by Anonymous | Mar 8, 2022 | Articles บทความ, Translation, ทฤษฎี Theory, ประวัติศาสตร์ History, สตรีนิยม Feminism, ไทย
เรื่อง Jodi Dean
แปล กุลณัฐ จิระวงศ์อร่าม
บรรณาธิการ นิรนาม
ต้นฉบับ [Liberation School] Alexandra Kollontai (pt. 1): The struggle for proletarian feminism and for women in the party
อเล็กซานดรา คอลอนไท นักปฏิวัติคอมมิวนิสต์ชาวรัสเซียมีชีวิตอยู่ในปี 1872 ถึง 1952 เธอเป็นนักพูด นักเขียน และนักกิจกรรมตัวยงในกระบวนการเคลื่อนไหวแรงงานหญิงสังคมนิยมในรัสเซียและยุโรปตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติรัสเซียในปี 1917 คอลอนไทเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรีด้วยตำแหน่งในกระทรวงสวัสดิการแรงงานในรัฐบาลแรกของบอลเชวิคหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม เธอตั้ง “แผนกสตรี” (Zhenotdel) ของรัฐบาลใหม่และเป็นผู้หญิงคนแรกๆ ที่มีตำแหน่งทางการทูต แต่สิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าความรับผิดชอบเหล่านี้คืองานและงานเขียนเพื่อการปฏิวัติของเธอที่ไม่ได้สนใจแค่ความเท่าเทียมทางเพศและสังคมนิยม แต่ยังสนใจบทบาททั่วไปของความรักและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้ การสำรวจเรื่องนี้อาจช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์และทำให้กลยุทธ์การเมืองของเราทุกวันนี้แหลมคมขึ้นได้
คอลอนไทเป็นมาร์กซิสต์ที่มุ่งมั่นจัดตั้งแรงงานหญิง เธอเถียงว่าการกดขี่ผู้หญิงนั้นฝังรากอยู่ในเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ คือ “การผลิตและการผลิตซ้ำของชีวิตในขณะนี้” ตามคำของเฟรดริก เองเกล[1] เงื่อนไขเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการที่การผลิตชีวิตคนและการผลิตซ้ำปัจจัยในการดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย เครื่องมือ และอื่นๆ ถูกกักเก็บและจัดสรร ที่ทางของผู้หญิงในทางเศรษฐกิจ อันรวมถึงการแบ่งงานในบ้านตามเพศ เป็นตัวกำหนดที่ทางของผู้หญิงในสังคม ผลคือการปลดแอกผู้หญิงขึ้นอยู่กับการถอนรากถอนโคนทุนนิยม สังคมชนชั้นและการเอาเปรียบ และการจัดสรรการผลิตและชีวิตใหม่ของคอมมิวนิสต์
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นทฤษฎีเมื่อร้อยปีมาแล้ว แต่การเน้นย้ำสภาพวัตถุ สภาพเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ของการผลิตและการผลิตซ้ำยังเป็นจุดสำคัญในการต่อสู้ของแรงงานหญิง บ่อยครั้งที่เฟมินิสต์ร่วมสมัยบางคนละเลยมิติทางเศรษฐกิจ แล้วมุ่งเป้าไปท่ีทัศนคติ ภาษา ภาพ และความรู้สึกส่วนตัวโดยไม่ได้สำรวจภูมิหลังทางเศรษฐกิจของพวกเธอเอง เราให้ความสนใจปัจเจก ความรู้สึก ความสะดวกสบาย ความชอบและความปรารถนามากเกินไปราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ผลกระทบจากสังคมโดยรวม ในทางตรงกันข้าม คอลอนไทสอนเราว่ามิติที่ใกล้ชิดลึกซึ้งที่สุดกับชีวิตของเราคือส่วนรวมต่างหาก
สามแกนหลักในงานและชีวิตของคอลอนไทแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงกับการจัดตั้งร่วมสมัย การต่อสู้ ประวัติศาสตร์ และความรัก เธอสำรวจมิติการต่อสู้ในบทความชิ้นนี้ คอลอนไทสนใจที่ทางของผู้หญิงในเศรษฐกิจ ความสนใจนี้ทำให้เกิดมุมมองอันทรงพลังและซับซ้อนต่อการปลดแอกแรงงานหญิง ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของเธอก่อให้เกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง(ต่อ)การเปลี่ยนแปลงในครอบครัว ส่วนที่สองเป็นเรื่องความโหยหาคอมมิวนิสต์(ม์)ของเธอ– (ซึ่งรวมไปถึง)งานรูปธรรมในการสร้างเผด็จการกรรมาชีพ (ที่)ทำให้เธอมองว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งไม่สามารถแยกออกจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การจัดตั้งความรักเป็นส่วนหนึ่งของการจัดตั้งการผลิต ส่วนหนึ่งของการสร้างพื้นที่และการสนับสนุนที่จำเป็นสำหรับงานที่เติมเต็มและเน้นการทำงานร่วมกัน
การต่อสู้เพื่อเฟมินิสต์กรรมาชีพ
คอลอนไทเรียกร้องอย่างบ้าคลั่งให้แรงงานหญิง อัตชีวประวัติของเธอเขียนว่าเธอใส่ “ทั้งหัวใจและจิตวิญญาณ” ในการต่อสู้เพื่อ “กำจัดความเป็นทาสของแรงงานหญิง”[2] นี่หมายถึงการโน้มน้าวให้แรงงานหญิงเข้าร่วมสังคมนิยมและต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียมเพื่อปลดแอกผู้หญิง คอลอนไทร่วมต่อในสู้ศึกสองด้าน ทั้งต่อต้านเฟมินิสต์กระฎุมพีและต่อสู้ให้พรรคสังคมนิยมสนใจแรงงานหญิงไปด้วยในเวลาเดียวกัน
คอลอนไทไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นเฟมินิสต์ เธอมองว่าคำว่า “เฟมินิสต์” เป็นการเมืองของชนชั้นกระฎุมพีและของผู้หญิงบางชนชั้นเท่านั้น การเคลื่อนไหวเฟมินิสต์เป็นการเมืองของผู้หญิงชั้นกระฎุมพีที่ดูจะท้าทายโครงสร้างพื้นฐานของสังคมไม่สำเร็จ พวกเธอยอมรับโครงสร้างนั้นและต้องการเลื่อนขั้นขึ้นไปในโครงสร้างเดิม คอลอนไทเขียนว่า
เฟมินิสต์มองหาความเท่าเทียมในกรอบชนชั้นทางสังคมที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้โจมตีโครงสร้างพื้นฐานของสังคมเลยสักทาง ต่อสู้เพื่ออภิสิทธิ์ เพื่อตัวเองโดยไม่ได้ท้าทายอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษที่มีอยู่[3]
แทนที่ผู้หญิงจะรวมตัวกันโดยมีเพศเป็นฐาน ชนชั้นกลับแบ่งผู้หญิงออกจากกัน การต่อสู้ระหว่างชนชั้นแบ่งแยกผู้หญิงแบบเดียวกับที่แบ่งแยกผู้ชาย ความเป็นเอกภาพเรื่องเพศ “ไม่เกิดขึ้นและไม่สามารถจะเกิดขึ้น” แม้ว่าเฟมินิสต์กระฎุมพีจะพูดถึงผู้หญิงทุกคนหรือผู้หญิงเช่นนั้น แต่กลับตั้งคำถามการปลดแอกผู้หญิงจากที่ทางเฉพาะของชนชั้นพวกตน ด้วยความปรารถนาบางอย่างต่อเรื่องการศึกษา ทรัพย์สิน สิทธิการออกเสียงเลือกตั้ง และการเข้าถึงอาชีพ
คอลอนไทสาธยายว่าเฟมินิสต์ก่อตัวเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองกลางศตวรรษที่ 19 ท่ามกลางบริบทการพัฒนาของทุนนิยม เมื่อทุนนิยมกลายเป็นรูปแบบการผลิตหลัก ที่ทางของชนชั้นกลาง กระฎุมพีตัวเล็กตัวน้อย เริ่มไม่เสถียรและเสี่ยงมากขึ้น ในขณะที่หญิงชนชั้นแรงงานถูกดูดกลืนเข้าไปในโรงงานแล้ว (เหตุผลหลักคือพวกเธอได้ค่าแรงน้อยกว่าผู้ชาย) ผู้หญิงกระฎุมพีเริ่มต้องการรายได้และงานที่มีความหมาย พวกเธอร้องเรียกสิทธิในการเข้ามหาวิทยาลัยและประกอบอาชีพหลากหลายกว่าเดิม การที่หญิงกระฎุมพีต่อสู้กับผู้ชายที่ปฏิเสธไม่ให้พวกเธอเข้าถึงอะไรบางอย่างคือสิ่งที่ถูกเรียกว่า “ขบวนการเฟมินิสต์” ที่ต้องการสิทธิพิเศษแบบเดียวกันกับผู้ชายในชนชั้นของพวกเธอ เฟมินิสต์เหล่านี้ปฏิบัติต่อผู้ชายในฐานะศัตรูและพยายามใส่ผู้หญิงทุกคนเข้าไปในการต่อสู้เพื่อสิทธิที่เท่าเทียม โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานของสังคมชนชั้น
โดยพื้นฐานแล้ว หญิงชนชั้นกรรมาชีพสนใจในเรื่องที่แตกต่างจากนั้น เป็นความสนใจที่พ้องกันกับผู้ชายชนชั้นกรรมาชีพ “พวกเธอเห็นผู้ชายเป็นสหาย” ในฐานะคนที่ถูกกดขี่ใต้สภาพทางสังคมเดียวกัน คนที่ถูกล่ามโซ่ตรวนภายใต้การเอาเปรียบและการครอบงำของทุนนิยม[4] คอลอนไทเข้าถึงใจหญิงชนชั้นแรงงานที่ถูกโยนเข้าไปในกำลังแรงงานของทุนนิยมมากกว่า 60 ล้านคนในยุโรปและในสหรัฐอเมริกาก่อนที่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะแผ่ขยาย “ก่อนอื่นเลย แรงงานหญิงก็คือสมาชิกหนึ่งในชนชั้นแรงงาน” เธอกล่าว[5] ขบวนการเฟมินิสต์ไม่ได้ทำอะไรให้เธอ เธอไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเป็นพันธมิตรกับเฟมินิสต์กระฎุมพี คอลอนไทอธิบายจุดนี้อย่างเห็นได้ชัดในประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวของแรงงานหญิงในรัสเซียของเธอ แรงงานหญิงมีข้อเรียกร้องที่เกิดจากเงื่อนไขอันเฉพาะเจาะจง พวกเธอต้องการวันทำงานน้อยลง ค่าแรงมากขึ้น ได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมในโรงงาน และให้มีตำรวจตรวจตราน้อยลง[6] เฟมินิสต์กระฎุมพีไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
คอลอนไทยังเห็นข้อกังวลของแรงงานในบ้าน ตลอดปีแรกของการปฏิวัติรัสเซีย (ปี 1905) คนซักรีด คนทำกับข้าว และคนใช้ประท้วงและปฏิบัติการตามท้องถนน เรียกร้องให้นายจ้างปฏิบัติต่อพวกเธออย่างสุภาพ ทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน มีค่าแรงขั้นต่ำ และมีพื้นที่อยู่อาศัยแยกกัน เฟมินิสต์กระฎุมพีจัดตั้งพันธมิตรเพื่อความเท่าเทียมของผู้หญิงและพยายามติดต่อแรงงานในบ้านและเรียกหารือกัน คนใช้จำนวนมากมาร่วมแต่ก็ถอดใจไปด้วยคำว่า “พันธมิตรร่วมระหว่างนายจ้างหญิงและลูกจ้างในบ้าน”[7] (ความสนใจของคอลอนไทในงานบ้านก็เป็นไปในทางเดียวกันกับงานของคอมมิวนิสต์หญิงผิวสี เช่น คลอเดีย โจนส์, ลูอิส ทอมป์สัน แพทเทอร์สัน, เอสเทอร์ คูเปอร์ แจ็คสัน และอลิส ชิลดริส ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 พวกเธอเน้นความสำคัญของการจัดตั้งแรงงานในบ้านเหมือนกัน)
แรงงานหญิงมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติปี 1905 คอลอนไทอธิบายเหตุการณ์อาทิตย์ทมิฬ (Bloody Sunday) ว่า “เหยื่อส่วนใหญ่ของวันนั้นคือแรงงานหญิง เด็กสาว ภรรยาที่ทำงาน”[8] ผู้หญิงส่งต่อสโลแกนของการนัดหยุดงานทุกโรงงานและเป็นกลุ่มแรกๆ ที่เดินออกไป คอลอนไทเน้นความกล้าหาญและการตัดสินชีวิตตัวเองของหญิงกรรมาชีพตลอดการปฏิวัติปี 1905
ช่วงเดือนตุลาคม ผู้หญิงเหน็ดเหนื่อยจากงานและความเป็นอยู่อันทารุณหิวโหย พวกเธอออกจากโรงงาน และเพื่ออุดมการณ์ร่วมกัน ก็ได้ทิ้งขนมปังก้อนสุดท้ายไม่เหลือไว้ให้ลูกของพวกเธออย่างกล้าหาญ แรงงานหญิงซื้อใจสหายชายของพวกเธอด้วยถ้อยคำกินใจง่ายๆ และเสนอว่าพวกเขาก็ควรออกจากงานเหมือนกัน พวกเธอยึดถือจิตวิญญาณเหล่านั้นยามประท้วง สุมไฟให้กับคนที่ลังเล แรงงานหญิงต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหนื่อย ประท้วงอย่างกล้าหาญ เสียสละตัวเองเพื่ออุดมการณ์ร่วม ยิ่งพวกเธอเคลื่อนไหวมากเท่าไร กระบวนการความคิดตื่นรู้ก็ยิ่งรวดเร็วขึ้นเท่านั้น แรงงานหญิงมองดูโลกรอบตัวพวกเธอ มองเห็นความอยุติธรรมที่ก่อร่างจากระบบทุนนิยม เธอรับรู้ความขมขื่น ความทุกย์ยากและความโศกเศร้าอย่างเจ็บปวดและรุนแรงมากขึ้น[9]
เฟมินิสต์นักวิจารณ์บางคนหาว่าคอลอนไทไม่ได้วิจารณ์ความเป็นชาย (masculinity) และโน้มรับมุมมองแรงงานอย่างผู้ชาย[10] ซึ่งนับว่าไม่ถูกต้อง เพราะมันนำเรื่องเพศมาบดบังเรื่องชนชั้น ลดความแข็งแกร่งและความกล้าหาญของแรงงานหญิง นี่เป็นคำวิจารณ์ที่ใช้มุมมองสองขั้วเรื่องเพศ (binary gender) ระบายสีทับอำนาจและการตัดสินชีวิตตัวเองของสหายกรรมาชีพในการต่อสู้ทางการเมืองฝั่งเดียวกัน คอลอนไทสรรเสริญการต่อสู้ที่นำมาซึ่งความกล้าหาญ ความอดทน การอุทิศตน และการปลุกสำนึกทางการเมืองในกรรมาชีพทุกเพศ
ส่วนหญิงชาวไร่ในชนบทก็เป็นส่วนปฏิวัติปี 1905 อย่างลึกซึ้ง ในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า “การต่อต้านจากกระโปรงซับใน” (petticoat rebellions)
ด้วยความโกรธและความกล้าหาญอันน่าทึ่งสำหรับผู้หญิง หญิงชาวไร่โจมตีศูนย์บัญชาการทหารและตำรวจที่กองกำลังตั้งอยู่ มุ่งหน้าหาสหายของพวกเธอและพาพวกเขากลับบ้าน หญิงชาวไร่ติดอาวุธคราด เสียม และไม้กวาดไล่กองกำลังออกไปจากหมู่บ้าน การประท้วงนี้ปกป้องผลประโยชน์ของชาวไร่และ ‘ผู้หญิง’ อย่างใกล้ชิดโดยไม่มีเหตุที่จะแบ่งแยกเรื่องนี้และจัดว่า ‘การต่อต้านจากกระโปรงซับใน’ เป็นส่วนหนึ่งของ “การเคลื่อนไหวเฟมินิสต์[11]
หากจะอธิบายการกระทำที่โกรธเกรี้ยวของหญิงชาวไร่ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้หญิงเป็นอันดับแรกก็คงเป็นการเบี่ยงเบนบริบททางชนชั้น ถึงแม้ว่าพวกเธอปฏิบัติการนี้ออกมาด้วยบริบทนี้ ทั้งนี้ การที่หญิงชาวไร่ต่อสู้บนเวทีการเมืองนำพวกเธอไปสู่ข้อเรียกร้องเพื่อความเท่าเทียมทางการเมือง อันเป็นผลจากสำนึกการต่อสู้เพื่อ “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองของชาวไร่ทั้งหมด” ในที่นี้คือการยึดที่ดินและจบสภาพพันธะเกษตร
หากสรุปด้านแรกของการต่อสู้ของคอลอนไทในนามแรงงานหญิง เธอกล่าวว่าเป้าหมายของเฟมินิสต์กระฎุมพีคือความเท่าเทียมทางการเมืองภายในสังคมแบบชนชั้น ไม่ใช่การรื้อสังคมแบบนั้น หญิงชนชั้นแรงงานเข้าใจดีว่าตราบใดที่พวกเธอยังถูกบังคับให้ขายแรงงาน ตราบใดที่พวกเธอยัง “สวมแอกของทุนนิยม” พวกเธอก็จะไม่เป็นอิสระ การตัดสินใจของพวกเธอทั้งหมด ไม่ว่าจะแต่งงานหรือไม่ กับใคร จะมีลูกหรือไม่ จะดูแลอย่างไร ถูกจำกัดด้วยตลาด เช่นนี้ คอลอนไทจึงไม่ใช่เฟมินิสต์ เธอปฏิเสธความคิดที่ว่ามันมี “คำถามสากลของผู้หญิง” เพราะนั่นเป็น “การหลอกลวงตัวเองเพื่อความสบายใจแบบเฟมินิสต์” การปลดแอกผู้หญิงต้องการสังคมนิยม จุดจบของสังคมชนชั้น และการเอาเปรียบจากทุนนิยม
การต่อสู้เพื่อผู้หญิงและพรรค
แล้วอะไรคือด้านที่สองของการต่อสู้ของเธอล่ะ การต่อสู้เพื่อการรวมประเด็นของแรงงานเข้าไปในงานและพื้นที่สังคมนิยมของพรรคหรือ? ในอัตชีวประวัติของเธอ คอลอนไทกล่าวว่าการโน้มน้าวสมาชิกพรรคให้แก้ไขปัญหาที่แรงงานหญิงเผชิญเป็นเรื่องยาก แม้แต่หลังจากเห็นความกล้าหาญของแรงงานหญิงในการปฏิวัติปี 1905 แล้ว นักสังคมนิยมหลายคนก็ยังยึดโยงประเด็นของแรงงานหญิงกับเฟมินิสต์กระฎุมพี จุดนี้เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเริ่มต้น ด้วยทั้งสองฝั่งของพรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งรัสเซีย (บอลเชวิคและเมนเชวิค) นำประเด็นของผู้หญิงมาปฏิบัติจริง อย่างไรก็ตาม คอลอนไทและผู้หญิงคนอื่นในพรรคยังต้องต่อสู้เพื่อให้พรรคสนใจในประเด็นผู้หญิงอยู่ดี ตามสายนักนิยมเลนินแบบคลาสสิคแล้ว พวกเธอก็ได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ Rabotnitsa (“เวิร์คกิ้งวูแมน”)
ด้วยความที่เธอมองหาการขยายการมีส่วนร่วมระหว่างพรรคกับแรงงานหญิง คอลอนไทจึงยังคงเขียน บรรยาย และจัดตั้ง เธอเข้าร่วมการประท้วงของคนงานซักรีดหญิง เพื่อเรียกร้อง “ชุมชน” (municipalization) ของการซักรีด (การประท้วงคงอยู่หกสัปดาห์และไม่ประสบผลสำเร็จ) เธอกดดันสหภาพการค้าให้จ่ายค่าแรงที่เท่าเทียมต่อผู้หญิง เพื่อปกป้องความเป็นแม่ ตัวคอลอนไทเองก็มีส่วนพัฒนาจุดยืนของพรรคเพื่อหญิงชนชั้นกรรมาชีพอย่างแท้จริงผ่านการรับมือสถานการณ์น่าสิ้นหวังของประเทศในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมากด้วยข้าวของราคาแพงและสินค้าจำเป็นขาดตลาด สังคมเผชิญวิกฤตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในด้านการผลิตซ้ำทางสังคมจนพรรคไม่สามารถเพิกเฉยได้ หลังจากการปฏิวัติเดือนตุลาคมและตำแหน่งของเธอในกระทรวงสวัสดิการแรงงาน คอลอนไทได้ริเริ่มหลายอย่างเพื่อพัฒนาสภาพการผลิตซ้ำทางสังคม ทั้งมาตรการเกี่ยวกับทหารผ่านศึกพิการ การให้การศึกษาแก่หญิงสาว การปรับโครงสร้างศูนย์เด็กกำพร้าใหม่ให้เป็นโรงเลี้ยงเด็ก การเน้นระบบสาธารณสุขฟรี และอื่นๆ คอลอนไทภูมิใจงานสร้างรากฐานทางกฎหมายในสำนักงานกลางสวัสดิการแม่และเด็ก ( Central Office for Maternity and Infant Welfare) ที่สุด รวมถึงการวางแผนสถานดูแลก่อนคลอด (“pre-natal care palace”) การเลี้ยงเด็กสมัยใหม่ หรือการทำให้การดูแลแม่และเด็กเป็นเรื่องของประเทศ
คอลอนไทได้ร่างวิสัยทัศน์หญิงตั้งครรภ์ว่าเป็นที่ต้อนรับเข้าไปใน “บ้านหลังพิเศษที่มีสวนและดอกไม้”
บ้านจะถูกออกแบบอย่างดีจนคนที่เพิ่งคลอดลูกทุกคนจะสามารถอยู่ได้อย่างสะดวกสบาย มีความสุขและสุขภาพดี หมอในสังคม-ครอบครัวนี้จะคำนึงถึงการลดความเจ็บปวดจากการคลอดลูกด้วย ไม่ใช่แค่การรักษาสุขภาพของแม่และเด็กเท่านั้น วิทยาศาสตร์คือการสร้างความก้าวหน้าในวงการและช่วยเหลือหมอที่นี่ เมื่อเด็กแข็งแรงมากพอ แม่จะกลับไปสู่ชีวิตปกติและทำงานที่เธอทำอยู่ต่อเพื่อประโยชน์ของสังคม-ครอบครัวขนาดใหญ่ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องลูกของเธอ สังคมอยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยเหลือเธอ เด็กจะเติบโตในสถานอนุบาล อาณาจักรของเด็กๆ ที่บริบาลและโรงเรียนภายใต้การดูแลของพยาบาลที่มีประสบการณ์ ภาระของความเป็นแม่ไม่ใช่เรื่องต้องแบกอีกต่อไป เหลือเพียงด้านที่น่าสนุกเท่านั้นที่คงอยู่ …[12]
งานของคอลอนไทในรัฐบาลใหม่ของโซเวียต ทั้งในกระทรวงสวัสดิการแรงงานและในแผนกสตรีในภายหลัง เกี่ยวข้องกับการทำให้ความเป็นแม่เป็นเรื่องของสังคม การดูแลเด็กทารกและเด็ก และแรงงานผลิตซ้ำ งานเขียนของเธอจินตนาการความสัมพันธ์รักของนักสังคมนิยมใหม่ ศีลธรรมใหม่ของสหายที่เสรีและเท่าเทียม แต่สงครามกลางเมือง วิกฤตทางเศรษฐกิจ และการต่อสู้ของขั้วการเมืองในพรรคทำให้เธอไม่ได้เห็นงานของเธอสำเร็จอย่างเต็มรูปแบบ
เพิ่มเติม: (ผู้แปล) คำว่า “ชุมชน” (municipalization) การซักรีด เป็นความพยายามหนึ่งของคอลอนไทที่จะ “แยกครัวออกจากการแต่งงาน” ทั้งจัดตั้งโรงเรียนอนุบาล โรงเลี้ยงเด็ก โรงอาหาร และโรงซักผ้าสาธารณะ และอื่นๆ เพื่อทำให้เรื่องส่วนตัวกลายเป็นเรื่องของสังคมและชุมชน (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.marxists.org/thai/archive/kollontai/women-family/index.htm)
[1] Frederick Engels, The Origin of the Family, Private Property and the State (Penguin Classics, 2010), 35.
[2] Alexandra Kollontai, The Autobiography of a Sexually Emancipated Woman, https://www.marxists.org/archive/kollonta/1926/autobiography.htm.
[3] Alexandra Kollontai, The Social Basis of the Woman Question, https://www.marxists.org/archive/kollonta/1909/social-basis.htm.
[4] เพิ่งอ้าง.
[5] เพิ่งอ้าง.
[6] Alexandra Kollontai, “History of the movement of women workers in Russia,” https://www.marxists.org/archive/kollonta/1919/history.htm.
[7] เพิ่งอ้าง.
[8] เพิ่งอ้าง.
[9] เพิ่งอ้าง.
[10] Alexandra Kollontai, Red Love, https://www.marxists.org/archive/kollonta/red-love/index.htm.
[11] Alexandra Kollontai, “History of the movement of women workers in Russia.”
