พื้นที่ร่วมที่ไม่มีส่วนรวมอยู่ในนั้น: ว่าด้วยการเปลี่ยนห้องสมุดให้กลายเป็น co-working space

พื้นที่ร่วมที่ไม่มีส่วนรวมอยู่ในนั้น: ว่าด้วยการเปลี่ยนห้องสมุดให้กลายเป็น co-working space

เรื่องและภาพ กลุ่มบุคคล
บรรณาธิการ Pathompong Kwangtong


“มช. เปิดอลังการวันนี้ อาคารศูนย์อาหารครบวงจร ขนร้านดังมาเพียบ รวมของอร่อยมาไว้ที่นี่ จุคนได้นับพัน” อาคารสุดวิจิตรแสนโมเดิร์นทันสมัยถูกจัดสร้างขึ้นในมหาวิทยาลัย ภายในอาคารโอ่อ่ายิ่งกว่าอาคารเรียนเก่าเก็บจำนวนมากถูกบรรจุให้เต็มไปด้วยร้านอาหารนับสิบ ๆ ร้าน ตั้งแต่ร้านน้ำไปจนถึงร้านอาหารห่วงโซ่รายใหญ่ (chain food restaurant) ชื่อดัง ไม่ไกลจากศูนย์อาหารมากนัก ณ อาคารเก่าเก็บแห่งหนึ่ง ป้ายโปสเตอร์ประกาศปิดปรับปรุงห้องสมุดถูกปะไว้ว่า ห้องสมุดที่เป็นห้องเก็บหนังสือ โกดังหนังสือ และห้องอ่านหนังสือจะต้องถูกโละออกไป สิ่งที่จะเข้ามาทดแทนคือ ห้องสมุดที่เป็น “แหล่งเรียนรู้เชิงประสบการณ์” และ ”พื้นที่ทำงานร่วมกัน” (co-working space)

ความพยายามในการเปลี่ยนให้ทุก ๆ ส่วนของมหาวิทยาลัยสามารถหารายได้เข้ากระเป๋าเป็นปรากฏการณ์ร่วมของมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศ ริมทางเดินเต็มไปด้วยเครื่องขายของอัตโนมัติ รถจักรยานสำหรับเช่า ท้ายรถขนส่งของมหาวิทยาลัยถูกประดับไปด้วยป้ายโฆษณา บนโต๊ะกินข้าวถูกปูหรือปิดด้วยโลโก้สินค้า พื้นที่ส่วนหนึ่งของหอสมุดกลายเป็นร้านกาแฟของทุนใหญ่ระดับชาติ แนวโน้มดังกล่าวแสดงว่า “แหล่งเรียนรู้เชิงประสบการณ์” และ ”พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่สมสมัยกว่าห้องอ่านหนังสือทึมทึบก็คงจะกลายเป็นพื้นที่ทำกำไรให้กับสิ่งที่เรียกตัวเองว่ามหาวิทยาลัยเป็นแน่แท้

ประเด็นปัญหาว่าด้วยพื้นที่ร่วม ก็คือการที่มันไม่มีความเป็นส่วนรวม หากแต่คำว่าร่วมในนั้นมันเป็นแค่การรวมเอาลูกค้าแต่ละคนมานั่งรวมกันบนพื้นที่ส่วนตัวของทุน กลับกัน คำว่าห้องสมุดที่ไม่มีคำว่า “ร่วม” หรือ “รวม” อยู่ในนั้น กลับเป็นพื้นที่หายใจ พื้นที่ค้นคว้า พื้นที่พักตา และเป็นพื้นที่ดับกระหายที่ผู้บริหารไม่อยากเหลียวแล เพราะพื้นที่แห่งนี้ไม่สามารถทำกำไรระยะสั้นให้กับกลุ่มทุนได้ มันฟรี มันไม่สามารถบังคับความคิดได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาจึงต้องพยายามเพิ่มการสอดส่อง เพิ่มข้อจำกัด เพิ่มการกีดกัน ลดการเข้าถึง ลดการจัดเก็บ และหาทางทำลายแหล่งความรู้นอกคอกทุกวิถีทาง สิ่งเหล่านี้มาในรูปเครื่องจักรอันทันสมัยคอยตรวจบัตรตรงทางเข้า การออกแบบที่โดดเด่นซึ่งลดพื้นที่จัดเก็บหนังสือ และการ “แจก” หนังสืออย่างน่าตื่นตาเพื่ออำพรางการทำลายหนังสือของส่วนรวม เหล่านี้คือการทุบทำลายความเป็นส่วนรวมในนามของ “พื้นที่ร่วมกัน” เป็นพื้นที่สำหรับ “ฉัน” – นายทุน อำมาตย์ และลูกค้าผู้มีเงินตรามาประเคน – เท่านั้นที่จะได้เข้าใช้ ได้มีอภิสิทธิ์กว่าใคร ๆ นี่คงไม่ใช่พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในความคิดของใครหลาย ๆ คน

มหาวิทยาลัยกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีหลายภาคในตัวเดียว มหาวิทยาลัยเป็นนายจ้างที่จ้างแรงงานจำนวนมาก (ด้วยเงินจากทั้งมหาวิทยาลัยและรัฐ) ให้เข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ หรือคนตัดหญ้าข้างถนน – ที่มักถูกจ้างอย่างเปราะบางมาอีกทอด – ล้วนแต่เป็น คนงานรับจ้าง ทั้งสิ้น คนงานทั้งหมดถูกรวมเข้ามาเพื่อสร้างสินค้าที่สัญญาว่าจะให้บริการด้านการศึกษาที่ดีเลิศเพื่อเตรียมความพร้อมเผชิญหน้ากับสังคมทุนนิยมอันผันผวน มหาวิทยาลัยพยายามเปลี่ยนทุกอณูของมหาวิทยาลัยให้กลายเป็นช่องทางการหากำไร ไม่เว้นแม้แต่ตัวนักศึกษา นักศึกษาไม่ใช่แค่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้า แต่ตัวนักศึกษากลายเป็นสินค้าที่เอาไว้ล่อให้บรรดานายทุนและนายทุนตัวจ้อยเข้ามาร่วมลงทุนหรือเข้ามาเช่าพื้นที่ในมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยประพฤติตัวเยี่ยงอำมาตย์ตัวจ้อยปล่อยเช่าที่ดินเพื่อเก็บกินค่าเช่า หารายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับที่เรียกเก็บจากทั้งคนงานของตัวเองและนักศึกษา รวมทั้งใช้อำนาจกำหนดชีวิตความเป็นไปของคนในมหาวิทยาลัยราวกับตัวเองเป็นเจ้าเหนือหัวกำหนดชี้เป็นชี้ตายกระทั่งเวลาที่นักศึกษาจะเดินเข้าหรือออกจากมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ทำตัวเป็นทุกอย่างในโลก ยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือ สถาบันการศึกษาที่มุ่งสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ดี

ข้ออ้างหลักที่ปรากฏบ่อยครั้งเมื่อมหาวิทยาลัยต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างคือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและความจำเป็นของการพัฒนา ข้ออ้างทั้งสองเป็นข้ออ้างแบบครอบจักรวาลที่ยกมาทีไรก็ถูกต้องเสียทุกที ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องมาจากอำนาจการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยกระจุกตัวอยู่ในมือคณะผู้บริหาร ตั้งแต่สภามหาวิทยาลัย ไล่ลงมาจนถึงภาควิชา ซึ่งเกือบทั้งหมดมีอาชีพในนามคืออาจารย์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยจึงเป็นเหมือนองค์กรลับที่จัดลำดับอำนาจการตัดสินใจลดหลั่นกันไปตามช่วงชั้น แต่การจัดลำดับขั้นนี้ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์อื่นใดนอกจากกีดกันคนส่วนมากออกจากอำนาจการตัดสินความเป็นไปของมหาวิทยาลัย ข้อมูลถูกเปลี่ยนให้เป็นอำนาจ ตัวเลขงบประมาณ รายรับ รายจ่าย เงินคงเหลือ ฯลฯ ล้วนเก็บซ่อนอยู่เพียงภายในแวดวงผู้บริหาร ผู้ไม่รู้โปรดหุบปาก การพัฒนาจำเป็นต้องเกิดเพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถจัดหากระบวนการเรียนรู้ที่เท่าทันความเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าโง่ไม่รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงดีอย่างไรก็อย่าอ้าปากเลย ฉันเป็นผู้บริหารที่เปิดกว้างรับฟังและสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้คนจำนวนมากก็เห็นด้วย อย่าเอาเสียงส่วนน้อยมาทัดทานเลย ฯลฯ ข้ออ้างเหล่านี้ไม่เคยมีความหมายเลยเมื่ออำนาจการตัดสินใจว่าสิ่งไหนจำเป็นหรือสิ่งไหนสมควร ซึ่งอันที่จริงต้องมาจากการตัดสินใจร่วมกันของคนทั้งประชาคม กลับไปอยู่ในกำมือของอำมาตย์ที่แฝงตัวในคราบ ‘อาจารย์’

โครงสร้างอำนาจที่เป็นลำดับขั้นนี่เองที่เป็นเสาหลักสำคัญซึ่งคอยค้ำจุนให้พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีหลายภาคยังสามารถดำรงอยู่ได้ มันดำรงอยู่ด้วยความขัดแย้ง ดำรงอยู่ด้วยหน้ากากของการอนุรักษ์พร้อม ๆ ไปกับหน้ากากของการพัฒนา มันสวมหน้ากากของศักดินา พร้อม ๆ กับหน้ากากของทุน มันสวมหน้ากากของคำว่ามีวิสัยทัศน์ พร้อม ๆ กับกระดิ่งห้อยจมูกที่ถูกจูงโดยกลุ่มทุน ความขัดแย้งของมันเป็นความขัดแย้งลวงหลอก ปิดบังความขัดแย้งที่เป็นจริง ระหว่างความเป็นส่วนรวมของคนหมู่มาก กับความเป็นส่วนตัวของกลุ่มคนเพียงหยิบมือ ที่ถือหางกันไปมา และคิดว่าระบบห่วงโซ่บรรณาการนี้จะไม่มีวันจบสิ้น

กระนั้น ประชาคมสีม่วงก็ไม่เคยยินยอมโดยง่าย เหตุการณ์การเข้ายึดหอศิลป์เพื่อจัดแสดงงานอย่างเป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน มหาวิทยาลัยที่กำลังถูกบ่อนทำลายลงโดยอำมาตย์จำนวนน้อยนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของการต่อสู้แย่งชิงตั้งแต่ก่อนมันถือกำเนิดเกิดขึ้นมาบนพื้นดินล้านนาเสียด้วยซ้ำ มหาวิทยาลัยที่ประชาคมล้านนาเรียกร้องให้เกิดขึ้นเพื่อรับใช้และเป็นพื้นที่ของส่วนรวมยังคงมีจิตวิญญาณของการขัดขืนและสร้างสรรค์ปกคลุมอยู่เสมอมา พลังที่วนเวียนไม่หายไปไหนเหล่านี้อาจสว่างเจิดจ้าเสียจนตาที่พร่ามัวของผู้บริหารแว่นเตอะคงมองไม่เห็นเสียกระมัง เราจะหวังอะไรกับกลุ่มชนชั้นนำอำมาตย์ที่มองไม่เห็นแม้กระทั่งหมอกควันที่บ่อนทำลายสุขภาพปอดของประชาคม เราจะหวังให้เขาเห็นควันไฟที่กำลังลุกโชนท่วมทุ่งที่พวกเขากำลังเสวยภัตตาหารสีเขียวแสนอร่อยอยู่งั้นฤๅ?

เมื่อผู้บริหารกำลังหยิบยื่นพื้นที่แห่งทุนในนามพื้นที่ “ทำงานร่วมกัน” ให้กับเราชาวประชาคม โดยทุบทำลายพื้นที่ส่วนรวมที่เหลือน้อยอยู่แล้วนั้น พวกเขาไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยว่า บุตรหลานทั้งหลายของเขาเหล่านั้นอาจนำพามันไปสุดทางก็ได้ หากท่าน “เคลียร์” พื้นที่ว่างให้พวกเขาใช้ ก็โปรดระวังว่าพวกเขาจะใช้มันเป็นฐานทำการเพื่อ “ทำงานร่วมกัน” โค่นล้มท่านออกจากบัลลังก์ ดังที่กำลังดำเนินการอยู่ในหมู่วิจิตรสิ้นนี้ก็เป็นได้

ขอท่านโปรดระวัง และรีบถอยก่อนที่ท่านจะเจอป้ายประกาศว่า “มช. เปิดอลังการวันนี้ อาคารศูนย์ทำการครบวงจร ขนมวลชนมาเพียบ รวมความคิดก้าวหน้าไว้เพียบ จุคนได้นับพัน” เพื่อเปลี่ยนห้องผู้บริหาร คณบดี และพื้นที่ส่วนตัวของอำมาตย์ ให้กลายเป็นห้องสมุดน้อยใหญ่เข้าแทนที่ และไม่ให้มีพื้นที่ของท่านในมหาวิทยาลัยของประชาคมอีกเลย.

เดวิด ฮาร์วีย์: จินตนาการถึงสังคมใหม่ที่ไม่ใช่ทุนนิยม 

เดวิด ฮาร์วีย์: จินตนาการถึงสังคมใหม่ที่ไม่ใช่ทุนนิยม 

ผู้เขียน เดวิด ฮาร์วีย์
ผู้แปล ธีรภัทร อรุณรัตน์ (Teerapat Arunrat)
บทความต้นฉบับ https://jacobinmag.com/2020/04/david-harvey-coronavirus-pandemic-capital-economy/

บรรณาธิการโดย Editorial Team


เดวิด ฮาร์วีย์: จินตนาการถึงสังคมใหม่ที่ไม่ใช่ทุนนิยม

ผมเขียนบทความนี้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโคโรนาไวรัสในนครนิวยอร์ก เป็นช่วงเวลายากลำบากว่าเราควรตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร โดยปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ต่อต้านทุนนิยมอย่างเราคงจะอยู่บนท้องถนนเพื่อแสดงพลังและกระตุ้นเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 

กลับกัน ผมกำลังอยู่ในช่วงของการโดดเดี่ยวตนเองที่น่ารำคาญใจในช่วงเวลาที่เรียกหาการกระทำร่วม (collective forms of action) ดังที่คาร์ล มาร์กซ์ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเราไม่อาจเขียนประวัติศาสตร์ได้ในสถานการณ์ที่พวกเราเลือก ดังนั้นเราต้องร่วมกันหาทางที่ดีที่สุดเพื่อปรับใช้กับโอกาสที่พวกเรามีอยู่ในมือ

สถานการณ์ของตัวผมนั้นเรียกได้ว่าเดือดร้อนน้อยกว่าคนอื่น ผมยังทำงานต่อได้จากที่บ้าน ผมยังไม่สูญเสียหน้าที่การงาน และยังได้รับเงินเดือน ที่ต้องทำคือพยายามไม่ให้ติดไวรัสเท่านั้น

