลขนาดเล็กส่วนใหญ่ต้องปิดตัวลง ขณะที่โรงงานขนาดใหญ่ย้ายเข้าไปอยู่แทน จากนั้น ในปี 2018 รัฐบาลจีนได้ประกาศแบนขยะนำเข้าจากต่างประเทศจำนวน 24 ประเภท ซึ่งรวมถึง ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ขยะพลาสติก และขยะสิ่งทอ (ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทางซีกโลกเหนือ) มาตรการนี้ส่งผลให้เมืองกุ้ยอวี๋ (Guiyu) ไม่ต้องรับมือกับขยะจำนวนมหาศาลที่ถูกนำเข้ามาใหม่ แต่สามารถมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหามลพิษทางสิ่งแวดล้อมจากขยะเดิมที่หลงเหลืออยู่ ในขณะที่นิยายเรื่อง Waste Tide นำเสนอโลกที่ถูกทำลายล้างโดยขยะอิเล็กทรอนิกส์ ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของเมืองกุ้ยอวี๋ (Guiyu) กำลังเขียน “ตอนจบใหม่” ให้กับเรื่องราวของเมืองนี้ — ไม่ใช่ในฐานะดินแดนรกร้างที่ล่มสลาย แต่เป็น ตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบรีไซเคิลที่ยั่งยืน

 

ด้วยความนับถือ, 

วิเจย์ (Vijay)