[12] Alexandra Kollontai, “Working Woman and Mother,” https://www.marxists.org/archive/kollonta/1916/working-mother.htm

by Anonymous | Nov 6, 2021 | Articles บทความ, ความคิดเห็น Opinion, ไทย
เรื่องและภาพ กลุ่มบุคคล
บรรณาธิการ Pathompong Kwangtong
“มช. เปิดอลังการวันนี้ อาคารศูนย์อาหารครบวงจร ขนร้านดังมาเพียบ รวมของอร่อยมาไว้ที่นี่ จุคนได้นับพัน” อาคารสุดวิจิตรแสนโมเดิร์นทันสมัยถูกจัดสร้างขึ้นในมหาวิทยาลัย ภายในอาคารโอ่อ่ายิ่งกว่าอาคารเรียนเก่าเก็บจำนวนมากถูกบรรจุให้เต็มไปด้วยร้านอาหารนับสิบ ๆ ร้าน ตั้งแต่ร้านน้ำไปจนถึงร้านอาหารห่วงโซ่รายใหญ่ (chain food restaurant) ชื่อดัง ไม่ไกลจากศูนย์อาหารมากนัก ณ อาคารเก่าเก็บแห่งหนึ่ง ป้ายโปสเตอร์ประกาศปิดปรับปรุงห้องสมุดถูกปะไว้ว่า ห้องสมุดที่เป็นห้องเก็บหนังสือ โกดังหนังสือ และห้องอ่านหนังสือจะต้องถูกโละออกไป สิ่งที่จะเข้ามาทดแทนคือ ห้องสมุดที่เป็น “แหล่งเรียนรู้เชิงประสบการณ์” และ ”พื้นที่ทำงานร่วมกัน” (co-working space)
ความพยายามในการเปลี่ยนให้ทุก ๆ ส่วนของมหาวิทยาลัยสามารถหารายได้เข้ากระเป๋าเป็นปรากฏการณ์ร่วมของมหาวิทยาลัยทั้งในไทยและต่างประเทศ ริมทางเดินเต็มไปด้วยเครื่องขายของอัตโนมัติ รถจักรยานสำหรับเช่า ท้ายรถขนส่งของมหาวิทยาลัยถูกประดับไปด้วยป้ายโฆษณา บนโต๊ะกินข้าวถูกปูหรือปิดด้วยโลโก้สินค้า พื้นที่ส่วนหนึ่งของหอสมุดกลายเป็นร้านกาแฟของทุนใหญ่ระดับชาติ แนวโน้มดังกล่าวแสดงว่า “แหล่งเรียนรู้เชิงประสบการณ์” และ ”พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่สมสมัยกว่าห้องอ่านหนังสือทึมทึบก็คงจะกลายเป็นพื้นที่ทำกำไรให้กับสิ่งที่เรียกตัวเองว่ามหาวิทยาลัยเป็นแน่แท้
ประเด็นปัญหาว่าด้วยพื้นที่ร่วม ก็คือการที่มันไม่มีความเป็นส่วนรวม หากแต่คำว่าร่วมในนั้นมันเป็นแค่การรวมเอาลูกค้าแต่ละคนมานั่งรวมกันบนพื้นที่ส่วนตัวของทุน กลับกัน คำว่าห้องสมุดที่ไม่มีคำว่า “ร่วม” หรือ “รวม” อยู่ในนั้น กลับเป็นพื้นที่หายใจ พื้นที่ค้นคว้า พื้นที่พักตา และเป็นพื้นที่ดับกระหายที่ผู้บริหารไม่อยากเหลียวแล เพราะพื้นที่แห่งนี้ไม่สามารถทำกำไรระยะสั้นให้กับกลุ่มทุนได้ มันฟรี มันไม่สามารถบังคับความคิดได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาจึงต้องพยายามเพิ่มการสอดส่อง เพิ่มข้อจำกัด เพิ่มการกีดกัน ลดการเข้าถึง ลดการจัดเก็บ และหาทางทำลายแหล่งความรู้นอกคอกทุกวิถีทาง สิ่งเหล่านี้มาในรูปเครื่องจักรอันทันสมัยคอยตรวจบัตรตรงทางเข้า การออกแบบที่โดดเด่นซึ่งลดพื้นที่จัดเก็บหนังสือ และการ “แจก” หนังสืออย่างน่าตื่นตาเพื่ออำพรางการทำลายหนังสือของส่วนรวม เหล่านี้คือการทุบทำลายความเป็นส่วนรวมในนามของ “พื้นที่ร่วมกัน” เป็นพื้นที่สำหรับ “ฉัน” – นายทุน อำมาตย์ และลูกค้าผู้มีเงินตรามาประเคน – เท่านั้นที่จะได้เข้าใช้ ได้มีอภิสิทธิ์กว่าใคร ๆ นี่คงไม่ใช่พื้นที่ของมหาวิทยาลัยในความคิดของใครหลาย ๆ คน
มหาวิทยาลัยกลายร่างเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีหลายภาคในตัวเดียว มหาวิทยาลัยเป็นนายจ้างที่จ้างแรงงานจำนวนมาก (ด้วยเงินจากทั้งมหาวิทยาลัยและรัฐ) ให้เข้ามาทำงาน ไม่ว่าจะศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ หรือคนตัดหญ้าข้างถนน – ที่มักถูกจ้างอย่างเปราะบางมาอีกทอด – ล้วนแต่เป็น คนงานรับจ้าง ทั้งสิ้น คนงานทั้งหมดถูกรวมเข้ามาเพื่อสร้างสินค้าที่สัญญาว่าจะให้บริการด้านการศึกษาที่ดีเลิศเพื่อเตรียมความพร้อมเผชิญหน้ากับสังคมทุนนิยมอันผันผวน มหาวิทยาลัยพยายามเปลี่ยนทุกอณูของมหาวิทยาลัยให้กลายเป็นช่องทางการหากำไร ไม่เว้นแม้แต่ตัวนักศึกษา นักศึกษาไม่ใช่แค่ลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้า แต่ตัวนักศึกษากลายเป็นสินค้าที่เอาไว้ล่อให้บรรดานายทุนและนายทุนตัวจ้อยเข้ามาร่วมลงทุนหรือเข้ามาเช่าพื้นที่ในมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยประพฤติตัวเยี่ยงอำมาตย์ตัวจ้อยปล่อยเช่าที่ดินเพื่อเก็บกินค่าเช่า หารายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมและค่าปรับที่เรียกเก็บจากทั้งคนงานของตัวเองและนักศึกษา รวมทั้งใช้อำนาจกำหนดชีวิตความเป็นไปของคนในมหาวิทยาลัยราวกับตัวเองเป็นเจ้าเหนือหัวกำหนดชี้เป็นชี้ตายกระทั่งเวลาที่นักศึกษาจะเดินเข้าหรือออกจากมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ทำตัวเป็นทุกอย่างในโลก ยกเว้นอยู่อย่างเดียวคือ สถาบันการศึกษาที่มุ่งสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ดี
ข้ออ้างหลักที่ปรากฏบ่อยครั้งเมื่อมหาวิทยาลัยต้องการจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างคือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและความจำเป็นของการพัฒนา ข้ออ้างทั้งสองเป็นข้ออ้างแบบครอบจักรวาลที่ยกมาทีไรก็ถูกต้องเสียทุกที ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องมาจากอำนาจการบริหารจัดการมหาวิทยาลัยกระจุกตัวอยู่ในมือคณะผู้บริหาร ตั้งแต่สภามหาวิทยาลัย ไล่ลงมาจนถึงภาควิชา ซึ่งเกือบทั้งหมดมีอาชีพในนามคืออาจารย์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยจึงเป็นเหมือนองค์กรลับที่จัดลำดับอำนาจการตัดสินใจลดหลั่นกันไปตามช่วงชั้น แต่การจัดลำดับขั้นนี้ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อจุดประสงค์อื่นใดนอกจากกีดกันคนส่วนมากออกจากอำนาจการตัดสินความเป็นไปของมหาวิทยาลัย ข้อมูลถูกเปลี่ยนให้เป็นอำนาจ ตัวเลขงบประมาณ รายรับ รายจ่าย เงินคงเหลือ ฯลฯ ล้วนเก็บซ่อนอยู่เพียงภายในแวดวงผู้บริหาร ผู้ไม่รู้โปรดหุบปาก การพัฒนาจำเป็นต้องเกิดเพื่อให้มหาวิทยาลัยสามารถจัดหากระบวนการเรียนรู้ที่เท่าทันความเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าโง่ไม่รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงดีอย่างไรก็อย่าอ้าปากเลย ฉันเป็นผู้บริหารที่เปิดกว้างรับฟังและสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้คนจำนวนมากก็เห็นด้วย อย่าเอาเสียงส่วนน้อยมาทัดทานเลย ฯลฯ ข้ออ้างเหล่านี้ไม่เคยมีความหมายเลยเมื่ออำนาจการตัดสินใจว่าสิ่งไหนจำเป็นหรือสิ่งไหนสมควร ซึ่งอันที่จริงต้องมาจากการตัดสินใจร่วมกันของคนทั้งประชาคม กลับไปอยู่ในกำมือของอำมาตย์ที่แฝงตัวในคราบ ‘อาจารย์’
โครงสร้างอำนาจที่เป็นลำดับขั้นนี่เองที่เป็นเสาหลักสำคัญซึ่งคอยค้ำจุนให้พฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตประหลาดที่มีหลายภาคยังสามารถดำรงอยู่ได้ มันดำรงอยู่ด้วยความขัดแย้ง ดำรงอยู่ด้วยหน้ากากของการอนุรักษ์พร้อม ๆ ไปกับหน้ากากของการพัฒนา มันสวมหน้ากากของศักดินา พร้อม ๆ กับหน้ากากของทุน มันสวมหน้ากากของคำว่ามีวิสัยทัศน์ พร้อม ๆ กับกระดิ่งห้อยจมูกที่ถูกจูงโดยกลุ่มทุน ความขัดแย้งของมันเป็นความขัดแย้งลวงหลอก ปิดบังความขัดแย้งที่เป็นจริง ระหว่างความเป็นส่วนรวมของคนหมู่มาก กับความเป็นส่วนตัวของกลุ่มคนเพียงหยิบมือ ที่ถือหางกันไปมา และคิดว่าระบบห่วงโซ่บรรณาการนี้จะไม่มีวันจบสิ้น
กระนั้น ประชาคมสีม่วงก็ไม่เคยยินยอมโดยง่าย เหตุการณ์การเข้ายึดหอศิลป์เพื่อจัดแสดงงานอย่างเป็นประชาธิปไตยนั้นก็เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน มหาวิทยาลัยที่กำลังถูกบ่อนทำลายลงโดยอำมาตย์จำนวนน้อยนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของการต่อสู้แย่งชิงตั้งแต่ก่อนมันถือกำเนิดเกิดขึ้นมาบนพื้นดินล้านนาเสียด้วยซ้ำ มหาวิทยาลัยที่ประชาคมล้านนาเรียกร้องให้เกิดขึ้นเพื่อรับใช้และเป็นพื้นที่ของส่วนรวมยังคงมีจิตวิญญาณของการขัดขืนและสร้างสรรค์ปกคลุมอยู่เสมอมา พลังที่วนเวียนไม่หายไปไหนเหล่านี้อาจสว่างเจิดจ้าเสียจนตาที่พร่ามัวของผู้บริหารแว่นเตอะคงมองไม่เห็นเสียกระมัง เราจะหวังอะไรกับกลุ่มชนชั้นนำอำมาตย์ที่มองไม่เห็นแม้กระทั่งหมอกควันที่บ่อนทำลายสุขภาพปอดของประชาคม เราจะหวังให้เขาเห็นควันไฟที่กำลังลุกโชนท่วมทุ่งที่พวกเขากำลังเสวยภัตตาหารสีเขียวแสนอร่อยอยู่งั้นฤๅ?
เมื่อผู้บริหารกำลังหยิบยื่นพื้นที่แห่งทุนในนามพื้นที่ “ทำงานร่วมกัน” ให้กับเราชาวประชาคม โดยทุบทำลายพื้นที่ส่วนรวมที่เหลือน้อยอยู่แล้วนั้น พวกเขาไม่ได้นึกเฉลียวใจเลยว่า บุตรหลานทั้งหลายของเขาเหล่านั้นอาจนำพามันไปสุดทางก็ได้ หากท่าน “เคลียร์” พื้นที่ว่างให้พวกเขาใช้ ก็โปรดระวังว่าพวกเขาจะใช้มันเป็นฐานทำการเพื่อ “ทำงานร่วมกัน” โค่นล้มท่านออกจากบัลลังก์ ดังที่กำลังดำเนินการอยู่ในหมู่วิจิตรสิ้นนี้ก็เป็นได้
ขอท่านโปรดระวัง และรีบถอยก่อนที่ท่านจะเจอป้ายประกาศว่า “มช. เปิดอลังการวันนี้ อาคารศูนย์ทำการครบวงจร ขนมวลชนมาเพียบ รวมความคิดก้าวหน้าไว้เพียบ จุคนได้นับพัน” เพื่อเปลี่ยนห้องผู้บริหาร คณบดี และพื้นที่ส่วนตัวของอำมาตย์ ให้กลายเป็นห้องสมุดน้อยใหญ่เข้าแทนที่ และไม่ให้มีพื้นที่ของท่านในมหาวิทยาลัยของประชาคมอีกเลย.