ด้วยอายุและเพศสภาพทำให้ผมตกอยู่ในกลุ่มเปราะบาง ดังนั้นการไม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจึงจำเป็น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผมมีเวลามากมายที่จะคิดทบทวนและเขียนงาน นอกเหนือจากเวลาที่ใช้ไปกับหน้าจอโปรแกรม Zoom น่ะนะ นอกจากการย้ำคิดเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะในนิวยอร์ก ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเสนอการคิดทบทวนบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นไปได้อื่นของสังคมและตั้งคำถามว่า ผู้ที่ต่อต้านทุนนิยมควรคิดอ่านสถานการณ์เช่นนี้กันอย่างไร

source: Verso

หน่อเนื้อของสังคมใหม่ 

ผมจะขอเริ่มด้วยการยกความเห็นของมาร์กซ์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในขบวนการปฏิวัติที่ล้มเหลวของคอมมูนปารีสในปี 1871 มาร์กซ์เขียนไว้ ดังนี้ [ในถ้อยแถลงของมาร์กซ์ต่อสภาสามัญ (General Council) ของสมาคมกรรมกรสากล (International Working Men’s Association)] ซึ่งถูกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นจุลสาร (pamphlet) ภายหลังจากความพ่ายแพ้ของคอมมูนปารีสในปี 1871 – ผู้แปล] 

ชนชั้นแรงงานไม่ได้คาดหวังปาฏิหาริย์จากคอมมูน แต่เป็นสังคมอุดมคติที่ชาวบ้านจะได้ทดลองสร้างระเบียบใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเอง พวกเขารู้ว่าหากจะทำให้การปลดปล่อยเกิดขึ้นจริง โดยไปในทางเดียวกับรูปแบบที่เหนือกว่าที่สภาพสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ตามอัตภาพที่เป็นจริง พวกเขาต้องผ่านการต่อสู้อันยาวนาน ผ่านชุดกระบวนการสำคัญซึ่งเปลี่ยนแปลงทั้งสถานการณ์และตัวมนุษย์เอง พวกเขาไม่มีอุดมคติที่จะตระหนักถึงนอกเหนือจากปลดปล่อยหน่อเนื้อของสังคมใหม่ให้เป็นอิสระจากสภาวะที่สังคมกระฎุมพีเดิมกำลังพังทลายนั้นให้กำเนิดออกมา

ผมจะขอตั้งข้อสังเกตต่อข้อความนี้สักหน่อย อย่างแรก แน่นอนว่าอย่างไรก็ตามมาร์กซ์มีจุดยืนค้านต่อแนวคิดว่าด้วยโลกอุดมคติสังคมนิยม (socialist utopia) ซึ่งแพร่หลายในช่วงทศวรรษ 1840-60 ในฝรั่งเศส นี่เป็นหลักคิดสำคัญของนักคิดอย่าง ชาร์ลส์ ฟูเรียร์ (Charles Fourier) อองรี เดอ แซงซิมอง (Henri de Saint-Simon) เอเตียง คาเบต์ (Étienne Cabet) หลุยส์ ออกุสต์ บลังกี (Louis Auguste Blangui) ปิแอร์ โจเซฟ ปรูดอง (Pierre-Joseph Proudhon) และ คนอื่นๆ 

มาร์กซ์เห็นว่าพวกนักสังคมนิยมอุดมคติคือพวกเพ้อฝัน และไม่ใช่ชาวบ้านที่จะลงมือเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์ของแรงงาน (conditions of labor) จริงๆ ในห้วงเวลาและพื้นที่ทางกายภาพปัจจุบัน เพื่อจะเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์ ณ ที่แห่งนี้และช่วงเวลานี้ คุณจำเป็นต้องจับภาพลักษณะที่แท้จริงของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันให้ได้

แต่มาร์กซ์ก็แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่าความพยายามปฏิวัติต้องเน้นน้ำหนักไปที่การปลดแอกตัวตน (self-emancipation) ของผู้ใช้แรงงาน ส่วนที่ว่า “ตัวตน (self)” ในสมการนี้นี่แหละที่เป็นหัวใจสำคัญ ความพยายามอะไรก็ตามที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนั้นต้องการการเปลี่ยนแปลงของตัวตน ดังนั้นผู้ใช้แรงงานจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนของพวกเขาเองด้วยเช่นกัน จุดนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของมาร์กซ์ในช่วงเวลาที่คอมมูนปารีสเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม มาร์กซ์ได้ชี้ให้เห็นอีกเช่นกันว่าตัวทุนเองนั้นก่อให้เกิดความเป็นไปได้มากมายต่อการพลิกผันเปลี่ยนแปลง และเมื่อผ่านความพยายามต่อสู้อย่างยาวนาน มันจึงเป็นไปได้ที่จะ “ปลดปล่อย” คุณสมบัติที่จำเป็นต่อสังคมใหม่ซึ่งผู้ใช้แรงงานจะได้ปลดเปลื้องจากการใช้แรงงานที่แปลกแยก (alienated labor) หน้าที่ของการปฏิวัติคือการปลดปล่อยหน่อเนื้อสำหรับสังคมใหม่นี้ ซึ่งมีอยู่ในครรภ์ของระเบียบสังคมกระฏุมพีคร่ำครึที่กำลังจะพังทลาย

ปลดปล่อยศักยภาพให้เป็นอิสระ 

เอาล่ะ มาตกลงกันก่อน สมมติว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงที่สังคมกระฎุมพีคร่ำครึกำลังล่มสลาย แน่นอนทีเดียวว่ามันก่อกำเนิดสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวมากมาย — อย่างการเหยียดเชื้อชาติและการเกลียดกลัวต่างชาติ— ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากเห็นมันถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ แต่มาร์กซ์ไม่ได้ชี้ว่าจะต้อง “ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างภายในระเบียบสังคมคร่ำครึและน่าขยะแขยงที่กำลังพังครืนลงมา” สิ่งที่เขากล่าวคือพวกเราจำเป็นต้องเลือกสรรแง่มุมที่ช่วยหนุนการปลดปล่อยแรงงานและชนชั้นแรงงานในสังคมกระฎุมพีที่กำลังพังครืน

คำถามที่ตามมาคือ แล้วความเป็นไปได้เหล่านั้นคืออะไรและมาจากที่ไหน? มาร์กซ์ไม่ได้ขยายความประเด็นนี้ในจุลสารเกี่ยวกับคอมมูนปารีส  แต่งานด้านทฤษฎีชิ้นก่อนหน้าส่วนมากของเขาได้อุทิศให้กับการชี้ให้เห็นว่าอะไรกันแน่คือความเป็นไปได้อย่างเป็นรูปธรรมสำหรับชนชั้นแรงงาน หนึ่งในพื้นที่ที่มาร์กซ์ชี้ให้เห็นอย่างละเอียดละอออยู่ในหนังสืออันยิ่งใหญ่ ซับซ้อน และเป็นข้อเขียนไม่สมบูรณ์ชื่อว่า Grundrisse (กรุนด์ริสเซ) ซึ่งมาร์กซ์เขียนในช่วงวิกฤตของชีวิตปี 1857-58 

บางข้อความในงานชิ้นนี้ฉายความกระจ่างให้เราเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่มาร์กซ์คิดในการแสดงจุดยืนปกป้องการเกิดขึ้นของคอมมูนปารีส แนวความคิดเรื่องการ “ปลอดปล่อยให้เป็นอิสระ” เกี่ยวเนื่องกับความเข้าใจว่าด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสังคมทุนนิยมของชนชั้นกระฎุมพีในช่วงเวลานั้น นี่เป็นสิ่งที่มาร์กซ์ลำบากตรากตรำอย่างต่อเนื่องเพื่อทำความเข้าใจ 

ในหนังสือ Grundrisse มาร์กซ์พิจารณาในรายละเอียดของประเด็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพลวัตด้านเทคโนโลยีที่สัมพันธ์กับทุนนิยม สิ่งที่มาร์กซ์เผยให้เห็นคือในสังคมทุนนิยมนั้น เนื้อแท้ของมันจะให้น้ำหนักอย่างมากกับการพัฒนาสิ่งใหม่ (innovation) และเน้นน้ำหนักอย่างมากที่การสร้างความเป็นไปได้ใหม่ด้านเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ เพราะเหตุนี้ ถ้าผมเป็นนายทุนคนหนึ่ง และถ้าผมกำลังแข่งขันกับนายทุนคนอื่นอยู่ ผมจะได้รับกำไรส่วนเกินถ้าเทคโนโลยีที่ผมถือครองเหนือกว่าของคู่แข่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ นายทุนทุกคนจึงมีแรงจูงใจจะขวนขวายหาเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าของบริษัทอื่นที่กำลังแข่งขันกันอยู่ 

ด้วยเหตุผลเช่นนี้ พลวัตด้านเทคโนโลยีจึงผูกติดกับหัวใจของสังคมทุนนิยม มาร์กซ์ตระหนักถึงส่วนนี้ตั้งแต่ในงานเขียน Communist Manifesto [แถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ เขียนในปี 1848] เป็นต้นมา นี่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่อธิบายลักษณะสำคัญของพลวัตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของทุนนิยม 

ทุนนิยมจะไม่มีทางพึงพอใจกับเทคโนโลยีที่มีอยู่เลย มันจะตะบี้ตะบันพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะว่ามันจะตบรางวัลให้กับนายทุน บริษัท หรือสังคมที่ถือครองเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าอยู่เสมอ รัฐ ชาติ หรือกลุ่มอำนาจใดก็ตามที่ถือครองเทคโนโลยีที่ฉลาดล้ำและไม่หยุดนิ่งจะเป็นผู้รุดหน้าเหนือคนอื่น ดังนั้นพลวัตทางเทคโนโลยีได้ถูกวางรากในโครงสร้างระดับโลกของทุนนิยม และมันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม 

นวัตกรรมทางเทคโนโลยี

มาร์กซ์ชี้ให้เห็นแง่มุมต่อประเด็นนี้อย่างกระจ่างแจ้งและน่าสนใจ หากเราจินตนาการถึงกระบวนการพัฒนาเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึงใครสักคนที่ประดิษฐ์ประดอยนั่นนี่และมุ่งพัฒนากลไกส่วนประกอบของสิ่งที่กำลังรังสรรค์ขึ้นอยู่ หมายความว่าพลวัตทางเทคโนโลยีจะเฉพาะเจาะจงกับโรงงาน ระบบการผลิต หรือสถานการณ์นั้นๆ

แต่สิ่งที่เป็นคือ แท้จริงแล้วเทคโนโลยีต่างส่งผลสืบเนื่องถึงกันจากปริมณฑลการผลิตหนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เทคโนโลยีได้กลายเป็นสิ่งที่ถือครองได้ทั่วไป (generic) เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีพร้อมสำหรับใครก็ตามที่ต้องการใช้จะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เทคโนโลยีจักรกลมีพร้อมสำหรับผู้คนและโรงงานทุกประเภท

มาร์กซ์สังเกตเห็นจุดนี้ในช่วงทศวรรษ 1820, 1830 และ 1840 ในเกาะอังกฤษ การรังสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ได้กลายเป็นภาคธุรกิจอิสระและไม่อยู่ภายใต้ธุรกิจอื่น หมายความว่า การพัฒนาเทคโนโลยีจะไม่ขึ้นอยู่กับใครสักคนที่ผลิตสิ่งทอหรือสินค้าคล้ายคลึงกันซึ่งใส่ใจการสรรหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มผลิตภาพของแรงงานที่จ้างทำงานอยู่ ในทางกลับกันผู้ประกอบการจะนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำไปใช้งานได้ในทุกหัวระแหง

ตัวอย่างแรกเริ่มที่ดีที่สุดของประเด็นนี้ในช่วงชีวิตของมาร์กซ์คือเครื่องจักรไอน้ำ มีการใช้งานที่หลากหลายมากตั้งแต่ท่อบำบัดน้ำเสียจากเหมืองถ่านหินจนถึงการพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำและเพื่อก่อสร้างทางรถไฟ ในขณะเดียวกันก็ถูกประยุกต์ใช้กับเครื่องทอผ้าในโรงงานสิ่งทอ ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะทำความเข้าใจกลไกธุรกิจของนวัตกรรม ภาควิศวกรรมและอุตสาหกรรมเครื่องมือจักรกลเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยล่ะ

ภาคเศรษฐกิจทั้งระบบ — ดังตัวอย่างที่ปรากฎขึ้นรายรอบเมืองเบอร์มิงแฮม [ในประเทศอังกฤษ] ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการผลิตอุปกรณ์ประกอบเครื่องจักรกล — จึงแปรเปลี่ยนไปในแนวทางที่ทำการผลิตไม่เพียงแต่เทคโนโลยีประกอบการผลิตใหม่ๆ แต่รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งในช่วงชีวิตของมาร์กซ์ นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีได้กลายเป็นภาคธุรกิจที่เป็นอิสระในตัวมันเองเรียบร้อยแล้ว 

วิ่งวนอยู่ที่จุดเดิม

ในหนังสือ Grundrisse มาร์กซ์เสาะสำรวจในรายละเอียดของคำถามที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนธุรกิจ เมื่อนวัตกรรมสร้างพื้นที่ตลาดหน้าใหม่มากกว่าทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางเทคโนโลยีในตลาดเดิมที่มีอยู่เฉพาะ การพัฒนาเทคโนโลยีจึงกลายเป็นคุณสมบัติที่เป็นตัวกำหนดพลวัตของสังคมทุนนิยม 

ผลกระทบสืบเนื่องนั้นมีกว้างขวาง ผลลัพธ์อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเทคโนโลยีไม่มีวันจะหยุดอยู่ที่เดิม จะไม่มีทางหยุดนิ่งกับที่และจะตกรุ่นไปอย่างรวดเร็ว การวิ่งไล่ตามเทคโนโลยีใหม่ๆ จะปวดเศียรเวียนเกล้าและใช้ค่าใช้จ่ายมากทีเดียว การตกรุ่นอย่างทวีความรวดเร็วกลายเป็นหายนะของบริษัทในปัจจุบัน 

กระนั้นก็ตาม ทุกภาคส่วนการผลิตของสังคม — ทั้งด้านอิเล็กทรอนิกส์ เภสัชกรรม ชีววิศวกรรม และอื่นๆ — ได้จำยอมต่อการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตัวนวัตกรรมเอง ใครก็ตามที่พัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่สอดรับกับภาพจินตนาการได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต หรือมีคุณสมบัติใช้งานได้หลากหลายเช่นชิปคอมพิวเตอร์ จะกลายเป็นคนกุมชัย ดังนั้นแนวคิดที่ว่าเทคโนโลยีในตัวมันเองได้กลายมาเป็นภาคธุรกิจนั้นจึงพัฒนามาเป็นประเด็นศูนย์กลางของสิ่งที่มาร์กซ์ต้องการทำความเข้าใจว่าสังคมทุนนิยมเป็นอย่างไร 

นี่เป็นจุดที่ทำให้ระบบทุนนิยมแตกต่างจากระบบการผลิตอื่นทั้งหมด ความสามารถในการรังสรรค์นวัตกรรมมีให้เห็นทั่วไปในประวัติศาสตร์มนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีก็เห็นได้ในจีนยุคโบราณ แม้ว่าจะอยู่ในระบบเจ้าขุนมูลนาย แต่สิ่งที่เป็นความเฉพาะในรูปแบบการผลิตแบบทุนนิยมคือข้อเท็จจริงเรียบง่ายที่ว่าเทคโนโลยีกลายมาเป็นธุรกิจ ผลผลิตที่ถือครองได้ทั่วไปถูกจำหน่ายให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน 

ความเฉพาะเจาะจงนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญที่กำหนดว่าสังคมทุนนิยมจะรุดหน้าต่อไปอย่างไร

สิ่งเติมต่อของเครื่องจักร 

มาร์กซ์ชี้ให้เห็นต่อไปถึงจุดสำคัญที่แยกขาดการพัฒนาของระบบทุนนิยมออกจากรูปแบบการผลิตอื่น การจะทำให้เทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนธุรกิจได้นั้น คุณต้องหาหนทางปลุกปั้นรูปแบบชุดความรู้สักวิถีทางหนึ่งให้ได้ จุดนี้นำมาซึ่งการปรับใช้ชุดความคิดแบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กลายเป็นวิถีทางทำความเข้าใจโลกที่แยกขาดจากสิ่งอื่น

การสรรค์สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ปรากฎในพื้นที่สาธารณะจึงผูกติดกับการเพิ่มขึ้นของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในฐานะสาขาวิชาทางความรู้และวิชาการศึกษา มาร์กซ์มองเห็นกระบวนการที่การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการสรรค์สร้างความรู้รูปแบบใหม่ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน 

จุดนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของธาตุแท้ของระบบการผลิตแบบทุนนิยม พลวัตทางเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับพลวัตในการผลิตความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้เชิงเทคนิคใหม่ๆ รวมทั้งผลิตสร้างความคิดความเข้าใจโลกแบบใหม่ที่แทบจะหน้าตาไม่เหมือนเดิม สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคล้องรับกับการผลิตและการปลุกปั้นความรู้และความเข้าใจที่ต่างไปจากเดิม จนในที่สุด สถาบันการศึกษาใหม่ยกแผงอย่าง MIT (Massachusetts Institute of Technology – สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) และ Cal Tech (California Institute of Technology – สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย) จึงต้องถูกตั้งขึ้นเพื่อรองรับกระแสการพัฒนาเช่นนี้ 

มาร์กซ์ตั้งประเด็นต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลอะไรต่อกระบวนการผลิตในระบบทุนนิยม และจะส่งผลอย่างไรต่อสภาวะการใช้แรงงาน (และตัวแรงงานเอง) ที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตเช่นนี้? ในยุคก่อนทุนนิยม สักประมาณศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 16 โดยทั่วไปแล้วจะเป็นคนที่ควบคุมปัจจัยการผลิตคือชนชั้นแรงงาน — เครื่องมือที่จำเป็นต่อการผลิต — และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ ผู้ใช้แรงงานที่มีความเชี่ยวชาญกลายเป็นผู้ถือครองหนึ่งเดียวของความรู้และความเข้าใจรูปแบบเฉพาะ ดังที่มาร์กซ์ได้สังเกตว่ามันคือศิลปะรูปแบบหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม หากเราขยับเข้าใกล้ระบบการผลิตในโรงงาน หรือเข้าใกล้โลกร่วมสมัยมากขึ้นเท่าไร การผลิตเช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นรูปแบบหลักอีกต่อไปแล้ว ทักษะของผู้ใช้แรงงานตามขนบเดิมไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีอำนาจเหนือไปแล้ว เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความรู้แบบใหม่ได้ถูกผสานเข้ากับเครื่องจักร และนั่นทำให้ศิลปะได้มลายหายไป 

และมาร์กซ์ ในส่วนหนึ่งของข้อเขียนในหนังสือ Grundrisse อันน่าตื่นตาตื่นใจ — อยู่ในหน้า 650 ถึง 710 ของเล่มที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Penguin เผื่อคุณสนใจตามอ่าน — ได้กล่าวถึงหนทางที่เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ๆและองค์ความรู้ผนวกรวมเข้าไปในเครื่องจักร ความรู้เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในหัวของผู้ใช้แรงงานอีกต่อไปแล้ว และผู้ใช้แรงงานก็ถูกผลักไสไปอีกด้านให้เป็นสิ่งเติมต่อของเครื่องจักร เป็นแค่คนคุมการทำงานของเครื่องจักรเท่านั้น สติปัญญาและความรู้ทั้งปวงที่เคยอยู่ในอุ้งมือของผู้ใช้แรงงาน และสถานะที่เคยรักษาไว้ในฐานะผู้กุมอำนาจทางการผลิตบางอย่างที่มีความสัมพันธ์กับตัวทุนเอง ทั้งหมดนี้ได้มลายหายไป 

นายทุนซึ่งเคยต้องการทักษะทั้งหลายของผู้ใช้แรงงานนับจากนี้ได้หลุดจากพันธนาการนั้นไปแล้ว และทักษะเหล่านั้นได้มาผนวกรวมเข้ากับเครื่องจักร องค์ความรู้ที่ผลิตสร้างผ่านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลั่งไหลเข้าสู่ตัวเครื่องจักร และเครื่องจักรได้กลายเป็น “จิตวิญญาณ” ของพลวัตทุนนิยม นั่นคือสถานการณ์ที่มาร์กซ์กำลังขยายความให้เห็นภาพ 

source: leftvoice.org

การปลดปล่อยสภาวะการใช้แรงงาน 

พลวัตของสังคมทุนนิยมได้พัฒนามาสู่สภาวะที่พึ่งพาการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างไร้สิ้นสุดซึ่งขับเคลื่อนโดนการปลุกปั้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มีความสำคัญ มาร์กซ์มองประเด็นนี้อย่างเด็ดขาดในช่วงชีวิตของเขา เขาเขียนวิเคราะห์เรื่องราวพวกนี้ตั้งแต่ปี 1858 แล้ว! แต่กลับมาช่วงเวลาปัจจุบัน แน่นอนที่สุดว่าเรากำลังอยู่ในสภาวการณ์ที่ประเด็นปัญหาเรื่องนี้ได้ทวีความรุนแรงและมีความสำคัญ​

ปมปัญหาเรื่อง AI (articifical intelligence – ปัญญาประดิษฐ์) คือเวอร์ชันยุคปัจจุบันของสิ่งที่มาร์กซ์กำลังกล่าวถึง พวกเราจำเป็นต้องเข้าใจถึงความลึกตื้นหนาบางว่า AI ได้ถูกพัฒนาผ่านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างไร รวมถึงจะถูกประยุกต์ใช้ (หรือมีแนวโน้มจะถูกประยุกต์ใช้) ในภาคการผลิตอย่างไร ผลลัพธ์ที่เห็นชัดแจ้งที่สุดคือการแทนที่ผู้ใช้แรงงาน และความจริงแล้วมากไปกว่านั้นคือการถอดเขี้ยวเล็บและบั่นทอนมูลค่าในกำลังการผลิตของผู้ใช้แรงงานที่เป็นการครองความสามารถของในการประยุกต์ใช้จินตนาการ ทักษะ และความเชี่ยวชาญเฉพาะในกระบวนการผลิต 

สิ่งนี้ทำให้มาร์กซ์ได้ให้ความเห็นในหนังสือ Grundrisse ไว้ดังนี้ ผมจะขอยกมาโดยตรงเลยเพราะคิดว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ 

การเปลี่ยนผ่านของกระบวนการผลิตจากขั้นตอนการใช้แรงงานธรรมดากลายเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้แรงขับทางธรรมชาติ (forces of nature) อยู่ภายใต้อาณัติและบีบบังคับให้ขับเคลื่อนภายใต้ความต้องการของมนุษย์นั้น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ปรากฎให้เห็นถึงต้นทุนคงที่ [fixed capital – ในความหมายของเครื่องจักรในกระบวนการผลิต – ผู้แปล] ซึ่งตรงข้ามกับแรงงานที่มีชีวิต ดังนั้นอำนาจทั้งหมดของแรงงานจึงสับเปลี่ยนมาเป็นอำนาจของทุน

องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ได้สั่งสมอยู่ในเครื่องจักรที่อยู่ใต้บงการของนายทุนอีกทบหนึ่ง อำนาจในการผลิตของแรงงานถูกโอนถ่ายไปอยู่ในต้นทุนคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวแรงงาน ผู้ใช้แรงงานเป็นเพียงแค่ส่วนที่ถูกทดแทนได้ ดังนั้นต้นทุนคงที่จึงกลายมาเป็นตัวที่บ่งชี้ถึงองค์ความรู้และปัญญาร่วมของสังคมเมื่อกล่าวถึงด้านการผลิตและการบริโภค

ขยับไปอีกก้าวหนึ่ง มาร์กซ์ชี้ไปที่ประเด็นสำคัญว่าอะไรคือสิ่งที่ระเบียบสังคมกระฎุมพีที่ใกล้สูญสลายจะให้กำเนิดออกมา ที่จะเป็นส่วนเติมเต็มเพื่อประโยชน์ของแรงงาน สิ่งนั้นก็คือสถานการณ์ที่ตัวทุนเอง — “ที่แม้จะดูไม่หวังผลว่าจะเป็นเช่นนี้ —ได้ลดภาระของการใช้แรงงานมนุษย์ให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด และนี่จะส่งผลดีอย่างยิ่งยวดต่อแรงงานที่ได้รับการปลดปล่อย และเป็นเงื่อนไขของการปลดปล่อย” ในมุมของมาร์กซ์ การเฟื่องฟูของเครื่องจักรอัตโนมัติหรือเทคโนโลยี AI ได้สร้างเงื่อนไขและความเป็นไปได้สำหรับการปลดปล่อยแรงงาน 

การพัฒนาตัวตนอย่างเสรี

ในส่วนหนึ่งของข้อเขียนของมาร์กซ์ที่ผมอ้างถึงในจุลสารว่าด้วยคอมมูนปารีสนั้น ประเด็นว่าด้วยการปลดปล่อยตัวเองของสภาวะการใช้แรงงานและผู้ใช้แรงงานเป็นจุดสำคัญ สภาวการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องโอบรับเอาไว้ แต่อะไรกันล่ะที่ทำให้สภาวการณ์เช่นนี้ส่งผลให้เกิดความเป็นไปได้ต่อการปลดแอก

คำตอบนั้นเรียบง่าย องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งหลายเหล่านี้กำลังเพิ่มผลิตภาพรวมของสังคม (social productivity) ของแรงงาน ผู้ใช้แรงงานหนึ่งคนที่ดูแลเครื่องจักรเหล่านั้นจะทำการผลิตสินค้าจำนวนมากได้ในเวลาการผลิตที่แสนสั้น กลับไปที่มาร์กซ์อีกครั้งในหนังสือ Grundrisse ที่ว่า

หากมาถึงจุดที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้พัฒนามาถึง การก่อร่างสร้างตัวของความมั่งคั่งที่แท้จริงมาถึงจุดที่พึ่งพาทั้งเวลาการทำงานของแรงงาน (labor time) และจำนวนแรงงานที่จ้างงานในปริมาณน้อยลงเมื่อเทียบกับความสามารถของหน่วยการผลิต (power of the agencies) ที่ขับเคลื่อนในช่วงกระบวนการผลิต ซึ่ง “ประสิทธิผลอันทรงพลัง” ในตัวมันเองนั้นเทียบกันไม่ได้เลยกับสัดส่วนของแรงงานที่กระทำโดยตรงในกระบวนการผลิต แต่ [ประสิทธิผล] จะขึ้นอยู่กับสถานะทั่วไปขององค์ความรู้และการก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้นี้เข้ากับการผลิต … ความมั่งคั่งที่แท้จริงฉายภาพตัวมันเองออกมา —และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็เผยให้เห็นถึง— ความแตกต่างอันน่าหวาดกลัวระหว่างเวลาการทำงานของแรงงานที่ใช้ไป กับผลผลิตที่ได้ออกมา

แต่ต่อมา — และมาร์กซ์ก็ได้อ้างถึงนักสังคมนิยมสายริคาร์เดียน [David Ricardo (1772 – 1823) นักเศรษฐศาสตร์สายคลาสสิคชาวอังกฤษที่มาร์กซ์ได้ศึกษาแนวคิดและวิพากษ์ไว้ในงานอย่าง Capital และ Grundrisse – ผู้แปล] ที่ปรากฎในช่วงเวลานั้น — เขากล่าวเพิ่มเติมดังนี้ “ชาติที่มั่งคั่งแท้จริง คือชาติที่มีชั่วโมงการทำงาน 6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 12 ชั่วโมงต่อวัน ความมั่งคั่งไม่ใช่การมีอำนาจควบคุมเวลาทำงานส่วนเกิน… แต่คือเวลาว่างนอกเหนือจากเวลาที่ต้องใช้ในขั้นการผลิตโดยตรง สำหรับทุกปัจเจกชนและสังคมโดยรวม”

จุดนี้แหละที่ชี้ให้เห็นว่าทุนนิยมจะสร้างความเป็นไปได้สำหรับ “การพัฒนาตัวตนอย่างเสรีของปัจเจกชน” รวมไปถึงผู้ใช้แรงงาน และนอกจากนั้น ดังที่ผมได้เคยพูดถึงไปแล้ว และจะขอกล่าวถึงอีกครั้งหนึ่งว่ามาร์กซ์ได้เน้นย้ำตลอดๆว่าการพัฒนาตัวตนอย่างเสรีของปัจเจกนี่แหละที่เป็นจุดหมายปลายทางที่การกระทำร่วม (collective action) กำลังผลักดันให้เกิดขึ้น ความคิดที่แพร่หลายไปทั่วว่ามาร์กซ์พูดถึงแต่การกระทำร่วมและการกดทับความสำคัญของปัจเจกนั้นไม่ถูกต้อง

กลับกันต่างหาก มาร์กซ์เห็นสมควรกับการส่งเสริมการกระทำร่วมเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพสำหรับปัจเจกบุคคล เราจะกลับมาที่แนวคิดนี้อีกครู่หนึ่ง แต่ประเด็นเรื่องศักยภาพเพื่อการพัฒนาตัวตนอย่างเสรีของปัจเจกชนคือเป้าหมายสำคัญของสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่ 

การใช้แรงงานที่จำเป็นและไม่จำเป็น

ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับ “การลดทอนการใช้แรงงานจำเป็นโดยรวม” นั่นก็คือปริมาณการใช้แรงงานที่จำเป็นต่อการผลิตซ้ำการใช้ชีวิตประจำวันในสังคม ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของการใช้แรงงานจึงแปลว่า ความจำเป็นพื้นฐานของสังคมจะได้รับการตอบสนองโดยง่ายดาย เงื่อนไขเช่นนี้จะอนุญาตให้มีเวลาว่างเหลือเฟือสำหรับการพัฒนาทางศิลปะและองค์ความรู้ที่มีศักยภาพเพียงพอจะเกื้อหนุนให้ปลดปล่อยปัจเจกชนเป็นอิสระ

แม้ช่วงแรกๆ จะเอื้อให้เกิดขึ้นในหมู่อภิสิทธิ์ชนไม่กี่คน แต่ท้ายที่สุดแล้วจะสร้างเวลาว่างเสรีให้กับทุกคน นั่นก็คือการปลดปล่อยปัจเจกชนให้เป็นอิสระที่จะทำสิ่งที่ปรารถนาเป็นจุดสำคัญ เพราะคุณตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานโดยใช้งานเทคโนโลยีที่ฉลาดล้ำได้แล้ว

แต่ปัญหาดังที่มาร์กซ์ชี้ให้เห็นก็คือ ตัวทุนนั่นเองคือ “ความย้อนแย้งอันไม่หยุดนิ่ง” ทุนจะกดให้เวลาการทำงานเหลือน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันอีกด้านก็ฉายภาพเวลาการทำงานว่าเป็นตัวชี้วัดและแหล่งที่มาเพียงหนึ่งเดียวของความมั่งคั่ง” ดังนั้นทุนจึงบั่นทอนเวลาทำงานในรูปแบบที่จำเป็น — นั่นคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ [ต่อการใช้ชีวิตของแรงงานและสังคมโดยรวม – ผู้แปล] — เพื่อไปเพิ่มในส่วนที่ล้นเกิน