by Anonymous | Nov 4, 2021 | Articles บทความ, Translation, ทฤษฎี Theory, เศรษฐศาสตร์ Economics, ไทย
ผู้เขียน เดวิด ฮาร์วีย์
ผู้แปล ธีรภัทร อรุณรัตน์ (Teerapat Arunrat)
บทความต้นฉบับ https://jacobinmag.com/2020/04/david-harvey-coronavirus-pandemic-capital-economy/
บรรณาธิการโดย Editorial Team
เดวิด ฮาร์วีย์: จินตนาการถึงสังคมใหม่ที่ไม่ใช่ทุนนิยม
ผมเขียนบทความนี้ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโคโรนาไวรัสในนครนิวยอร์ก เป็นช่วงเวลายากลำบากว่าเราควรตอบสนองต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างไร โดยปกติแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ต่อต้านทุนนิยมอย่างเราคงจะอยู่บนท้องถนนเพื่อแสดงพลังและกระตุ้นเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
กลับกัน ผมกำลังอยู่ในช่วงของการโดดเดี่ยวตนเองที่น่ารำคาญใจในช่วงเวลาที่เรียกหาการกระทำร่วม (collective forms of action) ดังที่คาร์ล มาร์กซ์ ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพวกเราไม่อาจเขียนประวัติศาสตร์ได้ในสถานการณ์ที่พวกเราเลือก ดังนั้นเราต้องร่วมกันหาทางที่ดีที่สุดเพื่อปรับใช้กับโอกาสที่พวกเรามีอยู่ในมือ
สถานการณ์ของตัวผมนั้นเรียกได้ว่าเดือดร้อนน้อยกว่าคนอื่น ผมยังทำงานต่อได้จากที่บ้าน ผมยังไม่สูญเสียหน้าที่การงาน และยังได้รับเงินเดือน ที่ต้องทำคือพยายามไม่ให้ติดไวรัสเท่านั้น
ด้วยอายุและเพศสภาพทำให้ผมตกอยู่ในกลุ่มเปราะบาง ดังนั้นการไม่ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจึงจำเป็น สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ผมมีเวลามากมายที่จะคิดทบทวนและเขียนงาน นอกเหนือจากเวลาที่ใช้ไปกับหน้าจอโปรแกรม Zoom น่ะนะ นอกจากการย้ำคิดเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะในนิวยอร์ก ผมคิดว่าตัวเองน่าจะเสนอการคิดทบทวนบางอย่างเกี่ยวกับความเป็นไปได้อื่นของสังคมและตั้งคำถามว่า ผู้ที่ต่อต้านทุนนิยมควรคิดอ่านสถานการณ์เช่นนี้กันอย่างไร

source: Verso
หน่อเนื้อของสังคมใหม่
ผมจะขอเริ่มด้วยการยกความเห็นของมาร์กซ์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในขบวนการปฏิวัติที่ล้มเหลวของคอมมูนปารีสในปี 1871 มาร์กซ์เขียนไว้ ดังนี้ [ในถ้อยแถลงของมาร์กซ์ต่อสภาสามัญ (General Council) ของสมาคมกรรมกรสากล (International Working Men’s Association)] ซึ่งถูกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นจุลสาร (pamphlet) ภายหลังจากความพ่ายแพ้ของคอมมูนปารีสในปี 1871 – ผู้แปล]
ชนชั้นแรงงานไม่ได้คาดหวังปาฏิหาริย์จากคอมมูน แต่เป็นสังคมอุดมคติที่ชาวบ้านจะได้ทดลองสร้างระเบียบใหม่ขึ้นมาด้วยตัวเอง พวกเขารู้ว่าหากจะทำให้การปลดปล่อยเกิดขึ้นจริง โดยไปในทางเดียวกับรูปแบบที่เหนือกว่าที่สภาพสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ตามอัตภาพที่เป็นจริง พวกเขาต้องผ่านการต่อสู้อันยาวนาน ผ่านชุดกระบวนการสำคัญซึ่งเปลี่ยนแปลงทั้งสถานการณ์และตัวมนุษย์เอง พวกเขาไม่มีอุดมคติที่จะตระหนักถึงนอกเหนือจากปลดปล่อยหน่อเนื้อของสังคมใหม่ให้เป็นอิสระจากสภาวะที่สังคมกระฎุมพีเดิมกำลังพังทลายนั้นให้กำเนิดออกมา
ผมจะขอตั้งข้อสังเกตต่อข้อความนี้สักหน่อย อย่างแรก แน่นอนว่าอย่างไรก็ตามมาร์กซ์มีจุดยืนค้านต่อแนวคิดว่าด้วยโลกอุดมคติสังคมนิยม (socialist utopia) ซึ่งแพร่หลายในช่วงทศวรรษ 1840-60 ในฝรั่งเศส นี่เป็นหลักคิดสำคัญของนักคิดอย่าง ชาร์ลส์ ฟูเรียร์ (Charles Fourier) อองรี เดอ แซงซิมอง (Henri de Saint-Simon) เอเตียง คาเบต์ (Étienne Cabet) หลุยส์ ออกุสต์ บลังกี (Louis Auguste Blangui) ปิแอร์ โจเซฟ ปรูดอง (Pierre-Joseph Proudhon) และ คนอื่นๆ
มาร์กซ์เห็นว่าพวกนักสังคมนิยมอุดมคติคือพวกเพ้อฝัน และไม่ใช่ชาวบ้านที่จะลงมือเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์ของแรงงาน (conditions of labor) จริงๆ ในห้วงเวลาและพื้นที่ทางกายภาพปัจจุบัน เพื่อจะเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์ ณ ที่แห่งนี้และช่วงเวลานี้ คุณจำเป็นต้องจับภาพลักษณะที่แท้จริงของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันให้ได้
แต่มาร์กซ์ก็แสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่าความพยายามปฏิวัติต้องเน้นน้ำหนักไปที่การปลดแอกตัวตน (self-emancipation) ของผู้ใช้แรงงาน ส่วนที่ว่า “ตัวตน (self)” ในสมการนี้นี่แหละที่เป็นหัวใจสำคัญ ความพยายามอะไรก็ตามที่จะเปลี่ยนแปลงโลกนั้นต้องการการเปลี่ยนแปลงของตัวตน ดังนั้นผู้ใช้แรงงานจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนของพวกเขาเองด้วยเช่นกัน จุดนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในความคิดของมาร์กซ์ในช่วงเวลาที่คอมมูนปารีสเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม มาร์กซ์ได้ชี้ให้เห็นอีกเช่นกันว่าตัวทุนเองนั้นก่อให้เกิดความเป็นไปได้มากมายต่อการพลิกผันเปลี่ยนแปลง และเมื่อผ่านความพยายามต่อสู้อย่างยาวนาน มันจึงเป็นไปได้ที่จะ “ปลดปล่อย” คุณสมบัติที่จำเป็นต่อสังคมใหม่ซึ่งผู้ใช้แรงงานจะได้ปลดเปลื้องจากการใช้แรงงานที่แปลกแยก (alienated labor) หน้าที่ของการปฏิวัติคือการปลดปล่อยหน่อเนื้อสำหรับสังคมใหม่นี้ ซึ่งมีอยู่ในครรภ์ของระเบียบสังคมกระฏุมพีคร่ำครึที่กำลังจะพังทลาย
ปลดปล่อยศักยภาพให้เป็นอิสระ
เอาล่ะ มาตกลงกันก่อน สมมติว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในช่วงที่สังคมกระฎุมพีคร่ำครึกำลังล่มสลาย แน่นอนทีเดียวว่ามันก่อกำเนิดสิ่งน่าเกลียดน่ากลัวมากมาย — อย่างการเหยียดเชื้อชาติและการเกลียดกลัวต่างชาติ— ซึ่งผมก็ไม่ได้อยากเห็นมันถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ แต่มาร์กซ์ไม่ได้ชี้ว่าจะต้อง “ปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างภายในระเบียบสังคมคร่ำครึและน่าขยะแขยงที่กำลังพังครืนลงมา” สิ่งที่เขากล่าวคือพวกเราจำเป็นต้องเลือกสรรแง่มุมที่ช่วยหนุนการปลดปล่อยแรงงานและชนชั้นแรงงานในสังคมกระฎุมพีที่กำลังพังครืน
คำถามที่ตามมาคือ แล้วความเป็นไปได้เหล่านั้นคืออะไรและมาจากที่ไหน? มาร์กซ์ไม่ได้ขยายความประเด็นนี้ในจุลสารเกี่ยวกับคอมมูนปารีส แต่งานด้านทฤษฎีชิ้นก่อนหน้าส่วนมากของเขาได้อุทิศให้กับการชี้ให้เห็นว่าอะไรกันแน่คือความเป็นไปได้อย่างเป็นรูปธรรมสำหรับชนชั้นแรงงาน หนึ่งในพื้นที่ที่มาร์กซ์ชี้ให้เห็นอย่างละเอียดละอออยู่ในหนังสืออันยิ่งใหญ่ ซับซ้อน และเป็นข้อเขียนไม่สมบูรณ์ชื่อว่า Grundrisse (กรุนด์ริสเซ) ซึ่งมาร์กซ์เขียนในช่วงวิกฤตของชีวิตปี 1857-58
บางข้อความในงานชิ้นนี้ฉายความกระจ่างให้เราเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่มาร์กซ์คิดในการแสดงจุดยืนปกป้องการเกิดขึ้นของคอมมูนปารีส แนวความคิดเรื่องการ “ปลอดปล่อยให้เป็นอิสระ” เกี่ยวเนื่องกับความเข้าใจว่าด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นภายในสังคมทุนนิยมของชนชั้นกระฎุมพีในช่วงเวลานั้น นี่เป็นสิ่งที่มาร์กซ์ลำบากตรากตรำอย่างต่อเนื่องเพื่อทำความเข้าใจ
ในหนังสือ Grundrisse มาร์กซ์พิจารณาในรายละเอียดของประเด็นการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพลวัตด้านเทคโนโลยีที่สัมพันธ์กับทุนนิยม สิ่งที่มาร์กซ์เผยให้เห็นคือในสังคมทุนนิยมนั้น เนื้อแท้ของมันจะให้น้ำหนักอย่างมากกับการพัฒนาสิ่งใหม่ (innovation) และเน้นน้ำหนักอย่างมากที่การสร้างความเป็นไปได้ใหม่ด้านเทคโนโลยีและการบริหารจัดการ เพราะเหตุนี้ ถ้าผมเป็นนายทุนคนหนึ่ง และถ้าผมกำลังแข่งขันกับนายทุนคนอื่นอยู่ ผมจะได้รับกำไรส่วนเกินถ้าเทคโนโลยีที่ผมถือครองเหนือกว่าของคู่แข่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ นายทุนทุกคนจึงมีแรงจูงใจจะขวนขวายหาเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าของบริษัทอื่นที่กำลังแข่งขันกันอยู่
ด้วยเหตุผลเช่นนี้ พลวัตด้านเทคโนโลยีจึงผูกติดกับหัวใจของสังคมทุนนิยม มาร์กซ์ตระหนักถึงส่วนนี้ตั้งแต่ในงานเขียน Communist Manifesto [แถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ เขียนในปี 1848] เป็นต้นมา นี่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่อธิบายลักษณะสำคัญของพลวัตที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของทุนนิยม
ทุนนิยมจะไม่มีทางพึงพอใจกับเทคโนโลยีที่มีอยู่เลย มันจะตะบี้ตะบันพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดหย่อน เพราะว่ามันจะตบรางวัลให้กับนายทุน บริษัท หรือสังคมที่ถือครองเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ากว่าอยู่เสมอ รัฐ ชาติ หรือกลุ่มอำนาจใดก็ตามที่ถือครองเทคโนโลยีที่ฉลาดล้ำและไม่หยุดนิ่งจะเป็นผู้รุดหน้าเหนือคนอื่น ดังนั้นพลวัตทางเทคโนโลยีได้ถูกวางรากในโครงสร้างระดับโลกของทุนนิยม และมันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม

นวัตกรรมทางเทคโนโลยี
มาร์กซ์ชี้ให้เห็นแง่มุมต่อประเด็นนี้อย่างกระจ่างแจ้งและน่าสนใจ หากเราจินตนาการถึงกระบวนการพัฒนาเทคโนโลยี เรามักจะนึกถึงใครสักคนที่ประดิษฐ์ประดอยนั่นนี่และมุ่งพัฒนากลไกส่วนประกอบของสิ่งที่กำลังรังสรรค์ขึ้นอยู่ หมายความว่าพลวัตทางเทคโนโลยีจะเฉพาะเจาะจงกับโรงงาน ระบบการผลิต หรือสถานการณ์นั้นๆ
แต่สิ่งที่เป็นคือ แท้จริงแล้วเทคโนโลยีต่างส่งผลสืบเนื่องถึงกันจากปริมณฑลการผลิตหนึ่งไปอีกที่หนึ่ง เทคโนโลยีได้กลายเป็นสิ่งที่ถือครองได้ทั่วไป (generic) เช่น เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีพร้อมสำหรับใครก็ตามที่ต้องการใช้จะด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เทคโนโลยีจักรกลมีพร้อมสำหรับผู้คนและโรงงานทุกประเภท
มาร์กซ์สังเกตเห็นจุดนี้ในช่วงทศวรรษ 1820, 1830 และ 1840 ในเกาะอังกฤษ การรังสรรค์นวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ได้กลายเป็นภาคธุรกิจอิสระและไม่อยู่ภายใต้ธุรกิจอื่น หมายความว่า การพัฒนาเทคโนโลยีจะไม่ขึ้นอยู่กับใครสักคนที่ผลิตสิ่งทอหรือสินค้าคล้ายคลึงกันซึ่งใส่ใจการสรรหาเทคโนโลยีใหม่เพื่อเพิ่มผลิตภาพของแรงงานที่จ้างทำงานอยู่ ในทางกลับกันผู้ประกอบการจะนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่นำไปใช้งานได้ในทุกหัวระแหง
ตัวอย่างแรกเริ่มที่ดีที่สุดของประเด็นนี้ในช่วงชีวิตของมาร์กซ์คือเครื่องจักรไอน้ำ มีการใช้งานที่หลากหลายมากตั้งแต่ท่อบำบัดน้ำเสียจากเหมืองถ่านหินจนถึงการพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำและเพื่อก่อสร้างทางรถไฟ ในขณะเดียวกันก็ถูกประยุกต์ใช้กับเครื่องทอผ้าในโรงงานสิ่งทอ ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะทำความเข้าใจกลไกธุรกิจของนวัตกรรม ภาควิศวกรรมและอุตสาหกรรมเครื่องมือจักรกลเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเลยล่ะ
ภาคเศรษฐกิจทั้งระบบ — ดังตัวอย่างที่ปรากฎขึ้นรายรอบเมืองเบอร์มิงแฮม [ในประเทศอังกฤษ] ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านการผลิตอุปกรณ์ประกอบเครื่องจักรกล — จึงแปรเปลี่ยนไปในแนวทางที่ทำการผลิตไม่เพียงแต่เทคโนโลยีประกอบการผลิตใหม่ๆ แต่รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วยเช่นกัน แม้กระทั่งในช่วงชีวิตของมาร์กซ์ นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีได้กลายเป็นภาคธุรกิจที่เป็นอิสระในตัวมันเองเรียบร้อยแล้ว
วิ่งวนอยู่ที่จุดเดิม
ในหนังสือ Grundrisse มาร์กซ์เสาะสำรวจในรายละเอียดของคำถามที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนธุรกิจ เมื่อนวัตกรรมสร้างพื้นที่ตลาดหน้าใหม่มากกว่าทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการทางเทคโนโลยีในตลาดเดิมที่มีอยู่เฉพาะ การพัฒนาเทคโนโลยีจึงกลายเป็นคุณสมบัติที่เป็นตัวกำหนดพลวัตของสังคมทุนนิยม
ผลกระทบสืบเนื่องนั้นมีกว้างขวาง ผลลัพธ์อย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเทคโนโลยีไม่มีวันจะหยุดอยู่ที่เดิม จะไม่มีทางหยุดนิ่งกับที่และจะตกรุ่นไปอย่างรวดเร็ว การวิ่งไล่ตามเทคโนโลยีใหม่ๆ จะปวดเศียรเวียนเกล้าและใช้ค่าใช้จ่ายมากทีเดียว การตกรุ่นอย่างทวีความรวดเร็วกลายเป็นหายนะของบริษัทในปัจจุบัน
กระนั้นก็ตาม ทุกภาคส่วนการผลิตของสังคม — ทั้งด้านอิเล็กทรอนิกส์ เภสัชกรรม ชีววิศวกรรม และอื่นๆ — ได้จำยอมต่อการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตัวนวัตกรรมเอง ใครก็ตามที่พัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่สอดรับกับภาพจินตนาการได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ แทปเล็ต หรือมีคุณสมบัติใช้งานได้หลากหลายเช่นชิปคอมพิวเตอร์ จะกลายเป็นคนกุมชัย ดังนั้นแนวคิดที่ว่าเทคโนโลยีในตัวมันเองได้กลายมาเป็นภาคธุรกิจนั้นจึงพัฒนามาเป็นประเด็นศูนย์กลางของสิ่งที่มาร์กซ์ต้องการทำความเข้าใจว่าสังคมทุนนิยมเป็นอย่างไร
นี่เป็นจุดที่ทำให้ระบบทุนนิยมแตกต่างจากระบบการผลิตอื่นทั้งหมด ความสามารถในการรังสรรค์นวัตกรรมมีให้เห็นทั่วไปในประวัติศาสตร์มนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีก็เห็นได้ในจีนยุคโบราณ แม้ว่าจะอยู่ในระบบเจ้าขุนมูลนาย แต่สิ่งที่เป็นความเฉพาะในรูปแบบการผลิตแบบทุนนิยมคือข้อเท็จจริงเรียบง่ายที่ว่าเทคโนโลยีกลายมาเป็นธุรกิจ ผลผลิตที่ถือครองได้ทั่วไปถูกจำหน่ายให้กับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคในลักษณะเดียวกัน
ความเฉพาะเจาะจงนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนสำคัญที่กำหนดว่าสังคมทุนนิยมจะรุดหน้าต่อไปอย่างไร
สิ่งเติมต่อของเครื่องจักร
มาร์กซ์ชี้ให้เห็นต่อไปถึงจุดสำคัญที่แยกขาดการพัฒนาของระบบทุนนิยมออกจากรูปแบบการผลิตอื่น การจะทำให้เทคโนโลยีกลายมาเป็นส่วนธุรกิจได้นั้น คุณต้องหาหนทางปลุกปั้นรูปแบบชุดความรู้สักวิถีทางหนึ่งให้ได้ จุดนี้นำมาซึ่งการปรับใช้ชุดความคิดแบบวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้กลายเป็นวิถีทางทำความเข้าใจโลกที่แยกขาดจากสิ่งอื่น
การสรรค์สร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้ปรากฎในพื้นที่สาธารณะจึงผูกติดกับการเพิ่มขึ้นของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในฐานะสาขาวิชาทางความรู้และวิชาการศึกษา มาร์กซ์มองเห็นกระบวนการที่การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการสรรค์สร้างความรู้รูปแบบใหม่ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
จุดนี้บ่งชี้ให้เห็นถึงอีกแง่มุมหนึ่งของธาตุแท้ของระบบการผลิตแบบทุนนิยม พลวัตทางเทคโนโลยีเชื่อมโยงกับพลวัตในการผลิตความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความรู้เชิงเทคนิคใหม่ๆ รวมทั้งผลิตสร้างความคิดความเข้าใจโลกแบบใหม่ที่แทบจะหน้าตาไม่เหมือนเดิม สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคล้องรับกับการผลิตและการปลุกปั้นความรู้และความเข้าใจที่ต่างไปจากเดิม จนในที่สุด สถาบันการศึกษาใหม่ยกแผงอย่าง MIT (Massachusetts Institute of Technology – สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์) และ Cal Tech (California Institute of Technology – สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย) จึงต้องถูกตั้งขึ้นเพื่อรองรับกระแสการพัฒนาเช่นนี้
มาร์กซ์ตั้งประเด็นต่อไปว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ส่งผลอะไรต่อกระบวนการผลิตในระบบทุนนิยม และจะส่งผลอย่างไรต่อสภาวะการใช้แรงงาน (และตัวแรงงานเอง) ที่เป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการผลิตเช่นนี้? ในยุคก่อนทุนนิยม สักประมาณศตวรรษที่ 14 ถึงศตวรรษที่ 16 โดยทั่วไปแล้วจะเป็นคนที่ควบคุมปัจจัยการผลิตคือชนชั้นแรงงาน — เครื่องมือที่จำเป็นต่อการผลิต — และกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ ผู้ใช้แรงงานที่มีความเชี่ยวชาญกลายเป็นผู้ถือครองหนึ่งเดียวของความรู้และความเข้าใจรูปแบบเฉพาะ ดังที่มาร์กซ์ได้สังเกตว่ามันคือศิลปะรูปแบบหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากเราขยับเข้าใกล้ระบบการผลิตในโรงงาน หรือเข้าใกล้โลกร่วมสมัยมากขึ้นเท่าไร การผลิตเช่นนั้นก็ไม่ได้เป็นรูปแบบหลักอีกต่อไปแล้ว ทักษะของผู้ใช้แรงงานตามขนบเดิมไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีอำนาจเหนือไปแล้ว เทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และความรู้แบบใหม่ได้ถูกผสานเข้ากับเครื่องจักร และนั่นทำให้ศิลปะได้มลายหายไป
และมาร์กซ์ ในส่วนหนึ่งของข้อเขียนในหนังสือ Grundrisse อันน่าตื่นตาตื่นใจ — อยู่ในหน้า 650 ถึง 710 ของเล่มที่พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Penguin เผื่อคุณสนใจตามอ่าน — ได้กล่าวถึงหนทางที่เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ๆและองค์ความรู้ผนวกรวมเข้าไปในเครื่องจักร ความรู้เหล่านี้ไม่ได้อยู่ในหัวของผู้ใช้แรงงานอีกต่อไปแล้ว และผู้ใช้แรงงานก็ถูกผลักไสไปอีกด้านให้เป็นสิ่งเติมต่อของเครื่องจักร เป็นแค่คนคุมการทำงานของเครื่องจักรเท่านั้น สติปัญญาและความรู้ทั้งปวงที่เคยอยู่ในอุ้งมือของผู้ใช้แรงงาน และสถานะที่เคยรักษาไว้ในฐานะผู้กุมอำนาจทางการผลิตบางอย่างที่มีความสัมพันธ์กับตัวทุนเอง ทั้งหมดนี้ได้มลายหายไป
นายทุนซึ่งเคยต้องการทักษะทั้งหลายของผู้ใช้แรงงานนับจากนี้ได้หลุดจากพันธนาการนั้นไปแล้ว และทักษะเหล่านั้นได้มาผนวกรวมเข้ากับเครื่องจักร องค์ความรู้ที่ผลิตสร้างผ่านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหลั่งไหลเข้าสู่ตัวเครื่องจักร และเครื่องจักรได้กลายเป็น “จิตวิญญาณ” ของพลวัตทุนนิยม นั่นคือสถานการณ์ที่มาร์กซ์กำลังขยายความให้เห็นภาพ

source: leftvoice.org
การปลดปล่อยสภาวะการใช้แรงงาน
พลวัตของสังคมทุนนิยมได้พัฒนามาสู่สภาวะที่พึ่งพาการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างไร้สิ้นสุดซึ่งขับเคลื่อนโดนการปลุกปั้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มีความสำคัญ มาร์กซ์มองประเด็นนี้อย่างเด็ดขาดในช่วงชีวิตของเขา เขาเขียนวิเคราะห์เรื่องราวพวกนี้ตั้งแต่ปี 1858 แล้ว! แต่กลับมาช่วงเวลาปัจจุบัน แน่นอนที่สุดว่าเรากำลังอยู่ในสภาวการณ์ที่ประเด็นปัญหาเรื่องนี้ได้ทวีความรุนแรงและมีความสำคัญ
ปมปัญหาเรื่อง AI (articifical intelligence – ปัญญาประดิษฐ์) คือเวอร์ชันยุคปัจจุบันของสิ่งที่มาร์กซ์กำลังกล่าวถึง พวกเราจำเป็นต้องเข้าใจถึงความลึกตื้นหนาบางว่า AI ได้ถูกพัฒนาผ่านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างไร รวมถึงจะถูกประยุกต์ใช้ (หรือมีแนวโน้มจะถูกประยุกต์ใช้) ในภาคการผลิตอย่างไร ผลลัพธ์ที่เห็นชัดแจ้งที่สุดคือการแทนที่ผู้ใช้แรงงาน และความจริงแล้วมากไปกว่านั้นคือการถอดเขี้ยวเล็บและบั่นทอนมูลค่าในกำลังการผลิตของผู้ใช้แรงงานที่เป็นการครองความสามารถของในการประยุกต์ใช้จินตนาการ ทักษะ และความเชี่ยวชาญเฉพาะในกระบวนการผลิต
สิ่งนี้ทำให้มาร์กซ์ได้ให้ความเห็นในหนังสือ Grundrisse ไว้ดังนี้ ผมจะขอยกมาโดยตรงเลยเพราะคิดว่ามันน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ
การเปลี่ยนผ่านของกระบวนการผลิตจากขั้นตอนการใช้แรงงานธรรมดากลายเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งทำให้แรงขับทางธรรมชาติ (forces of nature) อยู่ภายใต้อาณัติและบีบบังคับให้ขับเคลื่อนภายใต้ความต้องการของมนุษย์นั้น การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ปรากฎให้เห็นถึงต้นทุนคงที่ [fixed capital – ในความหมายของเครื่องจักรในกระบวนการผลิต – ผู้แปล] ซึ่งตรงข้ามกับแรงงานที่มีชีวิต ดังนั้นอำนาจทั้งหมดของแรงงานจึงสับเปลี่ยนมาเป็นอำนาจของทุน