ถึงจุดนี้ รูปแบบที่ล้นเกินคือสิ่งที่มาร์กซ์เรียกว่ามูลค่าเพิ่ม (surplus value) คำถามก็คือใครจะเป็นคนที่กุมส่วนเกินนั้นไป ประเด็นปัญหาที่มาร์กซ์ชี้ให้เห็นคือไม่ใช่ว่ามูลค่าส่วนเกินไม่มีอยู่ แต่ไม่ได้มีอยู่สำหรับแรงงาน ขณะที่แนวโน้มก็คือ “ด้านหนึ่งมีเพื่อสร้างเวลาว่าง” ส่วนอีกด้านหนึ่งคือการ “เปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นแรงงานส่วนเกิน [surplus labor – แรงงานส่วนเกินที่เกินมาจากการใช้แรงงานจำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิต – ผู้แปล]” เพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน 

มันไม่ถูกนำไปใช้สำหรับการปลดปล่อยผู้ใช้แรงงานตามที่ควรจะเป็น แต่ถูกใช้ไปกับการเสริมเติมแต่งอาภรณ์ของพวกกระฎุมพี และถูกใช้เพื่อสั่งสมความมั่งคั่งผ่านวิธีการดั้งเดิมภายในชนชั้นกระฎุมพีเอง 

นี่คือความขัดแย้งที่เป็นหัวใจ “ความมั่งคั่งที่แท้จริงของชาติ” มาร์กซ์กล่าว “เราจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร นั่นก็คือ” เขากล่าวต่อไปว่า “คุณจะเข้าใจมันในรูปแบบของปริมาณเงินมหาศาลและอะไรทำนองนี้ทั้งหมดที่ใครสักคนมีอำนาจบงการ” แต่สำหรับมาร์กซ์ ดังที่เราได้รับรู้กันไปแล้วว่า “ชาติที่มั่งคั่งอย่างแท้จริงคือชาติที่ช่วงเวลาการทำงานในหนึ่งวันคือ 6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 12 ชั่วโมง ความมั่งคั่งไม่ได้วัดกันที่อำนาจบงการเหนือแรงงานส่วนเกิน แต่เป็นเวลาว่างนอกเหนือจากเวลาที่จำเป็นที่ใช้ในการผลิตโดยตรงสำหรับทุกปัจเจกชนในสังคมโดยรวม”

หมายความว่า ความมั่งคั่งของสังคมใดก็ตามชี้วัดด้วยปริมาณเวลาว่างที่พวกเรามี เพื่อจะทำอะไรก็ได้ที่เราปรารถนาโดยไร้ซึ่งโซ่ตรวนที่มาจากความจำเป็นพื้นฐานในชีวิตของเรามีเพียงพอแล้ว และนี่คือข้อโต้แย้งหลักของมาร์กซ์ คุณต้องมีขบวนการเคลื่อนไหวร่วมเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าสังคมหน้าตาเช่นนั้นจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่อะไรที่มาขวางทางพวกเรา แน่นอน นั่นคือข้อเท็จจริงว่าด้วยความสัมพันธ์ของชนชั้นที่กุมอำนาจ และการใช้อำนาจของพวกชนชั้นนายทุน 

ภายใต้การล็อกดาวน์

กลับมาในห้วงปัจจุบัน มีเสียงสะท้อนที่น่าฉงนของเรื่องราวเหล่านี้จากสถานการณ์ล็อกดาวน์ในปัจจุบัน และการล่มสลายของเศรษฐกิจที่เป็นผลตามมาของโคโรนาไวรัส พวกเราหลายคนอยู่ในสถานการณ์ที่แต่ละคนล้วนมีเวลาว่างมากมาย พวกเราส่วนใหญ่ติดตรึงอยู่ในบ้าน 

เราไม่อาจเดินทางไปทำงาน เราไม่อาจทำสิ่งที่เราทำโดยปกติได้ แล้วเราจะรับมืออย่างไรกับเวลาว่างที่เรามี? ถ้าพวกเรามีลูกเล็ก แน่นอนเราน่าจะมีอะไรทำอยู่แล้วล่ะ แต่พวกเรากำลังอยู่ในจุดที่เรามีเวลาว่างมากอย่างมีนัยยะสำคัญ

ประเด็นที่สองก็คือ แน่ทีเดียว เรากำลังเผชิญกับสภาพการว่างงานจำนวนมาก ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในสหรัฐอเมริกาตัวเลขอย่าง 26 ล้านคนคือคนที่สูญเสียหน้าที่การงาน โดยปกติแล้วอาจจะพูดได้ว่านี่คือหายนะไปแล้ว และแน่นอน นี่คือหายนะจริงแท้ทีเดียว เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณตกงาน คุณได้สูญเสียความสามารถผลิตซ้ำการใช้แรงงานของตัวเองโดยการไปจับจ่ายของในห้างร้าน นั่นเพราะว่าคุณไม่มีเงินเหลืออีกต่อไป 

ผู้คนมากมายได้สูญเสียประกันสุขภาพ และผู้คนอีกมากกำลังเผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงเงินช่วยเหลือจากการว่างงาน สิทธิในที่อยู่อาศัยกำลังจะถูกช่วงชิงไปเพราะทั้งค่าเช่าและค่าผ่อนบ้านกำลังจะครบกำหนดจ่าย ประชากรส่วนใหญ่ของสหรัฐ — ซี่งน่าจะอยู่ที่ราว 50 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนทั้งหมด — ถือเงินอยู่ไม่ถึง 400 เหรียญ [ประมาณ 13,000 บาท] อยู่ในธนาคารเพื่อพร้อมรับมือกับอุบัติเหตุเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงเลยถ้าต้องเจอกับวิกฤตขนานใหญ่ที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ 

source: BBC

ชนชั้นแรงงานใหม่

ผู้คนเหล่านี้มีแนวโน้มจะลงถนนประท้วงในเร็ววันอย่างแน่นอน ด้วยความอดอยากที่จ้องเขม็งพวกเขาและลูกเล็กอยู่ แต่เราลองมามองสถานการณ์ให้ลึกลงไปกว่านี้ด้วยกัน

กำลังแรงงานที่ถูกคาดคั้นให้เป็นคนดูแลจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นหรือต้องเอื้ออำนวยความสะดวกเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตประจำวันได้นั้นมีลักษณะไม่เท่าเทียมทางเพศสูง แบ่งแยกสีผิว และแบ่งแยกเชื้อชาติ นี่คือ “ชนชั้นแรงงานใหม่” ที่เป็นด่านหน้าของทุนนิยมยุคปัจจุบัน กลุ่มคนเหล่านี้ต้องแบกรับภาระอยู่สองอย่างไว้พร้อมกัน นั่นคือพวกเขาคือผู้ใช้แรงงานที่มีความเสี่ยงติดไวรัสขณะทำงาน และมีความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างโดยไม่มีการชดเชยทางการเงินเพราะสถานการณ์บีบบังคับทางเศรษฐกิจที่ถูกผลักดันโดยการระบาดของไวรัส

ชนชั้นแรงงานยุคปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา — ประกอบด้วยคนส่วนใหญ่ที่มีเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน ลาตินอเมริกา และผู้หญิงที่รับค่าแรงรายวัน — พวกเขากำลังเผชิญกับตัวเลือกอันน่าขยะแขยง นั่นคือระหว่างต้องทนทรมานกับการติดเชื้อระหว่างที่ดูแลผู้คนและค้ำยันภาคส่วนที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต (อย่างเช่นร้านสะดวกซื้อ) ให้เปิดต่อไปได้ หรือตัวเลือกอย่างการว่างงานโดยไม่ได้รับค่าชดเชยอะไรเลย (อย่างประกันสุขภาพที่เพียงพอ) 

กำลังแรงงานเหล่านี้ถูกกล่อมเกลาให้ประพฤติตัวเป็นตัวตนตามขนบเสรีนิยมใหม่ (neoliberal subject) ที่ดี ซึ่งหมายถึงการหันมาโทษตัวเองหรือพระผู้เป็นเจ้าถ้ามีอะไรที่ผิดเพี้ยนในชีวิต แต่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกว่าตัวทุนนิยมเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของปัญหา แต่กระนั้นก็ตาม ตัวตนตามขนบเสรีนิยมใหม่ที่ดีน่าจะสังเกตได้ว่ามีอะไรผิดเพี้ยนไปมากเมื่อมองไปที่การตอบสนองต่อสถานการณ์แพร่ระบาดแล้วมาเทียบกับภาระหนักหนาอันไร้ความสมเหตุสมผลที่พวกเขาต้องรับเพื่อแลกกับการค้ำจุนระเบียบทางสังคมให้เดินต่อไป

จินตนาการใหม่

การขับเคลื่อนสังคมโดยส่วนรวมเพื่อรับมือกับโควิด-19 จำเป็นต่อการนำพาพวกเราออกจากวิกฤตนี้ เราต้องการการกระทำร่วมเพื่อควบคุมการระบาด — ทั้งเรื่องการล็อกดาวน์ พฤติกรรมการเว้นระยะห่าง และอื่นๆ การขับเคลื่อนสังคมโดยส่วนรวมเช่นนี้แหละที่จำเป็นต่อการปลดปล่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ปัจเจกชนจะดำรงชีวิตในวิถีทางที่ต้องการได้สักวัน นั่นเพราะว่าเราไม่อาจใช้ชีวิตอย่างที่เราปรารถนาได้ในตอนนี้ 

สถานการณ์เช่นนี้กลับกลายเป็นการเปรียบเปรยที่ดีเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวทุนนั้นเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่า [สังคมทุนนิยม] คือการสร้างสังคมที่พวกเราส่วนใหญ่ไม่อาจมีอิสระทำสิ่งที่ปรารถนา เพราะพวกเราถูกเหนี่ยวรั้งให้ทำการผลิตความมั่งคั่งเพื่อชนชั้นนายทุน

สิ่งที่มาร์กซ์อาจจะกล่าวในสถานการณ์เช่นนี้คือจะเป็นอย่างไรหากคนที่ตกงานจำนวน 26 ล้านคนหาทางใดก็ทางหนึ่งเพื่อมีเงินจำนวนเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ซื้อสินค้าที่จำเป็นเพื่อเอาชีวิตรอด และเช่าที่อยู่เพื่อซุกหัวนอน แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาถึงไม่ควานหาการปลดปล่อยขนานใหญ่จากการทำงานที่แปลกแยกกับตัวเอง

หากจะพูดอีกทาง เราต้องการออกจากวิกฤตนี้ด้วยการพูดว่าคนจำนวน 26 ล้านคนรอกลับไปทำงาน ซึ่งเป็นงานแสนเลวร้ายดังที่พวกเขาได้ทำมาก่อนเช่นนั้นหรือ นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการเช่นนั้นหรือ หรือว่าพวกเราต้องการตั้งคำถามว่ามีทางใดบ้างที่จะจัดสรรการผลิตสินค้าและบริการพื้นฐานเพื่อให้ทุกคนมีอันจะกิน เพื่อให้ทุกคนมีบ้านใต้ชายคาที่ดีเพื่ออยู่อาศัย และพวกเราจะผลักดันให้หยุดการไล่คนออกจากบ้านเช่า และทุกคนจะได้มีชีวิตโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่ากันถ้วนหน้า นี่คือห้วงเวลาที่เราต้องคิดกันอย่างตระหนี่ถี่ถ้วนถึงการสร้างสังคมใหม่ไม่ใช่หรือ

ถ้าเราหนักแน่นและฉลาดหลักแหลมเพียงพอจะรับมือกับไวรัสตัวนี้ได้ แล้วทำไมจะรับมือกับทุนในเวลาเดียวกันไม่ได้ล่ะ แทนที่จะบอกว่าพวกเราต้องการกลับไปทำงานและทวงคืนหน้าที่การงานเดิมและฟื้นคืนทุกอย่างที่เคยเป็นเหมือนก่อนวิกฤตจะเริ่มขึ้น เช่นนั้นเราอาจจะต้องถามว่าทำไมถึงออกจากวิกฤตนี้โดยสร้างระเบียบสังคมที่เปลี่ยนผันไปจากเดิมทั้งหมดไม่ได้กันล่ะ

ทำไมพวกเราถึงไม่หยิบฉวยหน่อเนื้อของสังคมกระฎุมพีเดิมที่กำลังพังทลายให้กำเนิดออกมา — ทั้งศาสตร์และองค์ความรู้อันน่าตื่นตาตื่นใจรวมทั้งเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิต — และปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ ใช้งาน AI รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและรูปแบบการจัดการทั้งหลายเพื่อให้เราสร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่างอย่างถึงรากจากสิ่งที่เคยปรากฎมาก่อนได้

ทางเลือกใหม่ที่ปลายอุโมงค์

แม้กระนั้นก็ตามในห้วงเวลาวิกฤตฉุกเฉินเช่นนี้ พวกเราได้ทดลองรูปแบบของสังคมใหม่ในทุกด้านกันอยู่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่การอุดหนุนอาหารฟรีให้กับย่านชุมชนและกลุ่มคนยากจน ไปจนถึงการรักษาพยาบาลฟรี หรือแม้กระทั่งรูปแบบใหม่ของการเข้าถึงทรัพยากรผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และอื่นๆ อีกมาก ที่จริงแล้วนั้นรูปร่างหน้าตาของสังคมแบบสังคมนิยมรูปแบบใหม่กำลังเผยให้เห็นออกมาซึ่งหน้าแล้ว — นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมฝ่ายขวาและชนชั้นนายทุนกำลังกระเหี้ยนกระหืออยากนำพาสังคมให้กลับไปเป็นแบบเดิม 

นี่คือห้วงเวลาแห่งโอกาสที่จะคิดคำนึงว่าหน้าตาของทางเลือกอื่นจะเป็นอย่างไร นี่คือห้วงเวลาที่ความเป็นไปได้ของสังคมใหม่กำลังมีเลือดมาหล่อเลี้ยง แทนที่จะตอบสนองอย่างฉับพลันทันด่วนและกล่าวว่า “พวกเราต้องรีบสร้างงานสำหรับ 26 ล้านคนให้กลับมาโดยเร็วที่สุด” พวกเราควรจะมุ่งเป้าที่การขยายผลบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ไปในวงกว้างมากขึ้น เช่นการจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นร่วมกัน

สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นแล้วในบริบทของประกันสุขภาพพื้นฐาน แต่เริ่มจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นโดยทำให้การเข้าถึงวัตถุดิบประกอบอาหารหรือแม้กระทั่งอาหารปรุงสำเร็จเป็นไปอย่างถ้วนหน้า นครนิวยอร์กในตอนนี้ ระบบหลังร้านของร้านอาหารหลายแห่งยังเปิดอยู่ และเป็นผลจากการบริจาคของผู้คน พวกเขากำลังแจกจ่ายมื้ออาหารฟรีให้กับประชากรจำนวนมากที่ตกงานและกำลังมืดแปดด้าน 

แทนที่จะกล่าวว่า “เอาล่ะ ที่กำลังทำอยู่นี่มันก็แค่ในช่วงวิกฤตฉุกเฉินเท่านั้น” ทำไมเราถึงไม่กล่าวว่านี่แหละคือห้วงเวลาที่เราต้องเริ่มผลักดันให้ร้านอาหารเหล่านี้เห็นว่าภารกิจของพวกคุณคือการทำให้ประชากรอิ่มท้อง เพื่อให้ทุกคนมีมื้ออาหารที่ดีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองมื้อต่อวัน