องค์ความรู้และความเชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ได้สั่งสมอยู่ในเครื่องจักรที่อยู่ใต้บงการของนายทุนอีกทบหนึ่ง อำนาจในการผลิตของแรงงานถูกโอนถ่ายไปอยู่ในต้นทุนคงที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวแรงงาน ผู้ใช้แรงงานเป็นเพียงแค่ส่วนที่ถูกทดแทนได้ ดังนั้นต้นทุนคงที่จึงกลายมาเป็นตัวที่บ่งชี้ถึงองค์ความรู้และปัญญาร่วมของสังคมเมื่อกล่าวถึงด้านการผลิตและการบริโภค
ขยับไปอีกก้าวหนึ่ง มาร์กซ์ชี้ไปที่ประเด็นสำคัญว่าอะไรคือสิ่งที่ระเบียบสังคมกระฎุมพีที่ใกล้สูญสลายจะให้กำเนิดออกมา ที่จะเป็นส่วนเติมเต็มเพื่อประโยชน์ของแรงงาน สิ่งนั้นก็คือสถานการณ์ที่ตัวทุนเอง — “ที่แม้จะดูไม่หวังผลว่าจะเป็นเช่นนี้ —ได้ลดภาระของการใช้แรงงานมนุษย์ให้อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด และนี่จะส่งผลดีอย่างยิ่งยวดต่อแรงงานที่ได้รับการปลดปล่อย และเป็นเงื่อนไขของการปลดปล่อย” ในมุมของมาร์กซ์ การเฟื่องฟูของเครื่องจักรอัตโนมัติหรือเทคโนโลยี AI ได้สร้างเงื่อนไขและความเป็นไปได้สำหรับการปลดปล่อยแรงงาน
การพัฒนาตัวตนอย่างเสรี
ในส่วนหนึ่งของข้อเขียนของมาร์กซ์ที่ผมอ้างถึงในจุลสารว่าด้วยคอมมูนปารีสนั้น ประเด็นว่าด้วยการปลดปล่อยตัวเองของสภาวะการใช้แรงงานและผู้ใช้แรงงานเป็นจุดสำคัญ สภาวการณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องโอบรับเอาไว้ แต่อะไรกันล่ะที่ทำให้สภาวการณ์เช่นนี้ส่งผลให้เกิดความเป็นไปได้ต่อการปลดแอก
คำตอบนั้นเรียบง่าย องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งหลายเหล่านี้กำลังเพิ่มผลิตภาพรวมของสังคม (social productivity) ของแรงงาน ผู้ใช้แรงงานหนึ่งคนที่ดูแลเครื่องจักรเหล่านั้นจะทำการผลิตสินค้าจำนวนมากได้ในเวลาการผลิตที่แสนสั้น กลับไปที่มาร์กซ์อีกครั้งในหนังสือ Grundrisse ที่ว่า
หากมาถึงจุดที่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้พัฒนามาถึง การก่อร่างสร้างตัวของความมั่งคั่งที่แท้จริงมาถึงจุดที่พึ่งพาทั้งเวลาการทำงานของแรงงาน (labor time) และจำนวนแรงงานที่จ้างงานในปริมาณน้อยลงเมื่อเทียบกับความสามารถของหน่วยการผลิต (power of the agencies) ที่ขับเคลื่อนในช่วงกระบวนการผลิต ซึ่ง “ประสิทธิผลอันทรงพลัง” ในตัวมันเองนั้นเทียบกันไม่ได้เลยกับสัดส่วนของแรงงานที่กระทำโดยตรงในกระบวนการผลิต แต่ [ประสิทธิผล] จะขึ้นอยู่กับสถานะทั่วไปขององค์ความรู้และการก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้นี้เข้ากับการผลิต … ความมั่งคั่งที่แท้จริงฉายภาพตัวมันเองออกมา —และอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ก็เผยให้เห็นถึง— ความแตกต่างอันน่าหวาดกลัวระหว่างเวลาการทำงานของแรงงานที่ใช้ไป กับผลผลิตที่ได้ออกมา
แต่ต่อมา — และมาร์กซ์ก็ได้อ้างถึงนักสังคมนิยมสายริคาร์เดียน [David Ricardo (1772 – 1823) นักเศรษฐศาสตร์สายคลาสสิคชาวอังกฤษที่มาร์กซ์ได้ศึกษาแนวคิดและวิพากษ์ไว้ในงานอย่าง Capital และ Grundrisse – ผู้แปล] ที่ปรากฎในช่วงเวลานั้น — เขากล่าวเพิ่มเติมดังนี้ “ชาติที่มั่งคั่งแท้จริง คือชาติที่มีชั่วโมงการทำงาน 6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 12 ชั่วโมงต่อวัน ความมั่งคั่งไม่ใช่การมีอำนาจควบคุมเวลาทำงานส่วนเกิน… แต่คือเวลาว่างนอกเหนือจากเวลาที่ต้องใช้ในขั้นการผลิตโดยตรง สำหรับทุกปัจเจกชนและสังคมโดยรวม”
จุดนี้แหละที่ชี้ให้เห็นว่าทุนนิยมจะสร้างความเป็นไปได้สำหรับ “การพัฒนาตัวตนอย่างเสรีของปัจเจกชน” รวมไปถึงผู้ใช้แรงงาน และนอกจากนั้น ดังที่ผมได้เคยพูดถึงไปแล้ว และจะขอกล่าวถึงอีกครั้งหนึ่งว่ามาร์กซ์ได้เน้นย้ำตลอดๆว่าการพัฒนาตัวตนอย่างเสรีของปัจเจกนี่แหละที่เป็นจุดหมายปลายทางที่การกระทำร่วม (collective action) กำลังผลักดันให้เกิดขึ้น ความคิดที่แพร่หลายไปทั่วว่ามาร์กซ์พูดถึงแต่การกระทำร่วมและการกดทับความสำคัญของปัจเจกนั้นไม่ถูกต้อง
กลับกันต่างหาก มาร์กซ์เห็นสมควรกับการส่งเสริมการกระทำร่วมเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพสำหรับปัจเจกบุคคล เราจะกลับมาที่แนวคิดนี้อีกครู่หนึ่ง แต่ประเด็นเรื่องศักยภาพเพื่อการพัฒนาตัวตนอย่างเสรีของปัจเจกชนคือเป้าหมายสำคัญของสิ่งที่เรากำลังพูดถึงอยู่
การใช้แรงงานที่จำเป็นและไม่จำเป็น
ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับ “การลดทอนการใช้แรงงานจำเป็นโดยรวม” นั่นก็คือปริมาณการใช้แรงงานที่จำเป็นต่อการผลิตซ้ำการใช้ชีวิตประจำวันในสังคม ประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของการใช้แรงงานจึงแปลว่า ความจำเป็นพื้นฐานของสังคมจะได้รับการตอบสนองโดยง่ายดาย เงื่อนไขเช่นนี้จะอนุญาตให้มีเวลาว่างเหลือเฟือสำหรับการพัฒนาทางศิลปะและองค์ความรู้ที่มีศักยภาพเพียงพอจะเกื้อหนุนให้ปลดปล่อยปัจเจกชนเป็นอิสระ
แม้ช่วงแรกๆ จะเอื้อให้เกิดขึ้นในหมู่อภิสิทธิ์ชนไม่กี่คน แต่ท้ายที่สุดแล้วจะสร้างเวลาว่างเสรีให้กับทุกคน นั่นก็คือการปลดปล่อยปัจเจกชนให้เป็นอิสระที่จะทำสิ่งที่ปรารถนาเป็นจุดสำคัญ เพราะคุณตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานโดยใช้งานเทคโนโลยีที่ฉลาดล้ำได้แล้ว
แต่ปัญหาดังที่มาร์กซ์ชี้ให้เห็นก็คือ ตัวทุนนั่นเองคือ “ความย้อนแย้งอันไม่หยุดนิ่ง” ทุนจะกดให้เวลาการทำงานเหลือน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันอีกด้านก็ฉายภาพเวลาการทำงานว่าเป็นตัวชี้วัดและแหล่งที่มาเพียงหนึ่งเดียวของความมั่งคั่ง” ดังนั้นทุนจึงบั่นทอนเวลาทำงานในรูปแบบที่จำเป็น — นั่นคือสิ่งที่จำเป็นจริงๆ [ต่อการใช้ชีวิตของแรงงานและสังคมโดยรวม – ผู้แปล] — เพื่อไปเพิ่มในส่วนที่ล้นเกิน
ถึงจุดนี้ รูปแบบที่ล้นเกินคือสิ่งที่มาร์กซ์เรียกว่ามูลค่าเพิ่ม (surplus value) คำถามก็คือใครจะเป็นคนที่กุมส่วนเกินนั้นไป ประเด็นปัญหาที่มาร์กซ์ชี้ให้เห็นคือไม่ใช่ว่ามูลค่าส่วนเกินไม่มีอยู่ แต่ไม่ได้มีอยู่สำหรับแรงงาน ขณะที่แนวโน้มก็คือ “ด้านหนึ่งมีเพื่อสร้างเวลาว่าง” ส่วนอีกด้านหนึ่งคือการ “เปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นแรงงานส่วนเกิน [surplus labor – แรงงานส่วนเกินที่เกินมาจากการใช้แรงงานจำเป็นเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิต – ผู้แปล]” เพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นนายทุน
มันไม่ถูกนำไปใช้สำหรับการปลดปล่อยผู้ใช้แรงงานตามที่ควรจะเป็น แต่ถูกใช้ไปกับการเสริมเติมแต่งอาภรณ์ของพวกกระฎุมพี และถูกใช้เพื่อสั่งสมความมั่งคั่งผ่านวิธีการดั้งเดิมภายในชนชั้นกระฎุมพีเอง
นี่คือความขัดแย้งที่เป็นหัวใจ “ความมั่งคั่งที่แท้จริงของชาติ” มาร์กซ์กล่าว “เราจะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ได้อย่างไร นั่นก็คือ” เขากล่าวต่อไปว่า “คุณจะเข้าใจมันในรูปแบบของปริมาณเงินมหาศาลและอะไรทำนองนี้ทั้งหมดที่ใครสักคนมีอำนาจบงการ” แต่สำหรับมาร์กซ์ ดังที่เราได้รับรู้กันไปแล้วว่า “ชาติที่มั่งคั่งอย่างแท้จริงคือชาติที่ช่วงเวลาการทำงานในหนึ่งวันคือ 6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 12 ชั่วโมง ความมั่งคั่งไม่ได้วัดกันที่อำนาจบงการเหนือแรงงานส่วนเกิน แต่เป็นเวลาว่างนอกเหนือจากเวลาที่จำเป็นที่ใช้ในการผลิตโดยตรงสำหรับทุกปัจเจกชนในสังคมโดยรวม”
หมายความว่า ความมั่งคั่งของสังคมใดก็ตามชี้วัดด้วยปริมาณเวลาว่างที่พวกเรามี เพื่อจะทำอะไรก็ได้ที่เราปรารถนาโดยไร้ซึ่งโซ่ตรวนที่มาจากความจำเป็นพื้นฐานในชีวิตของเรามีเพียงพอแล้ว และนี่คือข้อโต้แย้งหลักของมาร์กซ์ คุณต้องมีขบวนการเคลื่อนไหวร่วมเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าสังคมหน้าตาเช่นนั้นจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้ แต่อะไรที่มาขวางทางพวกเรา แน่นอน นั่นคือข้อเท็จจริงว่าด้วยความสัมพันธ์ของชนชั้นที่กุมอำนาจ และการใช้อำนาจของพวกชนชั้นนายทุน
ภายใต้การล็อกดาวน์
กลับมาในห้วงปัจจุบัน มีเสียงสะท้อนที่น่าฉงนของเรื่องราวเหล่านี้จากสถานการณ์ล็อกดาวน์ในปัจจุบัน และการล่มสลายของเศรษฐกิจที่เป็นผลตามมาของโคโรนาไวรัส พวกเราหลายคนอยู่ในสถานการณ์ที่แต่ละคนล้วนมีเวลาว่างมากมาย พวกเราส่วนใหญ่ติดตรึงอยู่ในบ้าน
เราไม่อาจเดินทางไปทำงาน เราไม่อาจทำสิ่งที่เราทำโดยปกติได้ แล้วเราจะรับมืออย่างไรกับเวลาว่างที่เรามี? ถ้าพวกเรามีลูกเล็ก แน่นอนเราน่าจะมีอะไรทำอยู่แล้วล่ะ แต่พวกเรากำลังอยู่ในจุดที่เรามีเวลาว่างมากอย่างมีนัยยะสำคัญ
ประเด็นที่สองก็คือ แน่ทีเดียว เรากำลังเผชิญกับสภาพการว่างงานจำนวนมาก ข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นว่าในสหรัฐอเมริกาตัวเลขอย่าง 26 ล้านคนคือคนที่สูญเสียหน้าที่การงาน โดยปกติแล้วอาจจะพูดได้ว่านี่คือหายนะไปแล้ว และแน่นอน นี่คือหายนะจริงแท้ทีเดียว เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณตกงาน คุณได้สูญเสียความสามารถผลิตซ้ำการใช้แรงงานของตัวเองโดยการไปจับจ่ายของในห้างร้าน นั่นเพราะว่าคุณไม่มีเงินเหลืออีกต่อไป
ผู้คนมากมายได้สูญเสียประกันสุขภาพ และผู้คนอีกมากกำลังเผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงเงินช่วยเหลือจากการว่างงาน สิทธิในที่อยู่อาศัยกำลังจะถูกช่วงชิงไปเพราะทั้งค่าเช่าและค่าผ่อนบ้านกำลังจะครบกำหนดจ่าย ประชากรส่วนใหญ่ของสหรัฐ — ซี่งน่าจะอยู่ที่ราว 50 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนทั้งหมด — ถือเงินอยู่ไม่ถึง 400 เหรียญ [ประมาณ 13,000 บาท] อยู่ในธนาคารเพื่อพร้อมรับมือกับอุบัติเหตุเล็กน้อย ไม่ต้องพูดถึงเลยถ้าต้องเจอกับวิกฤตขนานใหญ่ที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้

source: BBC
ชนชั้นแรงงานใหม่
ผู้คนเหล่านี้มีแนวโน้มจะลงถนนประท้วงในเร็ววันอย่างแน่นอน ด้วยความอดอยากที่จ้องเขม็งพวกเขาและลูกเล็กอยู่ แต่เราลองมามองสถานการณ์ให้ลึกลงไปกว่านี้ด้วยกัน