จินตนาการแบบสังคมนิยม

และเราก็มีหน่อเนื้อของสังคมเช่นนั้นอยู่ในมือแล้ว ดังที่เห็นได้จากโรงเรียนจำนวนมากสนับสนุนมื้ออาหารโรงเรียน (school meal) สำหรับนักเรียน [ซึ่งการปิดโรงเรียนช่วงโควิดทำให้เด็กจากครอบครัวยากจนไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ – ผู้แปล] เป็นต้น ก็ขอให้ทำเช่นนี้ต่อไปเถิด หรือ อย่างน้อยก็เรียนรู้บทเรียนว่าหลายสิ่งอย่างจะเกิดขึ้นได้ขอเพียงแค่เราเอาใจใส่มัน นี่ไม่ใช่หรือคือห้วงเวลาที่เราจะใช้จินตนาการแบบสังคมนิยมเพื่อสร้างสังคมใหม่ขึ้นมา

นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เอาล่ะ ลองดูร้านอาหารมากมายบนย่านอัปเปอร์เวสต์ไซด์ (Upper West Side – พื้นที่ในเขตแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก) ที่ถูกปิดและแช่แข็งงอยู่อย่างเงียบงัน ให้ผู้คนกลับมาสิ พวกเขาจะได้เริ่มทำอาหารและจ่ายแจกให้ประชากรบนท้องถนน ในบ้านเรือนและผู้สูงอายุได้ เราต้องการปฏิบัติการร่วมเช่นนั้นเพื่อให้พวกเราทุกคนมีชีวิตอย่างเสรี

ถ้าคนตกงาน 26 ล้านคนจะต้องกลับไปทำงาน แต่ชั่วโมงการทำงานจะเหลือแค่ 6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 12 ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้พวกเราชื่นชมกับความรับรู้ที่ต่างออกไปว่าการอาศัยในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่จริงๆ ก็ได้ (ปล่อยให้คำว่า “อีกครั้ง” เน่าเปื่อยในถังขยะของสายธารประวัติศาสตร์ไปเถอะ)

นี่คือจุดที่มาร์กซ์ได้เน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ารากฐานที่แท้จริงของปัจเจกชน เสรีภาพ และการปลดปล่อย ดังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันกับสิ่งที่ยกย่องเชิดชูกันนักหนาในอุดมการณ์ของพวกกระฎุมพี นั่นคือสถานการณ์ที่ความจำเป็นพื้นฐานของพวกเราได้รับการดูแลผ่านการกระทำร่วม เพื่อให้พวกเราได้ทำงานเพียงแค่ 6 ชั่วโมงต่อวัน และจะได้ใช้เวลาที่เหลือดังที่ใจปรารถนา 

โดยสรุปแล้ว นี่ไม่ใช่หรือที่เป็นห้วงเวลาอันน่าสนใจยิ่งที่เราจะครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงการขับเคลื่อนและความเป็นไปได้ที่จะสร้างสังคมใหม่ สังคมแบบสังคมนิยม แต่ก่อนที่เราจะเดินไปถึงเส้นทางของการปลดปล่อยนั้น พวกเราจำเป็นต้องปลดปล่อยตัวเราเองเป็นอันดับแรก ให้เห็นว่าจินตนาการใหม่นั้นเป็นไปได้พร้อมไปกับการสรรค์สร้างความเป็นจริงรูปแบบใหม่ขึ้นมา 


หมายเหตุ: ผู้แปลขอขอบคุณความช่วยเหลือและคำแนะนำจากอติกานต์ สิทธิชาติ และวศินี

การยึดครั้งนี้เป็นไปเพื่อการปลดปล่อย: ว่าด้วยการกระทำอันหาญกล้าของกองหน้าศิลปินมช.

การยึดครั้งนี้เป็นไปเพื่อการปลดปล่อย: ว่าด้วยการกระทำอันหาญกล้าของกองหน้าศิลปินมช.

เรื่อง & ภาพ สินละปะ

กลางเดือนตุลาคมอันมืดมิดที่หวนกลับมาอีกครั้ง นักศึกษาและศิลปินผู้ทำการผลิตงานสร้างสรรค์ได้ทำลายโซ่ตรวนของอำมาตย์ศักดินาหน้าประตูหอศิลป์มช.ลงเสียสิ้น ผู้ก่อการกว่าร้อยชีวิตบุกเข้ายึดอาคารที่อ้างว่าเป็นของมช. แต่น่าเสียดาย มันไม่เคยเป็นของประชาคมชาวมช.เลยสักเสี้ยววินาที มันเป็นเพียงสถานที่ว่างเปล่าที่เอาไว้ปล่อยเช่า มันดูดเอากำลังแรงงานของนักศึกษาที่ออกมาในรูปของงานศิลป์ซึ่งจำต้องจัดแสดงเพื่อผ่านเกณฑ์การประเมินก็เท่านั้น แต่บัดนี้มันกำลังเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ เปลี่ยนเป็นของส่วนรวม ของประชาคมชาวมช. ผ่านปฏิบัติการยึดเพื่อจัดแจงการแสดงงานอย่างเป็นประชาธิปไตย!

นานมากแล้ว ที่กลุ่มบุคคลส่วนน้อยผู้กุมอำนาจเถื่อนอยู่ในมือภายใต้หัวโขนของอำมาตย์รูปแบบใหม่ อำมาตย์เหล่านี้ถือตนว่าบงการภายใต้กฎแห่งการแข่งขันในตลาดที่มีประสิทธิภาพล้นเปี่ยม แต่ขณะเดียวกันกลับติดหน่วงพ่วงระบบเอกสารไม่ต่างจากสมัยระบบอำมาตย์ราชการล้าหลังอยู่เช่นเคย กล่าวคือ การบริหารจัดการพื้นที่ของหอศิลป์มช. และมหาวิทยาลัยโดยทั่วไปอยู่ในรูปแบบการผสมกันอย่างน่าอดสู ระหว่างระบบรัฐราชการเทอะทะ และปีศาจที่มองไม่เห็นอย่างตลาดเสรี กลายเป็นระบบตัวเงิน-ตัวทอง เอาข้อเสียของทั้งสองอย่างมายำเข้าไว้ด้วยกัน นักศึกษา อาจารย์ ผู้ชมงาน ต่างก็ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบพิธีการตามจารีตอันนอบน้อมสยบยอมราวกับว่าเราอยู่ในระบอบเก่าเสียอย่างนั้น อีกทั้งความโหดร้ายป่าเถื่อนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมของผีห่าซาตานที่มีชื่อว่าตลาดเสรีก็ขูดรีดเลือดเนื้อกำลังทรัพย์จากนักศึกษาและผู้ปกครองอย่างมูมมาม ไม่มีอะไรฟรี และไม่มีเสรีภาพ ณ พื้นที่ในกำมือของอำมาตย์ทาสนายทุน!

มหาวิทยาลัยคือปีศาจของแฟรงเกนสไตน์ตนหนึ่ง มันประกอบขึ้นมาจากส่วนเสี้ยวอันพิลึกพิลั่นของระบบต่าง ๆ เพื่อจัดสร้างโลกที่เต็มไปด้วยลำดับชั้นสูงต่ำ การทำงานของมันจึงเต็มไปด้วยความย้อนแย้งราวกับใบหน้าของเทพเจนัสที่มีสองด้านและหันออกจากกันเสมอ ประพฤติตนราวกับเป็นผู้อุ้มชูคบไฟแห่งปัญญา แต่หากไม่มีเงินตรา ลูกช้างเอ๋ย เจ้าจงออกไปจากที่แห่งนี้เสีย ประพฤติตนราวกับผู้เจริญด้วยปัญญา แต่หากไม่เดินตามข้า ลูกช้างเอ๋ย เจ้าก็จงออกไป ความลักลั่นย้อนแย้งเหล่านี้มิใช่ความงงงวย หน้าไหว้หลังหลอก ความหน้าหนาของเหล่าอำมาตย์ชนชั้นปกครอง หรือเป็นซากเดนตกค้างของระบอบใด ๆ ทั้งสิ้น หากแต่เป็นผลจากความพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะสถาปนาอำนาจขึ้นเพื่อข่มขี่มนุษย์ทุกคนให้สยบตามระบบ อำนาจทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมืองใด ๆ ต่างก็ถูกนำมาใช้เพื่อการนี้โดยไม่ต้องสนใจถึงความสอดคล้องกันทางตรรกะ เพราะตรรกะมิใช่เป้าหมายของมหาวิทยาลัย

เหตุเช่นว่านี้ นักศึกษาและประชาคมชาวมช. รู้แจ้งเห็นจริงกันมาโดยตลอด แต่ด้วยการณ์ที่พลังรวมหมู่ทางสังคมยังไม่ปะทุขึ้น รูปการของการกดขี่ข่มเหงคนด้วยกันเช่นนี้จึงดำเนินไปราวกับว่าไม่มีวันจบสิ้น นักศึกษาและผู้ปกครองชนชั้นกรรมาชีพหลายคนต้องทำงานพิเศษ กู้หนี้ยืมสินเพียงเพื่อจัดแสดงงานในหอศิลป์ที่(อ้างว่า)เป็นของมช.นี้มายาวนาน มันคือปฏิบัติการข่มเหงทางชนชั้นอย่างชัดเจน!

แต่บัดนี้พลังความเคียดแค้นที่สั่งสมกันมา เดือดพล่านปะทุขึ้นมาอีกครั้งภายใต้บรรยากาศทางการเมืองที่ชุลมุนกันอยู่ ณ ขณะนี้ ในขณะที่เยาวรุ่นกรรมาชีพเมืองกรุงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนานในรูปแบบใหม่ เยาวรุ่นและผู้สูงวัย 5,000 ปีก็เติมไฟลามทุ่งทางทิศเหนือขึ้นมาอีกครั้ง สหายแห่งล้านนาร่วมกันทำให้คบเพลิงแห่งคชสารแผ่ซ่านลงผืนดิน ช้างจะไม่ได้ชูไอติมรสกะทิอีกต่อไป แต่เป็นรสชาติเพลิงไฟประชาธิปไตยของประชาคมฯ

เมื่อปฏิบัติการเบื้องต้นสำเร็จผลเป็นการชัดเจน ตั้งแต่ก้าวแรกที่สหายกองหน้าแห่งประชาคมฯ ก้าวเข้าไปเหยียบถิ่นฐานที่อำนาจเถื่อนกอดกุมมันไว้นั้น ฝ่ายปฏิกิริยาก็ตัดสินใจ ตัดน้ำ ตัดไฟ อย่างฉับพลันทันด่วน แม้เป็นเวลานอกราชการก็ตาม เรื่องเหล่านี้สามัญชนคนอย่างเราๆ รู้เห็นเช่นชาติกันมานาน หากเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งอาณาประชาราษฎร์แล้วไซร้ พวกอำมาตย์ก็ชักช้าคอยท่า คอยปฏิบัติตามระเบียบในเวลาราชการอย่างมิขาดตกบกพร่อง หากแต่พอเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางชนชั้นของตัวเองนั้น กลับรวดเร็วเสียยิ่งกว่าจับปากกาเซ็นชื่อเสียอีก

ทั้งนี้ ที่ขบวนการประชาธิปไตยประชาคมฯ ยังคงอยู่รอดสืบสานต่อไปได้ ก็ด้วยแรงใจ แรงกาย แรงคิดที่ร่วมด้วยช่วยกันอย่างเป็นหมู่คณะของชาวประชาคมฯ ทั้งหมดทั้งปวง ที่เบ่งบานขยายออก เพิ่มแนวร่วมมากมาย น้ำไฟ ที่โดนตัดด้วยอำนาจเถื่อน ก็มิอาจขัดขวางน้ำไฟจากชาวประชาที่หลังไหลเข้ามาทั้งตามตัวอักษรและตามอารมณ์ความรู้สึกทางใจที่เข้าช่วย

ปรากฏการณ์เหล่านี้สร้างอะไรใหม่หรือ? ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นอาชญากรรมงั้นฤา? หรือจริงๆ แล้วมันคือการปฏิวัติของประชาคมฯ?

คำตอบของคำถามดังกล่าวมิอาจตอบได้ผ่านทางข้อเขียนหรือการถกเถียงทางความคิดที่หลุดลอยจากปฏิบัติการจริงที่กำลังเกิดขึ้น แต่จะตอบได้ผ่านปฏิบัติการที่ดำเนินเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ของสังคมและตัวตนรวมหมู่ของผู้คนที่ลงมือกระทำการอยู่ ณ พื้นที่ส่วนรวมที่กำลังเกิดขึ้น ปฏิบัติการประชาธิปไตยของประชาคมฯ กำลังตั้งท้าทายรูปแบบการจัดแสดงงานศิลปะภายใต้เงื้อมมือของคนส่วนน้อยที่ถือดีว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ประชาธิปไตยของประชาคมจะไปในทิศทางใดต่อก็คงต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจริงผ่านการเดินทัพทางไกลของปฏิบัติการ ณ พื้นที่ซึ่งประชาคมกำลังปลดปล่อยให้มันเบ่งบานด้วยอำนาจของปวงประชา สิ่งนั้นอาจมาในรูปของสมัชชาประชาธิปไตยเพื่อการจัดแสดงงานศิลปะของประชาคมมช. หรือด้วยชื่ออื่น รูปอื่นก็เป็นได้ สิ่งนี้(ยัง)ไม่เกิดขึ้น

แต่ที่เกิดขึ้นแล้ว คือการตั้งคำถามต่อการจัดแสดงศิลปะในรูปแบบเดิมๆ ที่ผู้จัดแสดงและผู้ชม เป็นเพียงผู้เช่า หรือลูกค้าเท่านั้น ทำอย่างไรผู้จัดแสดงและผู้ชม จะได้ร่วมตัดสินใจอย่างเป็นประชาธิปไตยกับการจัดแสดงศิลปะได้บ้าง? คำถามเชิงศิลปะเหล่านี้สามารถสร้างสภาวะของความเลยเถิดที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อเส้นแบ่งต่าง ๆ ที่ดำรงอยู่ เส้นแบ่งของความเหมาะสม เส้นแบ่งของความเป็นเจ้าของ เส้นแบ่งของอำนาจ ไม่ว่าคำถามนี้จะได้รับคำตอบในทางปฏิบัติหรือไม่ ไม่มีใครสามารถรู้อนาคตได้ แต่คำถามนี้จะไม่หายไป กระบวนการลากขีดเส้นครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตราบใดที่เรายังสู้ต่อ คำตอบก็ย่อมใกล้เข้ามาแน่นอน และเมื่อนั้นเอง สิ่งที่คงรูปอย่างหนักแน่นราวกับไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงก็ย่อมจะมลายหายไปในอากาศ

เดือนตุลาคมอันมืดมิดจะกลายเป็นเดือนที่ดวงตะวันได้เคลื่อนขึ้นมาประกาศศักดาแห่งพลังประชาธิปไตยของประชาชนหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ที่เรารู้กันดีก็มีแค่ว่า การเติมแรง เติมใจ เติมไฟให้คบเพลิงนี้สว่างไสวโชติช่วงจนกลายเป็นดวงอาทิตย์ก็เท่านั้นแหละ ที่จะทำให้ปฏิบัติการนี้เป็นหน่ออ่อนประชาธิปไตยประชาชนได้!

ขอคารวะแด่ประชาคมชาวมช.ทุกคน.

 


Creative Commons License

บทความและภาพประกอบนี้ใช้สัญญาอนุญาตครีเอฟทีฟคอมมอนส์ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน 4.0 นานาชาติ

 

คอมมิวนิสม์อันมีชีวิตจากสำนึกของรากหญ้า (Abahlali baseMjondolo)

คอมมิวนิสม์อันมีชีวิตจากสำนึกของรากหญ้า (Abahlali baseMjondolo)

ผู้เขียน Quixote Joe
ผู้แปล Nalanda Maleeya Buatong
บรรณาธิการ Editorial Team

หมายเหตุ บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนก้าวหน้า โดย Common School


คอมมิวนิสม์อันมีชีวิตจากสำนึกของรากหญ้า (Abahlali baseMjondolo)

ในวันที่ 10 มีนาคมปี 2005 สหายชาวแอฟริกาใต้จากสลัมเคเนดี้โรด (Kennedy road) (เดอร์บัน, แอฟริกาใต้) ต้องตกตะลึงเมื่อพวกเขาเผชิญกับฝูงรถแทร็กเตอร์ดันดินเริ่มเข้าเคลียร์พื้นที่จัดสรรติดกับแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกเขา แม้ว่ารัฐให้คำมั่นสัญญาว่าที่ดินนี้จะถูกใช้สำหรับการเคหะ แต่ไม่นานพวกเขาก็ค้นพบว่าแท้จริงพื้นที่นั้นจะถูกใช้เพื่อสร้างโรงอิฐ และเมื่อไม่เป็นไปตามคำมั่นสัญญา ผู้อยู่อาศัยในกระต๊อบทั้ง 750 คน ก็ทำการปิดทางหลวงหลักหกเลนใกล้ย่านธุรกิจหลักของเมือง ยื้อหยุดตำรวจไว้ได้สี่ชั่วโมงกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ “คนยากจนสุดๆ ในหมู่คนจน” ท้าทายความชอบธรรมตามกฎหมายของรัฐบาลสมัชชาแห่งชาติแอฟริกา (ANC) ซึ่งถูกรู้จักกันว่าเป็นพรรคสังคมนิยม การเผชิญหน้าส่งผลให้ผู้อาศัยในสลัมถูกปราบและ 14 รายถูกจับกุม ในเดือนต่อมาการขับไล่และมาตรการกดดันได้เริ่มขึ้น แต่ก็ได้รับการต่อต้านอย่างแข็งขันจากชุมชนสลัมอื่นๆ ที่เริ่มตัดขาดการพึ่งพาจากรัฐบาลแอฟริกาใต้ และสร้างรูปแบบการปกครองของตนเองขึ้นมา เดือนตุลาคมในปีเดียวกันนั้นเอง 12 แหล่งชุมชนได้ร่วมจัดตั้งสมัชชาอิสระ โดยเลือกชาย 17 คนและหญิง 15 คนขึ่นมาเป็นผู้แทน และจัดตั้งขบวนการอิสระของตัวเอง ขบวนการนี้ถูกรู้จักในนาม “Abahlali baseMjondolo (AbM)” (ภาษาซูลูแปลว่า “ขบวนการชาวกระต๊อบ”) ซึ่งไม่นานก็พัฒนากลายเป็นชุมชนสมาพันธรัฐอิสระที่เน้นย้ำ ‘การเมืองแบบทำมือ (homemade politics)’ ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าใจและสามารถค้นพบบ้านของตนเอง 

ขบวนการชาวกระต๊อบในแอฟริกาใต้เป็นกรณียกเว้น ที่มักพิสูจน์ให้เห็นถึงขบวนการอันมีชื่อว่าต่อต้านอาณานิคม หรือเป็นขบวนการสังคมนิยม/มาร์กซิสม์ นำโดยผู้นำไม่ธรรมดาประมาณเนลสัน แมนเดลา ที่ให้คำมั่นสัญญาต่อการปฏิวัติเปลี่ยนผ่าน แต่สุดท้ายก็เห็นสิ่งที่พยายามและใฝ่ฝันมาค่อยๆ เลือนหายไป เนื่องจากระบบรัฐการ (bureaucrats) ในอนาคตที่เน่าเฟะ และทุนนิยมที่ค่อยๆ แทรกซึมสู่ขบวนการ นี่ไม่ใช่ความผิดพลาดจากแนวคิดบันดาลใจของเหล่านักปฏิวัติ แต่มาจากแนวคิดที่ว่า การปฏิวัติต้องดำเนินงานจากพวกแนวหน้า ซึ่งจะเข้าไปมีอำนาจรัฐและดำเนินนโยบายหลังจากนั้น ในกรณีนี้เอง เราจะเห็นคนที่ยังผลักดันการปฏิวัติ ค่อยๆ มีชนชั้นรัฐการ (bureaucratic class) ของตนเองขึ้นมา และไม่นานก็โอบรับนโยบายแบบเสรีนิยมด้วยอำนาจนำของทุนนิยมจากตะวันตก สุดท้ายทิศทางก็เป็นไปตรงข้ามกับแนวคิดปฏิวัติสังคมนิยมนั้นเสียเอง

แล้วเราก็เห็นผลที่ตามมาจากการเกิดขึ้นขององค์กรที่เหมือนกับอนาคิสต์ระดับรากหญ้า ก่อร่างจากผู้คนที่ก่อนเคยสนับสนุนขบวนการปฏิวัติสังคมนิยม แต่ภายหลังกลับกลายเป็นว่าฟ่อนเฟะไม่ต่างจากเจ้าอาณานิคมก่อนหน้านั้น ทำนองเดียวกับซาปาติสตา (EZLN) และโรยาวา (Rojava) ขบวนการ AbM ได้ตกลงกันว่าจะร่วมมือและมีโครงสร้างการปกครองแบบกระจายอำนาจ (การปกครองส่วนท้องถิ่นแบบเสรี) ซึ่งเป็นอิสระจาก ‘เงื้อมเงาที่ฟ่อนเฟะ’ ของรัฐบาลแห่งชาติและระบบทุนโลก มันเป็นความร่วมมือที่ทุกหัวข้อปัญหาจะถูกสนทนาอย่างเป็นทางการในการประชุมแบบเปิดทุกๆ สัปดาห์ บางหัวข้อพิจารณากันยาวจนบางครั้งต้องประชุมกันหลายครั้ง จนผู้เข้าร่วมแสวงหาฉันทามติกันได้ ผู้แทนก็จะส่งไปถามความเห็นแต่ละชุมชนตามลำดับ หากไม่สามารถแสวงหาฉันทามติได้ หัวข้อปัญหานั้นจะต้องโหวต พวกเขาเน้นย้ำการทลายอำนาจรวมศูนย์ ผู้แทนเทศบาลจะถูกเลือกมากจากแต่ละชุมชนถิ่นฐาน และทำหน้าที่เป็นผู้ประสานเชื่อมต่อแต่ละชุมชน พวกเขารับคำสั่งให้ตัดสินใจตามที่ตัดสินใจร่วมกันมาแล้ว มากกว่าจะตัดสินใจในนามขบวนการใดขบวนการหนึ่งหรือชุมชนใดชุมชนหนึ่ง พวกเขาเน้นย้ำการกระจายอำนาจเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่แต่ละชุมชนจะมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจทั้งในลักษณะที่อิสระและรวมกลุ่ม ซึ่งกลยุทธ์ทั้งสองแบบของระบบองค์กรนี้เองจะช่วยตรวจจับผู้ที่มีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการของพวกเขา ที่ว่าเมื่อมีเหตุกระทำการภายนอกเข้ามากำหนดบังคับชุมชน โครงสร้างการเอารัดเอาเปรียบและการครอบงำก็จะมีแนวโน้มจะพัฒนาตัวขึ้นมา อันนำไปสู่พฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์และยกตนว่าดีกว่าเหล่าผู้มีส่วนร่วมกันเอง ซึ่งเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมอย่างถึงรากเช่นนี้  

AbM ยังเน้นย้ำเรื่องการประชุมพบปะ ตั้งแต่สถาปนาตัวเองขึ้นมา การประชุมพบปะก็กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการต่อสู้ของพวกเขา มันแทบจะเป็นแง่มุมเชิงพิธีกรรม มีกิจกรรมมากมายที่สานสามัคคีและรักษาความกล้าหาญในหมู่ชุมชน การประชุมพบปะมีทั้งดนตรี เต้นรำ และการระลึกถึงผู้ที่ตายไป เช่นเดียวกับการสนทนาตัดสินใจในทางเรื่องการเมือง เนื่องจากผู้อาศัยในสลัมส่วนใหญ่ยังคงนับถือศาสนา การประชุมพบปะจึงเริ่มขึ้นด้วยการสวดร้อง จากนั้นก็จะเป็นการอภิปรายอย่างจริงจังในหัวข้อปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ การสนทนาอภิปรายจะถูกขัดอยู่เนืองๆ ด้วยบทเพลงและจบลงด้วยการร้อง I am a Socialist โดยการประชุมพบปะนี้ได้กำหนดแนวทางที่เป็นภาระผูกพันสองประการหลัก นั่นคือจัดสร้าง “บ้านของคนจน” และความมุ่งมั่นต่อเรื่อง ‘การเมืองที่มีชีวิต’ ในด้านการจัดตั้งถิ่นฐาน “บ้านของคนจน” จะต้องคำนึงถึงความต้องการสร้างพื้นที่ที่ทุกคนได้รับความเคารพ จะไม่มีการโกหกและกินแหนงแคลงใจกัน ทุกชาติพันธุ์ เพศ กลุ่มคนอายุต่างๆ คนรวยและคนจน จะต้องรู้สึกปลอดภัยในพื้นที่นี้ เพื่อตนเองจะสามารถแสดงออกและความเห็นได้รับการเคารพ วิธีการนี้ช่วยผูกความคิดของคนในชุมชนเข้ากับหลักการที่ว่า ทุกคนล้วนสำคัญและควรค่าแก่การเคารพ ส่วน ‘การเมืองที่มีชิวิต’ อันเป็นข้อตกลงที่สองเป็นหัวใจหลักของ Abm เพื่อหลีกเลี่ยงการยึดติดรูปแบบและขจัดความเป็นลัทธิ ‘-นิยม’ (ภาษาทางวิชาการ) ที่ลอยตัวออกจากความเป็นจริง และส่วนใหญ่จะเป็นการให้อำนาจเพิ่มแก่พวกที่มีความรู้เฉพาะทางในโลกวิชาการ ข้อตกลงผูกพันในเรื่อง ‘การเมืองที่มีชีวิต’ คือการแสวงหาการพูดคุยและกระทำการที่มุ่งเน้นไปยังแนวคิดที่เป็นจริงและเป็นความต้องการของชุมชนเอง นี่ไม่ใช่การต่อต้านความรู้ แต่เป็นความรู้ที่ตอบโจทย์สถานการณ์จริง มากกว่าเพียงหลบอยู่ในภาษาที่ว่างเปล่า

Abahlali baseMjondolo

AbM ประสบความสำเร็จในการสร้างขบวนการและต่อต้านความพยายามของรัฐที่จะโยกย้ายชุมชนสลัมออกไป ในเดือนมิถุนายนปี 2021 ขบวนการมีสมาชิกมากขึ้นถึง 100,000 คน ขยับขยายเป็น 86 สาขาใน 5 จังหวัด พวกเขามีการประท้วงทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายอยู่เป็นประจำ เช่นมีการกระทำซึ่งหน้า (direct actions) อย่างการยึดครองที่ดินและติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นอิสระจากรัฐ อย่างเช่นระบบน้ำและไฟฟ้า รวมถึงมาตรการกฎหมายในเชิงกลยุทธ์เมื่อต้องต่อสู้ในศาล ในปี 2007 พวกเขาได้รับชัยชนะเรื่องรัฐบัญญัติสลัมควาซูลู-นาทาล (KwaZulu-Natal Slums Act) ที่พยายามบังคับให้เทศบาลต้องขับไล่ผู้อาศัยอยู่ในสลัมเมื่อเจ้าของที่ไม่สามารถทำได้ พวกเขายังคงเผชิญกับการควบคุมปราบปรามที่รุนแรง หนึ่งในเหตุการณ์รุนแรงที่สุดคือปี 2009 มีการโจมตีที่อยู่อาศัยเขตถนนเคนเนดี้จากพวกอันธพาลที่ถูกจ้างวานโดยตำรวจท้องถิ่น อันธพาลปล้นบ้าน ข่มขู่ผู้อยู่อาศัย และทำให้คนนับพันไร้ที่อยู่ และอีกสองคนที่ถูกฆ่าตาย เร็วๆ นี้พวกเขายังคงเผชิญหน้ากับการขับไล่และกระสุนจริง แม้ว่าจะมีการระงับการขับไล่เนื่องจากโรคระบาดโควิด-19 อย่างไรก็ตาม พันธกิจของพวกเขายังคงต้องสานต่อ มุ่งมั่นในการเมืองของผู้คนที่แสวงหาการอยู่ใต้อำนาจรัฐไปสู่ภาคประชาสังคม และด้วยบริบทที่เฉพาะตัวของแต่ละแหล่งอาศัย เอาชนะในการเข้าถึงบริการของรัฐเช่นเรื่องน้ำ ไฟฟ้า ห้องน้ำ การกำจัดขยะ การศึกษา และสาธารณสุข    

“ทุกคนย่อมรู้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แบบสตาลินทั่วโลกนั้นทำหน้าที่ปกป้องรัฐที่ต่อต้านการต่อสู้ของประชาชน นี่เป็นเรื่องจริงในบูดาเปสต์ปี 1968 ในปารีสปี 1968 และเป็นจริงในตอนนี้ที่กัลกัตตา เราไม่ได้ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เราอยู่เพื่อคอมมิวนิสต์ที่มีเลือดเนื้อและชีวิต เราอยู่เพื่อคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้นมาจากการต่อสู้ของคนธรรมดา ก่อเป็นรูปเป็นร่าง และเป็นของคนธรรมดาสามัญชน เราอยู่เพื่อคอมมิวนิสต์ที่สร้างมาจากรากฐานของชนชั้นล่าง เราอยู่เพื่อคอมมิวนิสต์ซึ่งที่ดินและความมั่งคั่งถูกแบ่งปันและจัดการอย่างเป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะพรรคหรือกลุ่มหรือเอ็นจีโอใดๆ ที่ประกาศจากด้านบนว่าเป็นกองหน้าของการต่อสู้ของประชาชน ประชาชนต้องยอมรับอำนาจตามหน้าที่ของตนนั้น ก็ล้วนแต่เป็นศัตรูของการต่อสู้ของเหล่าประชาชนเอง ความเป็นผู้นำนั้นคือสิ่งที่ได้รับมาและไม่มีทางอยู่ได้ถาวรมันไม่สามารถประกาศจากเบื้องบนได้ มันจะคงอยู่ตราบเท่าที่การต่อสู้ของชุมชนได้เลือกที่จะฝากความหวังไว้กับโครงสร้างใดโครงสร้างหนึ่ง บ่อยครั้งก็มีอยู่มากมายที่ความชอบธรรมและโครงสร้างประชาธิปไตยได้รวมอยู่ในขบวนการการต่อสู้เดียวกัน แหละนั่นคือเหตุผลที่ทำไมเรายังคงยืนยันว่า ความเป็นอิสระขององค์กรประชาธิปไตยของคนจนนั้นจะต้องได้รับการเคารพและยอมรับ”

สากลนิยมของเหล่าสตรีเพื่อการต่อต้านปิตาธิปไตยระดับโลก

สากลนิยมของเหล่าสตรีเพื่อการต่อต้านปิตาธิปไตยระดับโลก

ผู้เขียน Dilar Dirik นักกิจกรรมในขบวนการเคลื่อนไหวผู้หญิงชาวเคิร์ด
ผู้แปล/เรียบเรียง sirisiri
บรรณาธิการ Editorial Team

หมายเหตุ บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกที่ Roar Magazine
บทแปลได้รับการสนับสนุนจากกองทุนก้าวหน้า โดย Common School

บทนำ [ผู้แปล]