กำลังแรงงานที่ถูกคาดคั้นให้เป็นคนดูแลจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นหรือต้องเอื้ออำนวยความสะดวกเล็กน้อยเพื่อให้ผู้ป่วยดำรงชีวิตประจำวันได้นั้นมีลักษณะไม่เท่าเทียมทางเพศสูง แบ่งแยกสีผิว และแบ่งแยกเชื้อชาติ นี่คือ “ชนชั้นแรงงานใหม่” ที่เป็นด่านหน้าของทุนนิยมยุคปัจจุบัน กลุ่มคนเหล่านี้ต้องแบกรับภาระอยู่สองอย่างไว้พร้อมกัน นั่นคือพวกเขาคือผู้ใช้แรงงานที่มีความเสี่ยงติดไวรัสขณะทำงาน และมีความเสี่ยงที่จะถูกเลิกจ้างโดยไม่มีการชดเชยทางการเงินเพราะสถานการณ์บีบบังคับทางเศรษฐกิจที่ถูกผลักดันโดยการระบาดของไวรัส
ชนชั้นแรงงานยุคปัจจุบันในสหรัฐอเมริกา — ประกอบด้วยคนส่วนใหญ่ที่มีเชื้อสายอเมริกัน-แอฟริกัน ลาตินอเมริกา และผู้หญิงที่รับค่าแรงรายวัน — พวกเขากำลังเผชิญกับตัวเลือกอันน่าขยะแขยง นั่นคือระหว่างต้องทนทรมานกับการติดเชื้อระหว่างที่ดูแลผู้คนและค้ำยันภาคส่วนที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต (อย่างเช่นร้านสะดวกซื้อ) ให้เปิดต่อไปได้ หรือตัวเลือกอย่างการว่างงานโดยไม่ได้รับค่าชดเชยอะไรเลย (อย่างประกันสุขภาพที่เพียงพอ)
กำลังแรงงานเหล่านี้ถูกกล่อมเกลาให้ประพฤติตัวเป็นตัวตนตามขนบเสรีนิยมใหม่ (neoliberal subject) ที่ดี ซึ่งหมายถึงการหันมาโทษตัวเองหรือพระผู้เป็นเจ้าถ้ามีอะไรที่ผิดเพี้ยนในชีวิต แต่ไม่กล้าแม้แต่จะบอกว่าตัวทุนนิยมเองนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุของปัญหา แต่กระนั้นก็ตาม ตัวตนตามขนบเสรีนิยมใหม่ที่ดีน่าจะสังเกตได้ว่ามีอะไรผิดเพี้ยนไปมากเมื่อมองไปที่การตอบสนองต่อสถานการณ์แพร่ระบาดแล้วมาเทียบกับภาระหนักหนาอันไร้ความสมเหตุสมผลที่พวกเขาต้องรับเพื่อแลกกับการค้ำจุนระเบียบทางสังคมให้เดินต่อไป
จินตนาการใหม่
การขับเคลื่อนสังคมโดยส่วนรวมเพื่อรับมือกับโควิด-19 จำเป็นต่อการนำพาพวกเราออกจากวิกฤตนี้ เราต้องการการกระทำร่วมเพื่อควบคุมการระบาด — ทั้งเรื่องการล็อกดาวน์ พฤติกรรมการเว้นระยะห่าง และอื่นๆ การขับเคลื่อนสังคมโดยส่วนรวมเช่นนี้แหละที่จำเป็นต่อการปลดปล่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ปัจเจกชนจะดำรงชีวิตในวิถีทางที่ต้องการได้สักวัน นั่นเพราะว่าเราไม่อาจใช้ชีวิตอย่างที่เราปรารถนาได้ในตอนนี้
สถานการณ์เช่นนี้กลับกลายเป็นการเปรียบเปรยที่ดีเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวทุนนั้นเป็นอย่างไร นั่นหมายความว่า [สังคมทุนนิยม] คือการสร้างสังคมที่พวกเราส่วนใหญ่ไม่อาจมีอิสระทำสิ่งที่ปรารถนา เพราะพวกเราถูกเหนี่ยวรั้งให้ทำการผลิตความมั่งคั่งเพื่อชนชั้นนายทุน
สิ่งที่มาร์กซ์อาจจะกล่าวในสถานการณ์เช่นนี้คือจะเป็นอย่างไรหากคนที่ตกงานจำนวน 26 ล้านคนหาทางใดก็ทางหนึ่งเพื่อมีเงินจำนวนเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ซื้อสินค้าที่จำเป็นเพื่อเอาชีวิตรอด และเช่าที่อยู่เพื่อซุกหัวนอน แล้วถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกเขาถึงไม่ควานหาการปลดปล่อยขนานใหญ่จากการทำงานที่แปลกแยกกับตัวเอง
หากจะพูดอีกทาง เราต้องการออกจากวิกฤตนี้ด้วยการพูดว่าคนจำนวน 26 ล้านคนรอกลับไปทำงาน ซึ่งเป็นงานแสนเลวร้ายดังที่พวกเขาได้ทำมาก่อนเช่นนั้นหรือ นี่คือผลลัพธ์ที่พวกเราต้องการเช่นนั้นหรือ หรือว่าพวกเราต้องการตั้งคำถามว่ามีทางใดบ้างที่จะจัดสรรการผลิตสินค้าและบริการพื้นฐานเพื่อให้ทุกคนมีอันจะกิน เพื่อให้ทุกคนมีบ้านใต้ชายคาที่ดีเพื่ออยู่อาศัย และพวกเราจะผลักดันให้หยุดการไล่คนออกจากบ้านเช่า และทุกคนจะได้มีชีวิตโดยไม่ต้องจ่ายค่าเช่ากันถ้วนหน้า นี่คือห้วงเวลาที่เราต้องคิดกันอย่างตระหนี่ถี่ถ้วนถึงการสร้างสังคมใหม่ไม่ใช่หรือ
ถ้าเราหนักแน่นและฉลาดหลักแหลมเพียงพอจะรับมือกับไวรัสตัวนี้ได้ แล้วทำไมจะรับมือกับทุนในเวลาเดียวกันไม่ได้ล่ะ แทนที่จะบอกว่าพวกเราต้องการกลับไปทำงานและทวงคืนหน้าที่การงานเดิมและฟื้นคืนทุกอย่างที่เคยเป็นเหมือนก่อนวิกฤตจะเริ่มขึ้น เช่นนั้นเราอาจจะต้องถามว่าทำไมถึงออกจากวิกฤตนี้โดยสร้างระเบียบสังคมที่เปลี่ยนผันไปจากเดิมทั้งหมดไม่ได้กันล่ะ
ทำไมพวกเราถึงไม่หยิบฉวยหน่อเนื้อของสังคมกระฎุมพีเดิมที่กำลังพังทลายให้กำเนิดออกมา — ทั้งศาสตร์และองค์ความรู้อันน่าตื่นตาตื่นใจรวมทั้งเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิต — และปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ ใช้งาน AI รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและรูปแบบการจัดการทั้งหลายเพื่อให้เราสร้างสิ่งใหม่ที่แตกต่างอย่างถึงรากจากสิ่งที่เคยปรากฎมาก่อนได้
ทางเลือกใหม่ที่ปลายอุโมงค์
แม้กระนั้นก็ตามในห้วงเวลาวิกฤตฉุกเฉินเช่นนี้ พวกเราได้ทดลองรูปแบบของสังคมใหม่ในทุกด้านกันอยู่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่การอุดหนุนอาหารฟรีให้กับย่านชุมชนและกลุ่มคนยากจน ไปจนถึงการรักษาพยาบาลฟรี หรือแม้กระทั่งรูปแบบใหม่ของการเข้าถึงทรัพยากรผ่านระบบอินเตอร์เน็ต และอื่นๆ อีกมาก ที่จริงแล้วนั้นรูปร่างหน้าตาของสังคมแบบสังคมนิยมรูปแบบใหม่กำลังเผยให้เห็นออกมาซึ่งหน้าแล้ว — นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมฝ่ายขวาและชนชั้นนายทุนกำลังกระเหี้ยนกระหืออยากนำพาสังคมให้กลับไปเป็นแบบเดิม
นี่คือห้วงเวลาแห่งโอกาสที่จะคิดคำนึงว่าหน้าตาของทางเลือกอื่นจะเป็นอย่างไร นี่คือห้วงเวลาที่ความเป็นไปได้ของสังคมใหม่กำลังมีเลือดมาหล่อเลี้ยง แทนที่จะตอบสนองอย่างฉับพลันทันด่วนและกล่าวว่า “พวกเราต้องรีบสร้างงานสำหรับ 26 ล้านคนให้กลับมาโดยเร็วที่สุด” พวกเราควรจะมุ่งเป้าที่การขยายผลบางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ไปในวงกว้างมากขึ้น เช่นการจัดสรรทรัพยากรที่จำเป็นร่วมกัน
สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นแล้วในบริบทของประกันสุขภาพพื้นฐาน แต่เริ่มจะมีแนวโน้มเกิดขึ้นโดยทำให้การเข้าถึงวัตถุดิบประกอบอาหารหรือแม้กระทั่งอาหารปรุงสำเร็จเป็นไปอย่างถ้วนหน้า นครนิวยอร์กในตอนนี้ ระบบหลังร้านของร้านอาหารหลายแห่งยังเปิดอยู่ และเป็นผลจากการบริจาคของผู้คน พวกเขากำลังแจกจ่ายมื้ออาหารฟรีให้กับประชากรจำนวนมากที่ตกงานและกำลังมืดแปดด้าน
แทนที่จะกล่าวว่า “เอาล่ะ ที่กำลังทำอยู่นี่มันก็แค่ในช่วงวิกฤตฉุกเฉินเท่านั้น” ทำไมเราถึงไม่กล่าวว่านี่แหละคือห้วงเวลาที่เราต้องเริ่มผลักดันให้ร้านอาหารเหล่านี้เห็นว่าภารกิจของพวกคุณคือการทำให้ประชากรอิ่มท้อง เพื่อให้ทุกคนมีมื้ออาหารที่ดีอย่างน้อยหนึ่งหรือสองมื้อต่อวัน
จินตนาการแบบสังคมนิยม
และเราก็มีหน่อเนื้อของสังคมเช่นนั้นอยู่ในมือแล้ว ดังที่เห็นได้จากโรงเรียนจำนวนมากสนับสนุนมื้ออาหารโรงเรียน (school meal) สำหรับนักเรียน [ซึ่งการปิดโรงเรียนช่วงโควิดทำให้เด็กจากครอบครัวยากจนไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ – ผู้แปล] เป็นต้น ก็ขอให้ทำเช่นนี้ต่อไปเถิด หรือ อย่างน้อยก็เรียนรู้บทเรียนว่าหลายสิ่งอย่างจะเกิดขึ้นได้ขอเพียงแค่เราเอาใจใส่มัน นี่ไม่ใช่หรือคือห้วงเวลาที่เราจะใช้จินตนาการแบบสังคมนิยมเพื่อสร้างสังคมใหม่ขึ้นมา
นี่ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน เอาล่ะ ลองดูร้านอาหารมากมายบนย่านอัปเปอร์เวสต์ไซด์ (Upper West Side – พื้นที่ในเขตแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก) ที่ถูกปิดและแช่แข็งงอยู่อย่างเงียบงัน ให้ผู้คนกลับมาสิ พวกเขาจะได้เริ่มทำอาหารและจ่ายแจกให้ประชากรบนท้องถนน ในบ้านเรือนและผู้สูงอายุได้ เราต้องการปฏิบัติการร่วมเช่นนั้นเพื่อให้พวกเราทุกคนมีชีวิตอย่างเสรี
ถ้าคนตกงาน 26 ล้านคนจะต้องกลับไปทำงาน แต่ชั่วโมงการทำงานจะเหลือแค่ 6 ชั่วโมง ไม่ใช่ 12 ชั่วโมงต่อวันเพื่อให้พวกเราชื่นชมกับความรับรู้ที่ต่างออกไปว่าการอาศัยในประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลกนั้นเป็นอย่างไร นี่อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่จริงๆ ก็ได้ (ปล่อยให้คำว่า “อีกครั้ง” เน่าเปื่อยในถังขยะของสายธารประวัติศาสตร์ไปเถอะ)
นี่คือจุดที่มาร์กซ์ได้เน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า ว่ารากฐานที่แท้จริงของปัจเจกชน เสรีภาพ และการปลดปล่อย ดังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกันกับสิ่งที่ยกย่องเชิดชูกันนักหนาในอุดมการณ์ของพวกกระฎุมพี นั่นคือสถานการณ์ที่ความจำเป็นพื้นฐานของพวกเราได้รับการดูแลผ่านการกระทำร่วม เพื่อให้พวกเราได้ทำงานเพียงแค่ 6 ชั่วโมงต่อวัน และจะได้ใช้เวลาที่เหลือดังที่ใจปรารถนา
โดยสรุปแล้ว นี่ไม่ใช่หรือที่เป็นห้วงเวลาอันน่าสนใจยิ่งที่เราจะครุ่นคิดอย่างจริงจังถึงการขับเคลื่อนและความเป็นไปได้ที่จะสร้างสังคมใหม่ สังคมแบบสังคมนิยม แต่ก่อนที่เราจะเดินไปถึงเส้นทางของการปลดปล่อยนั้น พวกเราจำเป็นต้องปลดปล่อยตัวเราเองเป็นอันดับแรก ให้เห็นว่าจินตนาการใหม่นั้นเป็นไปได้พร้อมไปกับการสรรค์สร้างความเป็นจริงรูปแบบใหม่ขึ้นมา
หมายเหตุ: ผู้แปลขอขอบคุณความช่วยเหลือและคำแนะนำจากอติกานต์ สิทธิชาติ และวศินี
by Anonymous | Oct 17, 2021 | Articles บทความ, การประท้วง Protest, ความคิดเห็น Opinion, ไทย
เรื่อง & ภาพ สินละปะ
กลางเดือนตุลาคมอันมืดมิดที่หวนกลับมาอีกครั้ง นักศึกษาและศิลปินผู้ทำการผลิตงานสร้างสรรค์ได้ทำลายโซ่ตรวนของอำมาตย์ศักดินาหน้าประตูหอศิลป์มช.ลงเสียสิ้น ผู้ก่อการกว่าร้อยชีวิตบุกเข้ายึดอาคารที่อ้างว่าเป็นของมช. แต่น่าเสียดาย มันไม่เคยเป็นของประชาคมชาวมช.เลยสักเสี้ยววินาที มันเป็นเพียงสถานที่ว่างเปล่าที่เอาไว้ปล่อยเช่า มันดูดเอากำลังแรงงานของนักศึกษาที่ออกมาในรูปของงานศิลป์ซึ่งจำต้องจัดแสดงเพื่อผ่านเกณฑ์การประเมินก็เท่านั้น แต่บัดนี้มันกำลังเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ เปลี่ยนเป็นของส่วนรวม ของประชาคมชาวมช. ผ่านปฏิบัติการยึดเพื่อจัดแจงการแสดงงานอย่างเป็นประชาธิปไตย!