 ช่วงแรกนั้นแนวทางสตรีนิยมเคลื่อนไหวโดยมี “เพศหญิง” เป็นตัวแทนสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อมุ่งสู่ความเสมอภาคภายใต้พื้นที่ความเป็น หญิง/ชาย ทว่าในกระแสความคิดดังกล่าวได้ถูกพัฒนาและเผยให้เห็นเรือนร่างอื่นๆ ที่ถูกกดข่มไว้เพราะความผิดแผกจากกัน ผู้คนตระหนักรู้มากขึ้น บ้างพยายามปลดปล่อยตัวตนออกจากกรงในรูปแบบความเพิกเฉยที่มีต่อการดำรงอยู่ของพวกเขาเอง ทั้งก้าวพ้นไปไกลจากชื่อเรียกอันเป็นเส้นแบ่งทางเพศกำเนิดของผู้ร่วมขบวนการแต่แรกเริ่ม

Feminism ไม่สามารถหมายความถึง “ผู้หญิง” หรือการต่อสู้ของเพศหญิงเท่านั้นอีกต่อไป ขบวนการดังกล่าวเปิดพื้นที่ความเข้าใจที่อยู่เบื้องหลังกลไกอำนาจแบบปิตาธิปไตยซึ่งซ่อนอยู่ เช่น เงาคล้ายร่างมนุษย์เป็นตัวแทนของความจริงที่ขาดพลวัตลักลั่นแต่กลับมีเส้นแบ่งชัดเจนเหมือนกับสภาวะคู่ตรงข้ามอย่าง หญิง-ชาย ขาว-ดำ ดี-ชั่ว ถูก-ผิด เป็นตัวแทนของความเสร่อ ความอยุติธรรม ความน่าสมเพช และที่สำคัญที่สุดคือการเพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์อย่างสากล

‘บุตรของกษัตริย์บรรดาลลาภยศแก่มารดาของตน’ ‘ผู้ประกอบการน้อยใหญ่ใช้แม่บ้านหรือพ่อบ้านที่ดีเป็นสวัสดิการชั้นเลิศแก่ลูกจ้าง โดยไม่ต้องออกตัวสนับสนุนแต่อย่างไร’ ‘ผู้หญิงไม่เก่งเลข’ ‘เมื่อมีความคิดที่ถูกต้องบริบูรณ์แล้วเท่านั้นจึงควรแก่การปฎิวัติ’ ‘ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นเพราะฉันดีกว่าเขา’ ‘ว่ากันตามกฎหมาย’ ‘เราไม่ยุ่งเรื่องการเมือง’

หลักการหรือคำอธิบายต่างๆ จากโลกที่ชายเป็นใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนามของทุนนิยมในปัจจุบันดำเนินไปทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังความรับรู้ของมนุษย์ ไม่ใช่แค่ในร่างกายของผู้ชาย แต่มันยังแทรกตัวอย่างเงียบเชียบทว่าทรงพลังคล้ายกับรากของต้นไม้ที่ชอนไชเข้าหาแหล่งแร่ธาตุอันอุดมสมบูรณ์อยู่ในผืนโลก ในที่นี้เป็นโลกทัศน์เปรียบแหล่งอาหารสำคัญของต้นไม้ รากนั้นรับรู้ได้เองว่าจะต้องไปที่ไหนเหมือนธรรมชาติอันลี้ลับล้วนมีวิธีของมัน เป็นกฎธรรมชาติที่อนุญาตให้อะไรมีค่าได้ และอะไรไม่มีค่า

เราต่างสลับไปมาระหว่างความเป็นนักเรียน เป็นข้าราชการ เป็นลูก เป็นเพื่อน เป็นฟรีแลนซ์ ชาวต่างชาติ ชาวไทย ชาวพุทธ ชาวคริสต์ อิสลาม หรือชาวโลก หรือเป็นหลายอย่างพร้อมๆ กัน แท้จริงแล้วเรา “ควร” ดำรงอยู่ในสภาวะใด มนุษย์รับรู้จริงๆ หรือ ว่าคนที่อยู่ต่างอำเภอเป็น “พวกเดียวกัน” ผ่านภาพร่างโครงข่ายที่ทอดไกลออกไปในความทรงจำที่อ้างอิงกับรูปถ่ายทางภูมิศาสตร์บอกเล่าอาณาเขตของรัฐที่ไกลออกไปเกินเอื้อมถึงได้นำพาความคิดของมนุษย์เข้าไปสำรวจอะไรได้มากกว่าศีลธรรมของคนดีหรือไม่ ความเป็นเราของเรานั้นมีความหมายต่อเราทุกคนที่ล้วนแตกต่างกันอย่างไรและมากน้อยเพียงใด คำถามอาจไม่ใช่ว่าเราควรมองไกลแค่ไหน แต่เรามองเห็นอะไรแล้วบ้าง

การเมืองเรื่องเพศที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันยิ่งทำให้นึกถึงคำอธิบายของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งเผยให้เห็นความเป็นเพศที่เกี่ยวข้องกับปูมประวัติศาสตร์ก่อนการถือกำเนิดขึ้นของรัฐชาติ หรือก่อนความเป็นไทยในปัจจุบันทีขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นผ่านคติผีและพุทธ (ซึ่งเกิดขึ้นเช่นเดียวกันกับโลกตะวันตกในคริสต์ศาสนา) และแน่นอนว่ามันไม่ได้เป็นแค่ความเชื่อทางศาสนา แต่ยังสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเมือง ซึ่งท่านได้รวบรวมไว้เป็นจำนวนมาก และสามารถใช้เริ่มต้นเพื่อเข้าไปสำรวจสมรภูมิทางเพศว่าแท้จริงแล้วความเป็นหญิง/ชาย ตามขนบประเพณีที่ขาดๆ เกินๆ ในปัจจุบันนั้นกดทับความเสมอภาคของเราไว้อย่างแยบยลเพียงใด

 ปล. บทความแปล/เรียบเรียง ชิ้นนี้ มีการใช้สำนวนและคำของผู้แปลผสมปนเปเข้าไปเพื่อให้ผู้อ่านชาวไทยสามารถอ่านได้เข้าใจยิ่งขึ้น ผู้แปลไม่ได้แปลตรงตามต้นฉบับทั้งหมด หากมีข้อผิดพลาดอันใดก็ขออภัยมาในที่นี้ และยินดีรับคำติชมทุกประการ


สากลนิยมของเหล่าสตรีเพื่อการต่อต้านปิตาธิปไตยระดับโลก

การต่อสู้กับระบอบปิตาธิปไตยไม่ว่าจะโดยมืออาชีพ หรือมือสมัครเล่น ประสบการณ์เหล่านั้นล้วนทับถมนำไปสู่เครือข่ายที่แยบยลราวสายใยของโชคชะตาซึ่งเชื่อมต่อความรับรู้ของผู้คนจากเบื้องหลัง ภาพฝันที่เป็นเพียงฉากหน้าของสังคมที่แสนสมบูรณ์พูนสุขได้เผยให้เห็นว่าระหว่าง “อำนาจที่กดขี่” และ “วิถีปฎิวัติ” นั้นมีเพียงเส้นแบ่งแสนพร่าเลือนขวางกั้น ความสัมพันธ์อันอุดมไปด้วยความซับซ้อนที่มากกว่าแนวทางของคู่ตรงข้ามทั้งยังซ่อนตัวอยู่ภายใต้สามัญสำนึกของเรา

รัฐที่มองไม่เห็นสตรีเพศ

ราวกับธรรมชาติได้สรรสร้างขึ้น สังคมถูกจัดแบ่งเป็นลำดับชั้นทางอำนาจที่แน่นอนและเข้มงวด ธรรมชาติได้เชิดชูเป้าหมายของของเพศชายเป็นอุดมการณ์เพียงหนึ่งเดียว ทั้งทางเศรษฐกิจ และอำนาจนำทางการเมือง พร้อมกับที่ผลักไส “ผู้หญิง” ออกไปจากพื้นที่ต่อรองนั้นอย่างกระตือรือร้น ธรรมชาติดังกล่าวได้บิดเบือนสิ่งที่ควรจะเป็นความเสมอภาคของสตรีให้กลับกลายเป็น ข้อห้าม ศีลธรรม คอยกล่อมเกลาว่าผู้หญิงนั้นเป็นสมบัติของเพศชาย และพวกเขาไม่เคยเล่าถึงการต่อต้านของเหล่าสตรีที่ถูกกดขี่ ทั้งจลาจลที่ไม่มีอะไรจะเสียของพวกเธอ

วิธีการเช่นเดียวกับที่ใช้กดข่มความเป็นหญิงมีความคล้ายคลึงกับความรุนแรงที่ชาวอาณานิคมต้องประสบเมื่อเจ้าอาณานิคมเข้าแทรกแซง ไม่เพียงแค่ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนผ่านการทำให้ผู้ชายกลายเป็นผู้ถือสิทธิ์เด็ดขาดในเรือนของตน แต่ยังสร้างความเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน และส่งเสริมความรุนแรงเทียมระหว่างพวกเขา โดยการปิดกั้นอำนาจต่อรองโดยเสมอภาคที่มีแต่เดิม ทำให้เพื่อนบ้านไม่สามารถสื่อสารหรือแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ในพื้นที่ซึ่งเคยต้องพึ่งพิงกันผ่านกลไกที่ถูกจัดแจงไว้แล้วแต่เดิม และนี่คือการแบ่งแยกเพื่อปกครอง (divide and rule) คือภาพย่อส่วนของโครงสร้างอาณานิคมขนาดใหญ่

ห้วงเวลานับศตวรรษท่ามกลางลัทธิชายเป็นใหญ่หล่อเลี้ยงและพัฒนาอุดมการณ์ของตัวเองไปด้วยความหมกมุ่นในครอบครัวเดี่ยวที่ตัดขาดออกจากชุมชน ประกอบเข้ากับการสนับสนุนให้ความรุนแรงนั้นกลายเป็นวิถีต่อรองโดยธรรมชาติของมนุษย์ ดังที่ ซิลเวีย เฟดริซี (Silvia Fedrici) และ มาเรีย มีส์ (Maria  Mies) วิพากษ์ไว้เกี่ยวกับลัทธิทุนนิยมและจักรวรรดินิยมว่า สิ่งนี้คือแกนกลางของระบอบปิตาธิปไตย ยิ่งมันแผ่ขยายอำนาจไปได้กว้างไกลเพียงใด ความเสมอภาคอันเป็นบ่อเกิดแห่งความเท่าเทียมระหว่างหญิงชาย ก็ยิ่งถูกทำลายในทุกๆ มิติ ปรากฏเป็นระบบสามัญสำนึกที่ลักลั่นประดักประเดิดเหมือนกับการสนทนาของคู่หญิงชายที่ผู้ชายถูกบังคับให้มี์สิทธิ์ในการพูดอยู่ฝ่ายเดียว

ในปัจจุบันนักเคลื่อนไหวและนักวิจัยในแนวเฟมินิสต์ได้ถกเถียงกันถึงความเชื่อมโยงระหว่างการกดขี่ทางเพศ ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการคิดที่ละเอียดอ่อนโดยที่ตัวเราเองแทบไม่รู้ตัว การเฟื่องขึ้นของลัทธิชาตินิยมนั้นมีรากฐานจากการผลิตแบบปิตาธิปไตย เช่น การมีสิทธิธรรม การตกทอดแบบมรดกผ่านเครือญาติ แนวทางชาตินิยมทำให้ผู้หญิงสยบยอมเพื่อใช้พวกเธอเป็นดั่งตัวประกันของรัฐกระบวนการดังกล่าวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในขณะที่โลกหมุนไปตามแนวทางอนุรักษ์นิยมมากขึ้นด้วยค่านิยม ฟักชิส1Fascist/Facism บทความนี้ผู้แปลจงใจใช้คำว่าฟักชิส โปรดจำไว้ว่ามันหมายความถึงฟาสซิสต์ และขวาจัดดัดจริตมักให้ความสนใจบนเรือนร่างทางอำนาจของผู้หญิง “จงปกป้องพวกเธอจากความงี่เง่าของพวกเธอเอง” ยังคงเป็นข้ออ้างของฝ่ายขวาที่ใช้เป็นอาวุธทางจิตวิทยา ทางวัฒนธรรม และทางร่างกาย ที่พวกเขาใช้กับสตรีเพศเสมอมา ซึ่งผลลัพธ์คือความสำเร็จที่ทำให้ผู้หญิงกลายเป็นนักประนีประนอมนิยมทุน (นักถอยคนละก้าวนิยมทุน)

กระแสแห่งจักรวรรดินิยม ตามมาด้วยทุนนิยมสงครามในปัจจุบันยังคงจ้องทำลายล้างสายใยที่ร่องแร่งซึ่งแฝงตัวอยู่ในความเป็นหญิงจากมุมมองของปิตาธิปไตย มันยังคงอธิบายได้ยากว่าใครเป็นเจ้าของ หญิง หรือชาย แต่การเผยตัวของมันมักมีความสัมพันธ์ของผู้คนเกี่ยวข้องด้วยเสมอ หรือมันอาจเป็นเสรีภาพที่มาพร้อมความเสมอภาคแม้จะขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง พวกเขาไม่ได้รังเกียจผู้หญิงหรือการที่ผู้คนเท่าเทียมกัน เพียงแต่ว่าตัวตนบางอย่างที่สะท้อนอยู่ในความเป็นหญิงนั้นยังคงตามหลอกหลอนความเป็นจักรววรดินิยม ความเป็นทุนนิยมที่ถูกครอบงำโดยอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังความเป็นชายที่อธิบายไม่ได้ว่าใครเป็นเจ้าของ

source: voiceofmargin.com, artist: latuff

สตรีนิยม อาณานิคม และสังคมนิยม ปิตาธิปไตย

ปัญหาติดหล่มสองประการของสตรีนิยมฝ่ายซ้าย

อาจจะเป็นปัญหาสำคัญทั้งของพวกหัวก้าวหน้า ขบวนการสตรีนิยม สังคมนิยมทั้งหลายที่แตกแขนงภายใต้แนวคิดปีกซ้าย เมื่อผู้หญิงเข้าร่วมในขบวนการเคลื่อนไหวทั้งเล็กและใหญ่ที่ผ่านมา ข้อเรียกร้องของพวกเธอมักถูกลดทอนความสำคัญอยู่บ่อยครั้ง และยิ่งเด่นชัดเมื่อผู้นำการเคลื่อนไหว (ที่เป็นผู้ชาย) เป็นผู้จัดลำดับความสำคัญเหล่านั้นเสียเอง อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เกิดกับทุกๆ การเคลื่อนไหวจากแนวทางสังคมนิยมหรือทุนนิยม ทางเลือกนี้เป็นตัวอย่างของความยากในการขัดขืนต่อการกดขี่ข่มเหงทางความคิด ที่ทำให้ปัจเจกกลายเป็นศัตรูของตนเองและไม่ใช่เรื่องง่ายเลยหากต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

พวกอำนาจนิยมมักจะหลงใหลในแนวทางมนุษย์นิยมอย่างสุดโต่ง และหมกมุ่นกับมายาคติที่เชื่อมโยงแนวคิดแบบปิตาธิปไตยในระดับสามัญสำนึก ดังที่นักประวัติศาสตร์สตรีนิยมได้ชี้ให้เห็นว่ามายาคติระหว่าง “ชนชั้น” เป็นอะไรที่ต่างออกไปจาก “เพศ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อแม้ทางกายภาพของเพศหญิง แรงงานของเธอถูกตีค่าให้ต่ำเข้าไว้ไม่ว่าจะโดยเหตุผลที่ว่า ร่างกายที่ไม่แข็งแรง ความเป็นแรงงานขาดคุณภาพ เพศแห่งความฟุ่มเฟือย หรืออะไรก็ตามเพื่อลดอำนาจต่อรอง ทำให้พวกเธอดูไร้ค่าภายใต้การรับรู้ผ่านโครงสร้างระดับชั้นอำนาจแบบทุนนิยม