นานมากแล้ว ที่กลุ่มบุคคลส่วนน้อยผู้กุมอำนาจเถื่อนอยู่ในมือภายใต้หัวโขนของอำมาตย์รูปแบบใหม่ อำมาตย์เหล่านี้ถือตนว่าบงการภายใต้กฎแห่งการแข่งขันในตลาดที่มีประสิทธิภาพล้นเปี่ยม แต่ขณะเดียวกันกลับติดหน่วงพ่วงระบบเอกสารไม่ต่างจากสมัยระบบอำมาตย์ราชการล้าหลังอยู่เช่นเคย กล่าวคือ การบริหารจัดการพื้นที่ของหอศิลป์มช. และมหาวิทยาลัยโดยทั่วไปอยู่ในรูปแบบการผสมกันอย่างน่าอดสู ระหว่างระบบรัฐราชการเทอะทะ และปีศาจที่มองไม่เห็นอย่างตลาดเสรี กลายเป็นระบบตัวเงิน-ตัวทอง เอาข้อเสียของทั้งสองอย่างมายำเข้าไว้ด้วยกัน นักศึกษา อาจารย์ ผู้ชมงาน ต่างก็ต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบพิธีการตามจารีตอันนอบน้อมสยบยอมราวกับว่าเราอยู่ในระบอบเก่าเสียอย่างนั้น อีกทั้งความโหดร้ายป่าเถื่อนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมของผีห่าซาตานที่มีชื่อว่าตลาดเสรีก็ขูดรีดเลือดเนื้อกำลังทรัพย์จากนักศึกษาและผู้ปกครองอย่างมูมมาม ไม่มีอะไรฟรี และไม่มีเสรีภาพ ณ พื้นที่ในกำมือของอำมาตย์ทาสนายทุน!
มหาวิทยาลัยคือปีศาจของแฟรงเกนสไตน์ตนหนึ่ง มันประกอบขึ้นมาจากส่วนเสี้ยวอันพิลึกพิลั่นของระบบต่าง ๆ เพื่อจัดสร้างโลกที่เต็มไปด้วยลำดับชั้นสูงต่ำ การทำงานของมันจึงเต็มไปด้วยความย้อนแย้งราวกับใบหน้าของเทพเจนัสที่มีสองด้านและหันออกจากกันเสมอ ประพฤติตนราวกับเป็นผู้อุ้มชูคบไฟแห่งปัญญา แต่หากไม่มีเงินตรา ลูกช้างเอ๋ย เจ้าจงออกไปจากที่แห่งนี้เสีย ประพฤติตนราวกับผู้เจริญด้วยปัญญา แต่หากไม่เดินตามข้า ลูกช้างเอ๋ย เจ้าก็จงออกไป ความลักลั่นย้อนแย้งเหล่านี้มิใช่ความงงงวย หน้าไหว้หลังหลอก ความหน้าหนาของเหล่าอำมาตย์ชนชั้นปกครอง หรือเป็นซากเดนตกค้างของระบอบใด ๆ ทั้งสิ้น หากแต่เป็นผลจากความพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะสถาปนาอำนาจขึ้นเพื่อข่มขี่มนุษย์ทุกคนให้สยบตามระบบ อำนาจทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมืองใด ๆ ต่างก็ถูกนำมาใช้เพื่อการนี้โดยไม่ต้องสนใจถึงความสอดคล้องกันทางตรรกะ เพราะตรรกะมิใช่เป้าหมายของมหาวิทยาลัย
เหตุเช่นว่านี้ นักศึกษาและประชาคมชาวมช. รู้แจ้งเห็นจริงกันมาโดยตลอด แต่ด้วยการณ์ที่พลังรวมหมู่ทางสังคมยังไม่ปะทุขึ้น รูปการของการกดขี่ข่มเหงคนด้วยกันเช่นนี้จึงดำเนินไปราวกับว่าไม่มีวันจบสิ้น นักศึกษาและผู้ปกครองชนชั้นกรรมาชีพหลายคนต้องทำงานพิเศษ กู้หนี้ยืมสินเพียงเพื่อจัดแสดงงานในหอศิลป์ที่(อ้างว่า)เป็นของมช.นี้มายาวนาน มันคือปฏิบัติการข่มเหงทางชนชั้นอย่างชัดเจน!
แต่บัดนี้พลังความเคียดแค้นที่สั่งสมกันมา เดือดพล่านปะทุขึ้นมาอีกครั้งภายใต้บรรยากาศทางการเมืองที่ชุลมุนกันอยู่ ณ ขณะนี้ ในขณะที่เยาวรุ่นกรรมาชีพเมืองกรุงได้พิสูจน์ให้เห็นถึงการต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนานในรูปแบบใหม่ เยาวรุ่นและผู้สูงวัย 5,000 ปีก็เติมไฟลามทุ่งทางทิศเหนือขึ้นมาอีกครั้ง สหายแห่งล้านนาร่วมกันทำให้คบเพลิงแห่งคชสารแผ่ซ่านลงผืนดิน ช้างจะไม่ได้ชูไอติมรสกะทิอีกต่อไป แต่เป็นรสชาติเพลิงไฟประชาธิปไตยของประชาคมฯ
เมื่อปฏิบัติการเบื้องต้นสำเร็จผลเป็นการชัดเจน ตั้งแต่ก้าวแรกที่สหายกองหน้าแห่งประชาคมฯ ก้าวเข้าไปเหยียบถิ่นฐานที่อำนาจเถื่อนกอดกุมมันไว้นั้น ฝ่ายปฏิกิริยาก็ตัดสินใจ ตัดน้ำ ตัดไฟ อย่างฉับพลันทันด่วน แม้เป็นเวลานอกราชการก็ตาม เรื่องเหล่านี้สามัญชนคนอย่างเราๆ รู้เห็นเช่นชาติกันมานาน หากเป็นไปเพื่อผลประโยชน์แห่งอาณาประชาราษฎร์แล้วไซร้ พวกอำมาตย์ก็ชักช้าคอยท่า คอยปฏิบัติตามระเบียบในเวลาราชการอย่างมิขาดตกบกพร่อง หากแต่พอเป็นเรื่องผลประโยชน์ทางชนชั้นของตัวเองนั้น กลับรวดเร็วเสียยิ่งกว่าจับปากกาเซ็นชื่อเสียอีก
ทั้งนี้ ที่ขบวนการประชาธิปไตยประชาคมฯ ยังคงอยู่รอดสืบสานต่อไปได้ ก็ด้วยแรงใจ แรงกาย แรงคิดที่ร่วมด้วยช่วยกันอย่างเป็นหมู่คณะของชาวประชาคมฯ ทั้งหมดทั้งปวง ที่เบ่งบานขยายออก เพิ่มแนวร่วมมากมาย น้ำไฟ ที่โดนตัดด้วยอำนาจเถื่อน ก็มิอาจขัดขวางน้ำไฟจากชาวประชาที่หลังไหลเข้ามาทั้งตามตัวอักษรและตามอารมณ์ความรู้สึกทางใจที่เข้าช่วย
ปรากฏการณ์เหล่านี้สร้างอะไรใหม่หรือ? ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นอาชญากรรมงั้นฤา? หรือจริงๆ แล้วมันคือการปฏิวัติของประชาคมฯ?
คำตอบของคำถามดังกล่าวมิอาจตอบได้ผ่านทางข้อเขียนหรือการถกเถียงทางความคิดที่หลุดลอยจากปฏิบัติการจริงที่กำลังเกิดขึ้น แต่จะตอบได้ผ่านปฏิบัติการที่ดำเนินเปลี่ยนแปลงทั้งรูปลักษณ์ของสังคมและตัวตนรวมหมู่ของผู้คนที่ลงมือกระทำการอยู่ ณ พื้นที่ส่วนรวมที่กำลังเกิดขึ้น ปฏิบัติการประชาธิปไตยของประชาคมฯ กำลังตั้งท้าทายรูปแบบการจัดแสดงงานศิลปะภายใต้เงื้อมมือของคนส่วนน้อยที่ถือดีว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญ ประชาธิปไตยของประชาคมจะไปในทิศทางใดต่อก็คงต้องเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจริงผ่านการเดินทัพทางไกลของปฏิบัติการ ณ พื้นที่ซึ่งประชาคมกำลังปลดปล่อยให้มันเบ่งบานด้วยอำนาจของปวงประชา สิ่งนั้นอาจมาในรูปของสมัชชาประชาธิปไตยเพื่อการจัดแสดงงานศิลปะของประชาคมมช. หรือด้วยชื่ออื่น รูปอื่นก็เป็นได้ สิ่งนี้(ยัง)ไม่เกิดขึ้น
แต่ที่เกิดขึ้นแล้ว คือการตั้งคำถามต่อการจัดแสดงศิลปะในรูปแบบเดิมๆ ที่ผู้จัดแสดงและผู้ชม เป็นเพียงผู้เช่า หรือลูกค้าเท่านั้น ทำอย่างไรผู้จัดแสดงและผู้ชม จะได้ร่วมตัดสินใจอย่างเป็นประชาธิปไตยกับการจัดแสดงศิลปะได้บ้าง? คำถามเชิงศิลปะเหล่านี้สามารถสร้างสภาวะของความเลยเถิดที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามต่อเส้นแบ่งต่าง ๆ ที่ดำรงอยู่ เส้นแบ่งของความเหมาะสม เส้นแบ่งของความเป็นเจ้าของ เส้นแบ่งของอำนาจ ไม่ว่าคำถามนี้จะได้รับคำตอบในทางปฏิบัติหรือไม่ ไม่มีใครสามารถรู้อนาคตได้ แต่คำถามนี้จะไม่หายไป กระบวนการลากขีดเส้นครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตราบใดที่เรายังสู้ต่อ คำตอบก็ย่อมใกล้เข้ามาแน่นอน และเมื่อนั้นเอง สิ่งที่คงรูปอย่างหนักแน่นราวกับไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงก็ย่อมจะมลายหายไปในอากาศ
เดือนตุลาคมอันมืดมิดจะกลายเป็นเดือนที่ดวงตะวันได้เคลื่อนขึ้นมาประกาศศักดาแห่งพลังประชาธิปไตยของประชาชนหรือไม่ ไม่มีใครรู้ ที่เรารู้กันดีก็มีแค่ว่า การเติมแรง เติมใจ เติมไฟให้คบเพลิงนี้สว่างไสวโชติช่วงจนกลายเป็นดวงอาทิตย์ก็เท่านั้นแหละ ที่จะทำให้ปฏิบัติการนี้เป็นหน่ออ่อนประชาธิปไตยประชาชนได้!
ขอคารวะแด่ประชาคมชาวมช.ทุกคน.

บทความและภาพประกอบนี้ใช้สัญญาอนุญาตครีเอฟทีฟคอมมอนส์ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน 4.0 นานาชาติ