ระบบความรุนแรงที่มีทั้งการเหยียดและความรุนแรงอื่นๆ ต่อเพศหญิงนั้นไม่แม้แต่จะปรากฏอยู่ในชั้นเรียนวิชาประวัติศาสตร์ จนถึงปัจจุบันมันได้ขยายตัวไปสู่มิติของความรักแบบหญิง-ชาย ครอบคลุมไปจนถึงความรักแบบครอบครัวและแผ่ไปสู่มิติของการดูแล ทำให้ผู้มีอำนาจนำในบ้านต้องสมาทานความเกลียดกลัวบาปกำเนิดที่ยึดโยงกับเรือนร่างของผู้หญิง เพราะการผลิตซ้ำอย่างยาวนานในระบอบปิตาธิปไตยควบคุมอำนาจทางวัฒนธรรมให้เบียดเบียนความเป็นหญิงโดยตรง เกิดเป็นความพิการเทียมที่ถูกฝังลึกลงไป เราจำเป็นที่จะต้องยกเลิกกระบวนการทางสังคมที่ทำให้ผู้หญิงตกไปสู่พื้นที่ชายขอบผ่านกระบวนการแบบสถาบันเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอย่างเสมอภาค ผ่านวิธีการที่มีลักษณะเป็นส่วนรวม (collectives)

การเคลื่อนไหวของดิลาร์ (Dilar) ในขบวนการปลดปล่อยเคอร์ดิสถาน (Kurdish freedom movement) เป็นตัวอย่างสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่ามันจำเป็นที่จะต้องรื้อทิ้งคติแบบปิตาธิปไตยซึ่งเป็นดั่งคุกชีวที่ตีกรอบความคิดให้ผู้คนไม่อาจสร้างสายใยเพื่อร่วมกันไปสู่การสร้างคติชนใหม่ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องและหลากหลายได้ ที่แตกต่างออกไปจากแผนที่แบบรัฐชาติ แทนที่จะตัดขาดทุกคนออกจากกันและผลักไสให้แต่ละคนต่างหมกมุ่นอยู่กับปัญหาหรือเรื่องส่วนตัว ไม่ก็ให้ทุกคนทำตามๆ กันไปทั้งหมดแบบเครื่องจักรที่ทวีคูณแต่ไร้การประยุกต์วางแผน ดังนั้นแล้วเสรีภาพที่มาควบคู่กับความเสมอภาคนั้นจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดเปลื้องพันธนาการจากอำนาจกดขี่ซึ่งมักง่ายทั้งหลายเหล่านี้

Alina (source: original article)

ในทางกลับกันปัญหาใหญ่ที่กำลังขยายตัวของลัทธิแม่ประนอม (นักนิยมสันติวิธีแบบทุน หรือลัทธิคลั่งการประนีประนอม) จากฝั่งเสรีนิยมทุนปัจเจกสุดโต่ง ที่ อรุณธตี รอย (Arundhati Roy) เรียกว่า การเมืองของมืออาชีพ (NGO-ization) ส่งเสริมแนวคิด “คนดี” เพื่อผลักดันปัญหาโครงสร้างไปเป็นปัญหาศีลธรรมส่วนตัวของปัจเจก

ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เหตุบังเอิญที่นานาประเทศได้ถูกลัทธิเสรีประชาธิปไตยจากตะวันตกเข้ามาเคลมความสำเร็จและปรากฏเป็นองค์กรอิสระเพื่อสิทธิของผู้หญิงผุดขึ้นมากมาย (NGOs) ในถิ่นที่ตกเป็นเมืองขึ้นของเหล่าผู้สนับสนุนองค์กรดังกล่าวนั้นเอง มันมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลใช่หรือไม่ องค์กรเหล่านี้ได้กระตือรือร้นที่จะบรรเทาปัญหาโดยการใช้ใจสงบสยบความเคลื่อนไหว คล้ายกับการชักว่าวทางศีลธรรมเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดในปมปัญหาที่ควรจะถึงจุดแตกหัก

สังคมปัจจุบันคาดหวังที่จะเห็นผู้หญิงสร้างความภูมิใจในตนเองในแนวทางเดียวกับจักรววรดินิยม เสรีนิยมใหม่ “สู่” ความเท่าเทียมในตัวเอง หรือสาวๆ นิสัยเฟรนด์ลี่มีความเป็นมิตรช่างเจรจา ช่างประนีประนอม จุดประสงค์พิสดารของการเคลื่อนไหวเหล่านี้แสดงให้เห็นความสับสนงุนงงกับประเด็นที่ถูกฉกฉวยเบี่ยงเบนไปเป็นอย่างอื่นเพื่อส่งเสริมกำแพงของอัตลักษณ์ไปสู่ความเป็นวงกตเพื่อกีดกันผู้คนออกจากความเข้าใจเรื่องเสรีภาพที่ควบคู่ไปกับความเสมอภาค หรือประเด็นแองเจลิน่า โจลี่ ที่กลายไปเป็นแค่การฝันถึงชีวิตที่แยกขาดโดยสมบูรณ์ทางอัตลักษณ์

การฉกฉวยที่แสนพิศดารต่อประเด็นการต่อสู้ของผู้หญิงและความเท่าเทียมทางเพศนั้นแสดงออกมาผ่านบทความของการ์เดี้ยนเมื่อไม่นานมานี้ มันถูกเขียนโดยดาราฮอลลีวู้ดและทูตของสหประชาชาติอย่าง แองเจลิน่า โจลี่ กับเลขาธิการนาโต้ (NATO) เยนส์ สโตลเธนเบิร์ก (Jens Stoltenberg) บทความชิ้นนี้พยายามจะแสดงให้สาธารณชนเห็นว่านาโต้จะทำตามพันธกิจ “ตอบรับและคว้าโอกาสที่จะเป็นนักปกป้องสิทธิสตรีแนวหน้า”

เหล่าผู้นิยมปีกขวา อนุรักษ์นิยม และกลุ่มสตรีนิยมปิตาธิปไตย หรือพวกซ้ายอำนาจนิยมในโลกตะวันตกมักชูประเด็นการเมืองอัตลักษณ์ พวกเขาชอบความเปราะบางของความบริสุทธิ์ผุดผ่องในความเป็นสิ่งซึ่งไม่ลื่นไหล และไม่มีการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆ

 คำว่า “การเมืองอัตลักษณ์” ถูกสร้างขึ้นในทศวรรษ 1970 โดยกลุ่ม Combahee River Collective ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวสตรีเลสเบี้ยนผิวสีราดิคัล เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของเสรีภาพที่ควบคู่ไปกับความเสมอภาคเพื่อการปลดแอกตนเองและสังคมจากการกดขี่ พวกเขาใช้คำนี้เพื่อสื่อถึงการที่ตนเองโดนกดขี่ ไม่ใช่เพื่อการยกตัวเองเป็นศูนย์กลางในการเคลื่อนไหวโดยแยกอัตลักษณ์ออกจากปัญหาที่กว้างกว่านั้น เช่น ชนชั้นและสังคม คำๆ นี้ถูกใช้ในการเคลื่อนไหวที่มีฐานมาจากประสบการณ์การถูกกดขี่ เพื่อต่อสู้กับความเลวร้ายที่พวกเขาเคยเผชิญมาในหลายๆ ระดับ ทั้งชนชั้น ผิวสี เชื้อชาติ ความเป็นเลสเบี้ยน ผู้หญิง และอื่นๆ

ทว่าปัญหาที่ปรากฏในทุกวันนี้ไม่ควรเป็นปัญหาเรื่องการเมืองของอัตลักษณ์ แต่พวกเสรีนิยมมักจะบ่ายเบี่ยงและเกลียดกลัวแนวทางราดิคัล (Radical) ที่มักจะสวนทางกับทิศทางที่รากของทุนนิยมชอนไชไป เหล่าผู้นำสตรีผิวขาวที่พบได้ทั่วไปภายใต้รัฐทุนนิยมเสรีนิยม ไม่น่าแปลกใจที่พวกเธอมักเป็นผู้หญิงที่เกี่ยวดองกับชนชั้นสูง อีกทั้งยังนิยมการเหยียดเพศและเชื้อชาติ ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงได้เป็นตัวแทนของสตรีนิยมในสื่อของพวกลิเบอรัล แทนที่จะเป็นอาสาสมัครหญิงที่เสี่ยงตายต่อสู้กับความรุนแรงจากการเอารัดเอาเปรียบ ตำรวจ ทหาร หรือการกดขี่ครอบงำของรัฐดังกล่าว ที่อาจต้องแลกด้วยชีวิต

การเมืองอัตลักษณ์ของนักเสรีนิยมปัจเจกชน เปรียบเสมือนคุกวงกตที่ตัดขาดผู้คนออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ปิดหูปิดตาและทำเหมือนว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี การเมืองไม่เกี่ยวกับเพศ การเมืองไม่เกี่ยวกับปัญหาปากท้อง การเมืองไม่เกี่ยวกับปัญหาความอยุติธรรมในสังคม ปัญหาของใครก็เป็นปัญหาของมันไม่มีโครงสร้าง ไม่มีอะไรเลยให้แก้ไข

ความเป็นสากล คือ ประชาธิปไตยทางตรง

ความล้มเหลวของขบวนการต่อสู้ในปัจจุบันคือการที่ไม่สามารถก้าวพ้นจินตกรรมที่ยึดโยงตัวเองเข้ากับคติชนรวมกลุ่มที่นอกเหนือไปจากความเป็นสายอาชีพ รัฐ ชาติ และอื่นๆ ไปได้จริงๆ เสียที ปัญหาที่ลัทธิเสรีนิยมประชาธิปไตย (แบบตัวแทน/มืออาชีพ) ได้โยนมาใส่พวกเราก็คือพวกเขาไม่ได้มองเห็นผู้คนหรือทุกคนอย่างที่เขากล่าวอ้าง และก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าใจอะไรมากไปกว่าที่เป็นอยู่ ภายใต้ร่มเงาของปิตาธิปไตยเช่นนี้ กลไกของมันก็ยังคงดำเนินไปเช่นเดิมแล้วมันก็จะผลักใครสักคนให้ตกลงเหว ในขณะที่ยืนนั้นกลับแคบลงเรื่อยๆ ในโลกแห่งอุตสาหกรรมที่บดย่อยทรัพยากรเพื่อไปเป็นกำไรระยะสั้นอย่างบ้าคลั่งนี้

กว่าร้อยปีที่ผ่านมา The Month of March (1908) ได้ถูกจัดตั้งโดยกลุ่มแรงงานสังคมนิยมสตรีให้เป็นวันแห่ง “สตรีสากล” เพื่อเชิดชูการต่อสู้อย่างเข้มแข็งของพวกเธอ ต่อมาเดือนมีนาคมก็กลายเป็นสัญลักษณ์วันสตรีสากลของขบวนการปฎิวัติในโรจาวา เพื่อรำลึกถึงสองสหายหญิงแอนนา แคมป์เบล  (Anna Campbell/Hêlîn Qerecox) นักปฎิวัติต่อต้านฟักชิสจากอังกฤษ และ อาลินา ซานเชส (Alina Sanchez/Lêgêrîn Ciya) นักเสรีนิยมสากลนิยมผู้ซึ่งเป็นบุคคลากรทางการแพทย์จากอาร์เจนตินา ได้สละชีวิตของพวกเธอในการปะทะกับทหารรับจ้างกับพวกปิตาธิปไตยฟักชิสและพวกทหารเช่าที่มาจากค่าจ้างในระบบทุนนิยมของพวกมัน

Anna (source: original article)

สามปีก่อนหน้านั้น ในเดือนมีนาคมปี 2015 เดียวกันนี้ ผู้เสียสละหญิงคนแรกในขบวนการโรจาวา คือ อิวานา ฮอฟฟ์มันน์ (Ivana Hoffmann) สหายเยอรมันผิวสี เสียชีวิตในการปะทะกับกลุ่มฟักชิสผู้นิยมการฆ่าและการข่มขืน ISIS ร่วมกับสหายอีกนับพันทั้งชาวเคิร์ด อาหรับ เติร์ก คริสเตียนซิริแอก อาเมเนียน และอื่นๆ สตรีทั้ง 3 เปรียบเสมือนผู้อุทิศการต่อสู้เพื่อมุ่งสู่ความเป็นสากลที่ได้เผชิญกับความรุนแรงที่แท้จริงของแนวทางระบอบปิตาธิปไตย ขณะที่เขียนบทความนี้ร่างของแอนนายังคงซ่อนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังในเมือง Afrin ของโรจาวา ซึ่งเป็นพื้นที่ในจักรวรรดิปิตาธิปไตยของรัฐเติร์ก

สตรีเหล่านี้กำลังต่อสู้เพื่อปกป้องความเป็นมนุษย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ท่ามกลางการต่อสู้ในทุกทิศทุกทางที่กลืนกินเข้ามาจากรากฐานในระดับโลกทัศน์หรือกระบวนการคิดของพวกฟักชิส การต่อต้านสิ่งเหล่านี้ต้องตระหนักถึงรากของความรุนแรงที่ปรากฏให้เห็นจนชินตานี้ มันจึงไม่ใช่การประนีประนอมที่จะเป็นทางออกและพวกเธอได้แสดงส่วนหนึ่งให้เราเห็นแล้วผ่านการต่อสู้ของพวกเขาและเธอในโรจาวา

เมื่อช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา สหายชาวเคิร์ด อาหรับ คริสเตียนซีรีแอก และสตรีเติร์ก ได้ร่วมกันประกาศชัยเหนือเมืองรัขขะ (Raqqa) และบันทึกช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ร่วมด้วยกลุ่มสตรีจากเผ่ายาซิดี้ (Ezidi) ที่เข้าร่วมอย่างเสมอภาคในการบุกถล่มเอาคืนพวก ISIS ทำการล้างบาง และปลดปล่อยผู้หญิงที่ถูกจับไปกว่าพันคน

ขบวนการปฏิวัติของสตรี ในการต่อต้านพวกเสรีนิยมที่ช่วงชิงเอาความหมายของพวกเธอไป ในการต่อสู้ทางวัฒนธรรมที่ครอบคลุมหมายรวมถึงระบบการรับรู้ของผู้คนในระดับปัจเจก โลกทัศน์ของฟักชิสและพวกคลั่งชาติเป็นสิ่งที่การเคลื่อนไหวของสตรีนิยมต่อสู้มาอย่างยาวนานและอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากแนวทางที่นำไปสู่ความเป็นสากล ความเป็นเสรีภาพที่มีการจัดการและมีความเท่าเทียมกันในทุกมิติคืออาวุธหลักที่จะใช้ต่อต้านกับอำนาจดังกล่าวได้โดยตรง เพราะไม่ใช่แค่มิติทางความคิดที่มันจะจู่โจมเข้ามา แต่ยังมีความรุนแรงไปจนถึงการผลาญชีวิตของศัตรู หรือเลวร้ายกว่านั้นคือการจับเป็นทาสเพื่อจะคงอำนาจของตัวเองไว้ให้นานที่สุดอย่างเดือดดาล

ดังนั้นแนวทางความเป็นสากล (Internationalism) จึงเป็นหนทางไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยทางตรงที่ต้องมาจากการร่วมกันจัดตั้งจัดการโดยผู้คนในชุมชนเอง ไม่ใช่พึ่งการช่วยเหลือปลอมๆ จากรัฐ กลุ่ม หรือผู้อยู่เหนือที่ไม่ได้ร่วมเข้ากับผู้คนอย่างเสมอภาคเพื่อต่อต้านฟักชิสและรากที่หยั่งลึกของแนวคิดปิตาธิปไตย